“อิง” ทันทีที่มองเห็นลลิตา ลักขณาที่นั่งรออยู่ก็ถึงกับดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงปรี่เข้าไปหาเพื่อนสนิท ดูจากสีหน้ารวมไปถึงท่าทางแล้ว คงร้อนใจมากกว่าเธอหลายร้อยเท่าแน่
“น้องโอบล้มจนหัวฟาดได้ยังไง” “พยาบาลบอกว่าน้องโอบลุกขึ้นแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำเอง แต่จู่ๆ ก็วูบเป็นลมล้มหัวกระแทกพื้น”“แล้วตอนนั้นพยาบาลพิเศษไปไหน ทำไมถึงไม่อยู่ดูแลแกจนปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุ” ลลิตาสติหลุดเวลานี้เธอนั้นพร้อมจะฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกคนที่ทำให้ลูกชายเธอต้องเจ็บตัวแบบนี้“พยาบาลท้องเสียเลยออกไปกินยา แต่แกอย่าเพิ่งวิตกมากเกินไปเพราะตอนนี้น้องโอบพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ก็ยังเบาใจไม่ได้เพราะ...” “เพราะอะไรแกรีบพูดมาสิ”“เพราะล้มหมอก็เลยจับน้องโอบตรวจร่างกายอย่างละเอียด ก็พบว่าหัวใจของน้องโอบไม่ค่อยสู้ดี ต้องผ่าตัดด่วนพรุ่งนี้”“ผ่าตัดด่วนได้ยังไง ทั้งๆ ที่ตอนนี้น้องโอบยังไม่ได้สติด้วยซ้ำ ไหนคุณหมอแนะนำให้รอแกโตกว่านี้อีกหน่อยค่อยผ่าตัดหัวใจไม่ใช่เหรอ”“ฉันก็เข้“ถ้าอยากเจอผมก็ไปที่ห้องสูตินารีนะครับ ผมเป็นหมออยู่ที่แผนกนั้น”“ฉันบอกว่าถ้าเราบังเอิญเจอกันค่ะ หูเพี้ยนแบบนี้ฉันว่าคุณหมอควรไปหาหมอแผนก ตา คอ หู จมูก ก่อนกลับบ้านนะคะ”“ไว้ผมค่อยไปวันหลัง เพราะสำหรับผมแล้วสุขภาพภายในของผู้หญิงก็สำคัญ ถ้าสะดวกก็เชิญลงทะเบียนแล้วล็อควันเวลาพบผมได้เลยนะครับ อ้อ…ผมชื่อกวิน” หมอหนุ่มได้ทีเอ่ยแนะนำตัว“คุณเป็นคุณหมอสูฯ หรือพนักงานขายตรงกันแน่เนี่ย เชียร์อัปเก่งจริง”“คุณหมอครับ”“ค่ะๆ หมอก็หมอ” ลักขณาเอ่ยรับตามมารยาท ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายแล้วเดินกลับไปสมทบกับ ลลิตา เมื่อมาถึงก็เห็นว่าเพื่อนนั่งก้มหน้าบีบมือตัวเองอยู่บนเก้าอี้แถวๆ ห้องไอซียูเด็ก“หมอว่าไงบ้างอิง”“ผ่าตัดคือสิ่งที่ดีที่สุดในเวลานี้ ฉันเองก็เซ็นรับยินยอมให้แล้ว”“เข้มแข็งไว้แก ทุกอย่างต้องราบรื่น” ลักขณาตบบ่าของลลิตาหนักๆ ทั้งคู่อยู่ด้วยกันมาในเกือบทุกๆ สถานการณ์ของชีวิต เป็นเพื่อนแท้ที่มีก
หมอใช้เวลาในการผ่าตัดหัวใจโอบรักหลายชั่วโมง ในที่สุดคำภาวนาของลลิตาและลักขณาก็ประสบผลสำเร็จ ทันทีที่หมอเดินออกมาจากห้องผ่าตัดลลิตาก็ตรงเข้าไปหาพร้อมกับยกมือไหว้เพื่อขอบคุณ จังหวะที่เธอจะก้มลงกราบหมอท่านนั้นกลับได้ห้ามเอาไว้“ดีจังเลยนะแก ต่อจากนี้ไปน้องโอบจะได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นๆ เสียที” ลักขณาพูดไปพร้อมกับยืนปาดน้ำตาตัวเองไปด้วย แล้วหันมาสวมกอดลลิตาที่ร้องไห้อยู่ข้างๆ อย่างยินดี จากนั้นทั้งคู่ก็ปล่อยโฮออกมาที่หน้าห้องผ่าตัด หมอกวินบังเอิญผ่านมาเห็นภาพนั้นเข้าจึงหยุดมองหมอหนุ่มจำหนึ่งในผู้หญิงที่ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นได้ดีว่าเป็นใคร สีหน้าไม่ได้เศร้าแต่กลับยิ้มไปร้องไห้ไปแบบนั้นการผ่าตัดคงผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเป็นแน่ กวินยืนมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินจากไป“นี่นา”“ว่า” ลักขณาขานรับสั้นๆ“ฉันยกเลิกงานแต่งงานกับคุณปราณแล้วนะ”“ตั้งแต่เมื่อไหร่” คนฟังตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็ได้ยินแบบนี้“เมื่อวาน ตอนที่คุณปราณมาหาที่โรงพยาบาลนั่นแหละ” เพราะรู้สึกผิด
“ฉันไม่ได้ต้องการความสำนึกอะไรจากเขา สิ่งที่อยากขอคือช่วยออกไปจากชีวิตฉันกับลูกก็พอ ส่วนแกก็ใจเย็นๆ ถ้ายังไม่เย็นก็ลงไปหากาแฟกิน ฉันจะเข้าไปดูลูกก่อน”“อืม อยากกินอะไรไหม”“อะไรก็ได้” เอ่ยบอกแค่นั้นลลิตาก็เข้าไปภายในห้องไอซียูเด็กเพื่อเยี่ยมอาการลูกชาย ส่วนลักขณาถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วเดินลงไปที่ร้านกาแฟตรงชั้นหนึ่ง พอได้กาแฟก็เดินตรงไปที่ลานสวนหย่อม นั่งถอนหายใจเฮือกๆ อยู่แบบนั้น“บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะครับ” กวินออกตัวทั้งๆ ที่เขามองเห็นลักขณามาแต่ไกล เพราะแบบนั้นจึงเดินตรงเข้ามาหาเธอ“ค่ะ” คนถูกทักเอ่ยรับอย่างไม่ใส่ใจกับความบังเอิญในครั้งนี้สักเท่าไหร่“ออกมาจิบกาแฟเหรอครับ” ขณะถามหมอหนุ่มก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆ หญิงสาวที่เขายอมรับว่าสนใจ“เปล่าค่ะ”“เปล่า แต่ข้างๆ คุณมีแก้วกาแฟ”“ฉันสั่งเพราะความเคยชินมากกว่า นี่คุณหมอ”“ครับ” หมอกวินเอ่ยรับพร้อมมองหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังของคนตรงหน้า สีห
เพราะงานด่วนทำให้หลังจากจอดรถส่งลลิตาที่หน้าโรงพยาบาลเสร็จคริสต้องบินไปฮ่องกงทันที นั่นทำให้เขาหายหน้าหายตาไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ เพราะงานที่รัดตัวทำให้ชายหนุ่มไม่มีเวลาโทรหาเธอเช่นกันแต่ก็ยอมรับว่าคิดถึง ทันทีที่ลงเครื่องจึงตรงมาหาลลิตาที่บ้าน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่อยู่“หายไปไหน” คริสพึมพำออกมาพร้อมกับชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในบ้านของลลิตา ก่อนจะโทรหาเธอทว่า ลลิตากลับไม่ยอมรับสาย ชายหนุ่มรออยู่แบบนั้นนานหลายชั่วโมงกระทั่งตัดสินใจจะไปหาลักขณาแทน หวังว่าเธอยังอยู่ที่คอนโดมิเนียมเดิมซึ่งโชคก็ยังเข้าชายหนุ่มอยู่บ้างเพราะเขาได้เจอเธอที่หน้าล็อบบี้คอนโดมิเนียมเข้าจริงๆ“นา”“คุณคริส” ลักขณาตกใจเพราะไม่คิดว่าจะเจอกับ คริสที่นี่ นี่มันวันอะไรของเธอแค่หิวแล้วลงมาเอาของที่ไรเดอร์มาส่งต้องมาเจอโจทย์กับเก่าเชียวเหรอ“ผมติดต่ออิงไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเธอไม่สบายหรือเกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงของคริสนั้นอ่อนโยนไม่ได้ห้วนแต่อย่างใด ตลอดเวลาที่เขาอยู่ฮ่องกงไม่มีเวลาไหนที่เขาไม่คิดถึงลลิตา เขาใช้เวลานั้นนั่งคิดทบทวนกับตัวเองว่าแ
“ผมเองก็ไม่รู้”“ถามจริงๆ นะ จะโกรธกันก็ยอม น้องสาวคุณมีความผิดปกติด้านความคิดอะไรหรือเปล่า” คำถามของลักขณาสะกิดความรู้สึกของคริสเข้าอย่างจังและพอจะเดาต้นตอออกว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ทำไมปลายรุ้งถึงคิดและทำแบบนั้น“ผมพึ่งมารู้หลังจากย้ายไปอยู่อเมริกาว่าน้องสาวป่วยเป็นซึมเศร้าครับ แกหวงผมมากกระทั่งมีความรักก็หวงคนรักที่คบอยู่ในตอนนั้นและมักจะพยายามฆ่าตัวตายมาอยู่หลายครั้ง ซึ่งแฟนของเธอก็ช่วยเอาไว้ได้ทุกครั้งกระทั่งครั้งสุดท้ายที่ไปช่วยไม่ทันจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต”“ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ” ลักขณาเองก็มีความลับอยากบอกคริส แต่กลับไม่กล้าพอที่จะพูด“ถ้าต้นเหตุเกิดจากรุ้ง ผมก็ยังรู้สึกผิดที่เชื่อว่านั่นคือเรื่องจริง เชื่อถึงขนาดไม่ถามอิง”“หูเบากันทั้งคู่นั่นแหละ เพราะสถานการณ์ในตอนนั้นมันประจวบเหมาะที่จะทำให้เข้าใจผิดกันมากนี่คะ คนหนึ่งบินไปต่างประเทศอีกคนป่วยจนถูกหามเข้าโรงพยาบาล” ลักขณาถอนหายใจออกมาหนักๆ พอได้ฟังและลองจับต้
ลลิตาไม่ได้ไปไหนเธอยังอยู่ที่โรงพยาบาลรวมถึงเห็นสายโทรเข้าจากคริสแล้วแต่เลือกที่จะไม่รับสาย หญิงสาวร้องไห้ออกมากับโชคชะตาของตัวเอง เธออยากหลุดพ้นจากความอึดอัดที่แสนจะบีบคั้นจนทำให้หายใจไม่ออกนี่เหลือเกิน อยากปล่อยมือจากทุกอย่างแต่คนที่รั้งให้เธอลุกขึ้นก็คือเด็กชายที่เวลานี้หลับอยู่บนเตียงคนไข้การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดีและตอนนี้ร่างกายของโอบรักก็ค่อยๆ ฟื้นตัวได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ลูกชายของเธอเข้มแข็งกว่าคนเป็นแม่อย่างเธอเสียอีก“คุณหมอ” น้ำเสียงของคนเริ่มจะเมาทักขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย ไม่รู้เพราะอะไรเพื่อนเธอก็มีอีกตั้งหลายคนทว่าลักขณากลับเลือกจะโทรหาหมอกวิน“ครับคุณนา” ต่อให้อีกฝ่ายยังไม่ได้แนะนำตัวแต่กวินก็จำเสียงของลักขณาได้“คุณหมอทำงานอยู่หรือเปล่าคะ”“เปล่าครับผมพึ่งออกเวร”“คุณหมอบอกใช่ไหมว่าถ้าฉันมีเรื่องระบายให้โทรหา”“ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยรับอย่างเต็มใจ “ตอนนี้คุณนาอยู่ไหนครับ เดี๋ยวผมไปหา”“ร้านเหล้านะคะ คุณหมอมาได้หรอ”
“คิดไว้แล้วเชียวว่าคุณต้องอยู่ที่นี่”“นา อิงอยู่ไหน ผมติดต่ออิงไม่ได้เลย” คริสปักหลักอยู่ที่หน้าบ้านของลลิตาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงเช้าของอีกวัน ใบหน้าของชายหนุ่มดูหม่นหมองจากความเครียดและความสำนึกผิดลักขณาตัดสินใจเมื่อคืนว่าจะพูดทุกอย่างและมาหาเขาที่บ้านของลลิตาเพราะมั่นใจว่าคริสต้องอยู่ที่นี่ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่คิด“โรงพยาบาลค่ะ”“เด็กคนนั้นคือลูกของผมกับอิงใช่ไหม”“ค่ะ” แม้จะไม่รู้ว่าคริสรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรแต่ลักขณาก็ไม่คิดที่จะปิดบังเขาอีกแล้ว กลับรู้สึกผิดจนเจ็บไปทั้งใจ ลลิตาท้องแต่เธอกลับไม่ปริปากบอกเรื่องลูกกับเขา“ผู้หญิงผู้ชาย”“ผู้ชายค่ะ ชื่อน้องโอบอายุสามขวบเศษ”“แล้วแกเป็นอะไรถึงต้องอยู่โรงพยาบาล”“โรคหัวใจอ่อนแอตั้งแต่เกิด วันก่อนแกล้มหัวฟาดพื้นหมอเพิ่งผ่าตัดช่วยชีวิตได้สำเร็จ รวมทั้งการผ่าตัดหัวใจก็ลุล่ว
“ผมรู้ คุณอยากตบอยากตีผมอีกสักกี่ครั้งก็ได้ เอาเลย” คริสคว้ามือของลลิตาขึ้นมาตบหน้าเขาหลายต่อหลายครั้ง แรงบ้างหนักบ้างก่อนที่เธอจะดึงมือตัวเองกลับ“เดี๋ยวฉันไปดูน้องโอบให้ ส่วนแกกับคุณคริสก็ปรับความเข้าใจกันไปก่อนนะ” ลักขณาเปิดโอกาสให้คริสและลลิตาได้ปรับความเข้าใจกันตามลำพัง หวังว่าเยื่อใยความรักของพวกเขาจะยังมีมากพอจนทำลายความรู้สึกที่ไม่ดีในอดีตได้“จะไปไหนอิง”“กลับไปหาลูก ส่วนคุณก็กลับไปได้แล้ว”“ก่อนกลับ ผมขอเข้าไปหาลูกด้วยได้ไหม” คริสร้องขออย่างน่าสงสาร“ไม่ได้”“ผมรู้ว่าคุณยังโกรธแต่อย่างที่บอกว่ามันคือการเข้าใจผิด ในเมื่อเข้าใจผิดเราเจ๊ากันไม่ได้เหรอ”“พูดง่ายไปหรือเปล่า” ลลิตาจ้องตาคริสด้วยความโมโห พูดออกมาได้ยังไงว่าให้เจ๊ากัน“ง่ายๆ แบบนี้แหละดีแล้ว ผมรักอิงนะเพราะรักถึงยังเจ็บปวด” ขณะเอ่ยนั้นคริสก็ขยับเข้ามาใกล้กับลลิตา จากนั้นก็รวบตัวเข้ามากอด“จะทำอะไร”“จูบ”
เมื่อทานข้าวกันเสร็จทั้งสามก็กลับเข้าบ้าน ลลิตาจ้องมองคริสคล้ายจะมีอะไรจะพูดกับเขากระทั่งสบโอกาสจึงเอ่ยขึ้น “คุณยังไม่บอกโอบหรือคะว่าเป็นพ่อของแก” “ยังครับ” “ทำไมคะ” นั่นเพราะลลิตาคิดว่าช่วงที่เธอไม่อยู่ คริสอาจคุยกับโอบรักแล้วเสียอีก “ผมอยากให้คุณเป็นคนบอกลูกมากกว่า” “ขอบคุณ” ลลิตาส่งยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณ “ผมรอได้ รอจนกว่าอิงจะมั่นใจในตัวผม ถึงตอนนั้นค่อยบอกลูกก็ไม่เป็นไร” คริสส่งยิ้มอบอุ่นให้เธอ ลลิตาจึงเดินเข้าไปหาแล้วโอบกอดเขา ตั้งแต่ปรับความเข้าใจกันนี่คือครั้งแรกที่ลลิตาสวมกอดชายหนุ่มก่อน ในคืนนั้นเธออาศัยจังหวะพาลูกชายเข้านอนเอ่ยเรื่องสำคัญขึ้น “โอบครับ จำได้ไหมว่าลูกเคยถามแม่ว่าพ่อของหนูเป็นใครหน้าตาเป็นแบบไหน” “จำได้” “พ่อของโอบคือคนนี้ครับลูก” ลลิตาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมายื่นให้ลูกชาย ซึ่งเธอได้เปิดรูปของคริสค้างไว้บนหน้าจอ
นั่นจึงเป็นคืนแรกในรอบหลายเดือนที่โอบรักได้กลับมานอนที่ห้องนอนตัวแอง หลังจากเอาลูกนอนเสร็จเธอก็ลงไปหาคริสที่ห้องแขก“ลูกนอนแล้วเหรอครับ”“ค่ะ”“คุณหมอกับคุณนาก็พึ่งจะกลับไปเมื่อกี้”“คุณก็ควรกลับได้แล้ว”“แต่ผมเผลอดื่มไปหลายแก้วตอนนี้เลยมึนๆ สงสัยจะเมา แบบนั้นขับรถจะยิ่งอันตราย” คนแกล้งเมากุเรื่องขึ้นเพื่อจะได้นอนค้างที่นี่แม้จะอยากไล่ให้ชายหนุ่มกลับแต่ก็ห่วงเรื่องความปลอดภัยของเขา สุดท้ายลลิตาก็ยอมให้คริสนอนค้างด้วยแต่เขาต้องนอนในห้องรับแขกเท่านั้น พอรู้ว่าเธออนุญาตชายหนุ่มก็พยักหน้ารับทันทีลลิตานำเครื่องนอนออกมาปูให้เขา ทว่าคนเจ้าเล่ห์กลับใช้จังหวะนั้นรวบตัวเธอเข้ามากอดแล้วซุกไซ้ปากร้อนๆ รวมถึงจมูกโด่งลงไปสัมผัสพวงแก้มรวมถึงลำคอระหงของเธอ“จะทำอะไรคะ” รู้ทั้งรู้แต่ลลิตาก็เผลอถามออกไป“ทำรัก”“เดี๋ยวลูกตื่น”
“คุณลุง”“ครับ”“โอบคิดถึงแม่” น้ำเสียงของโอบรักสั่นเครือเพราะทนความคิดถึงที่มีต่อลลิตามาหลายวันแล้ว สุดท้ายก็ทนต่อไปไม่ไหว“ลุงก็คิดถึงครับ แต่ตอนนี้โทรหาแม่ไม่ได้เพราะดึกแล้ว ไว้รอพรุ่งนี้เช้าเราค่อยโทรหานะ”“แต่โอบอยากคุยกับแม่ตอนนี้ โอบคิดถึง”“ลุงรู้ครับ” คริสสวมกอดเด็กชายไว้ เขาเข้าใจความคิดถึงดีว่ามันมีพลังมากแค่ไหน “เดี๋ยวลุงเล่านิทานให้ฟังดีไหม”“ไม่ โอบจะคุยกับแม่” เด็กชายวัยยังไม่ครบสี่ขวบงอแงอย่างหนัก ซึ่งเป็นความงอแงที่คริสไม่เคยเจอมาก่อน นั่นทำให้เขาเริ่มลนลานแต่คนที่อยู่เมืองจีนเหมือนรู้ว่าคริสกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพราะจู่ๆ ลลิตาก็โทรมาเธอคุยกับลูกปลอบลูกจนโอบรักหายคิดถึง จากเสียงร้องไห้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ นั่นทำให้คริสถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกหนักๆลลิตาคุยกับลูกกระทั่งโอบรักหลับทั้งๆ ที่ยังไม่ได้วางสาย คริสจึงค่อยๆ ดึงโทรศัพท์ออกมามือเด็กชายจากนั้นก็คุยกับเธอต่อ“เป็นไงบ้างครับ&r
การทดเวลาบาดเจ็บที่ลักขณาขอให้คริสได้เกิดขึ้นเรื่อยๆ จากห้านาทีชายหนุ่มก็อยู่ได้ถึงสิบนาทีขยับไปเป็นครึ่งชั่วโมงหนึ่งชั่วโมงและหลักสุดคือขอนอนค้างด้วยแม้ ลลิตาจะไม่ยอมก็ตาม“เอาไงต่อ”“เอาไงเรื่องอะไร”“อย่ามาเฉไฉ รู้ๆ อยู่ว่าฉันพูดถึงใคร” ลักขณาจ้องตาลลิตาตรงๆ รายนี้โกหกไม่เก่งต้องหลุดบ้างแหละ ซึ่งมันก็จริงเพราะคนถูกจ้องอยู่ๆ ก็หันมองทางอื่นแทน“กำลังดูๆ อยู่”“อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่สนใจ”“เขาเข้ากับน้องโอบได้ดีกว่าที่ฉันคิด”“ถามตรงๆ เลยแล้วกัน แกยังรักคุณคริสอยู่ใช่ไหม”“ไม่รู้แต่ก็ยอมรับว่ามันมีเยื่อบางๆ ที่ฉันตัดไม่ขาดเสียที ยิ่งเห็นลูกก็ยิ่งนึกถึงเขา ทั้งโกรธทั้งแค้นทั้ง…นั่นแหละ” ลลิตาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกยังไง แต่พอรู้ว่าทุกอย่างคือการปั้นน้ำให้เป็นตัวของปลายรุ้งที่เวลานี้เสียชีวิตไปแล้วใจเธอก็เบาขึ้น ตอนนั้นทั้งเธอทั้งคริสต่างก็มีค
“ผมรู้ คุณอยากตบอยากตีผมอีกสักกี่ครั้งก็ได้ เอาเลย” คริสคว้ามือของลลิตาขึ้นมาตบหน้าเขาหลายต่อหลายครั้ง แรงบ้างหนักบ้างก่อนที่เธอจะดึงมือตัวเองกลับ“เดี๋ยวฉันไปดูน้องโอบให้ ส่วนแกกับคุณคริสก็ปรับความเข้าใจกันไปก่อนนะ” ลักขณาเปิดโอกาสให้คริสและลลิตาได้ปรับความเข้าใจกันตามลำพัง หวังว่าเยื่อใยความรักของพวกเขาจะยังมีมากพอจนทำลายความรู้สึกที่ไม่ดีในอดีตได้“จะไปไหนอิง”“กลับไปหาลูก ส่วนคุณก็กลับไปได้แล้ว”“ก่อนกลับ ผมขอเข้าไปหาลูกด้วยได้ไหม” คริสร้องขออย่างน่าสงสาร“ไม่ได้”“ผมรู้ว่าคุณยังโกรธแต่อย่างที่บอกว่ามันคือการเข้าใจผิด ในเมื่อเข้าใจผิดเราเจ๊ากันไม่ได้เหรอ”“พูดง่ายไปหรือเปล่า” ลลิตาจ้องตาคริสด้วยความโมโห พูดออกมาได้ยังไงว่าให้เจ๊ากัน“ง่ายๆ แบบนี้แหละดีแล้ว ผมรักอิงนะเพราะรักถึงยังเจ็บปวด” ขณะเอ่ยนั้นคริสก็ขยับเข้ามาใกล้กับลลิตา จากนั้นก็รวบตัวเข้ามากอด“จะทำอะไร”“จูบ”
“คิดไว้แล้วเชียวว่าคุณต้องอยู่ที่นี่”“นา อิงอยู่ไหน ผมติดต่ออิงไม่ได้เลย” คริสปักหลักอยู่ที่หน้าบ้านของลลิตาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงเช้าของอีกวัน ใบหน้าของชายหนุ่มดูหม่นหมองจากความเครียดและความสำนึกผิดลักขณาตัดสินใจเมื่อคืนว่าจะพูดทุกอย่างและมาหาเขาที่บ้านของลลิตาเพราะมั่นใจว่าคริสต้องอยู่ที่นี่ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่คิด“โรงพยาบาลค่ะ”“เด็กคนนั้นคือลูกของผมกับอิงใช่ไหม”“ค่ะ” แม้จะไม่รู้ว่าคริสรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรแต่ลักขณาก็ไม่คิดที่จะปิดบังเขาอีกแล้ว กลับรู้สึกผิดจนเจ็บไปทั้งใจ ลลิตาท้องแต่เธอกลับไม่ปริปากบอกเรื่องลูกกับเขา“ผู้หญิงผู้ชาย”“ผู้ชายค่ะ ชื่อน้องโอบอายุสามขวบเศษ”“แล้วแกเป็นอะไรถึงต้องอยู่โรงพยาบาล”“โรคหัวใจอ่อนแอตั้งแต่เกิด วันก่อนแกล้มหัวฟาดพื้นหมอเพิ่งผ่าตัดช่วยชีวิตได้สำเร็จ รวมทั้งการผ่าตัดหัวใจก็ลุล่ว
ลลิตาไม่ได้ไปไหนเธอยังอยู่ที่โรงพยาบาลรวมถึงเห็นสายโทรเข้าจากคริสแล้วแต่เลือกที่จะไม่รับสาย หญิงสาวร้องไห้ออกมากับโชคชะตาของตัวเอง เธออยากหลุดพ้นจากความอึดอัดที่แสนจะบีบคั้นจนทำให้หายใจไม่ออกนี่เหลือเกิน อยากปล่อยมือจากทุกอย่างแต่คนที่รั้งให้เธอลุกขึ้นก็คือเด็กชายที่เวลานี้หลับอยู่บนเตียงคนไข้การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดีและตอนนี้ร่างกายของโอบรักก็ค่อยๆ ฟื้นตัวได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ลูกชายของเธอเข้มแข็งกว่าคนเป็นแม่อย่างเธอเสียอีก“คุณหมอ” น้ำเสียงของคนเริ่มจะเมาทักขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย ไม่รู้เพราะอะไรเพื่อนเธอก็มีอีกตั้งหลายคนทว่าลักขณากลับเลือกจะโทรหาหมอกวิน“ครับคุณนา” ต่อให้อีกฝ่ายยังไม่ได้แนะนำตัวแต่กวินก็จำเสียงของลักขณาได้“คุณหมอทำงานอยู่หรือเปล่าคะ”“เปล่าครับผมพึ่งออกเวร”“คุณหมอบอกใช่ไหมว่าถ้าฉันมีเรื่องระบายให้โทรหา”“ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยรับอย่างเต็มใจ “ตอนนี้คุณนาอยู่ไหนครับ เดี๋ยวผมไปหา”“ร้านเหล้านะคะ คุณหมอมาได้หรอ”
“ผมเองก็ไม่รู้”“ถามจริงๆ นะ จะโกรธกันก็ยอม น้องสาวคุณมีความผิดปกติด้านความคิดอะไรหรือเปล่า” คำถามของลักขณาสะกิดความรู้สึกของคริสเข้าอย่างจังและพอจะเดาต้นตอออกว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ทำไมปลายรุ้งถึงคิดและทำแบบนั้น“ผมพึ่งมารู้หลังจากย้ายไปอยู่อเมริกาว่าน้องสาวป่วยเป็นซึมเศร้าครับ แกหวงผมมากกระทั่งมีความรักก็หวงคนรักที่คบอยู่ในตอนนั้นและมักจะพยายามฆ่าตัวตายมาอยู่หลายครั้ง ซึ่งแฟนของเธอก็ช่วยเอาไว้ได้ทุกครั้งกระทั่งครั้งสุดท้ายที่ไปช่วยไม่ทันจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต”“ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ” ลักขณาเองก็มีความลับอยากบอกคริส แต่กลับไม่กล้าพอที่จะพูด“ถ้าต้นเหตุเกิดจากรุ้ง ผมก็ยังรู้สึกผิดที่เชื่อว่านั่นคือเรื่องจริง เชื่อถึงขนาดไม่ถามอิง”“หูเบากันทั้งคู่นั่นแหละ เพราะสถานการณ์ในตอนนั้นมันประจวบเหมาะที่จะทำให้เข้าใจผิดกันมากนี่คะ คนหนึ่งบินไปต่างประเทศอีกคนป่วยจนถูกหามเข้าโรงพยาบาล” ลักขณาถอนหายใจออกมาหนักๆ พอได้ฟังและลองจับต้
เพราะงานด่วนทำให้หลังจากจอดรถส่งลลิตาที่หน้าโรงพยาบาลเสร็จคริสต้องบินไปฮ่องกงทันที นั่นทำให้เขาหายหน้าหายตาไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ เพราะงานที่รัดตัวทำให้ชายหนุ่มไม่มีเวลาโทรหาเธอเช่นกันแต่ก็ยอมรับว่าคิดถึง ทันทีที่ลงเครื่องจึงตรงมาหาลลิตาที่บ้าน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่อยู่“หายไปไหน” คริสพึมพำออกมาพร้อมกับชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในบ้านของลลิตา ก่อนจะโทรหาเธอทว่า ลลิตากลับไม่ยอมรับสาย ชายหนุ่มรออยู่แบบนั้นนานหลายชั่วโมงกระทั่งตัดสินใจจะไปหาลักขณาแทน หวังว่าเธอยังอยู่ที่คอนโดมิเนียมเดิมซึ่งโชคก็ยังเข้าชายหนุ่มอยู่บ้างเพราะเขาได้เจอเธอที่หน้าล็อบบี้คอนโดมิเนียมเข้าจริงๆ“นา”“คุณคริส” ลักขณาตกใจเพราะไม่คิดว่าจะเจอกับ คริสที่นี่ นี่มันวันอะไรของเธอแค่หิวแล้วลงมาเอาของที่ไรเดอร์มาส่งต้องมาเจอโจทย์กับเก่าเชียวเหรอ“ผมติดต่ออิงไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเธอไม่สบายหรือเกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงของคริสนั้นอ่อนโยนไม่ได้ห้วนแต่อย่างใด ตลอดเวลาที่เขาอยู่ฮ่องกงไม่มีเวลาไหนที่เขาไม่คิดถึงลลิตา เขาใช้เวลานั้นนั่งคิดทบทวนกับตัวเองว่าแ