โลกที่เขารู้จักไม่เคยมีความงดงาม
อวิ๋นหังเกิดในจวนตระกูลใหญ่ แต่สถานะของเขากลับต่ำยิ่งกว่าบ่าวไพร่ เนื่องเพราะมารดาของเขาเป็นเผ่ามาร เขาเกิดมาก็ไม่รู้อะไรมากนัก รู้เพียงแต่ฮูหยินใหญ่จวนสี่มักไม่ยินดีในการมีอยู่ของเขา ส่วนผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาเองก็ไม่เคยใส่ใจ ต่างจากความเป็นอยู่ของทายาทตระกูลใหญ่ เขาอาศัยอยู่ในห้องเก็บฟืนเล็กที่เต็มไปด้วยฟางแห้ง บ้าวครั้งก็มีหนู มีงู มีตะขาบเป็นเพื่อน พวกมันบ้างคราก็มานอนกับเขา บ้าวคราก็กัดเขา ฝังพิษบ้าง เขาไม่ได้ใส่ใจเพราะอย่างไรเขาก็ไม่ตาย อีกทั้ง อย่างไรก็ดีกว่าอยู่ตัวคนเดียว ตอนเช้าเขาต้องหาบน้ำ ตอนสายต้องเป็นลูกมือทำอาหาร ต้องเที่ยงต้องล้างจาน ตอนเย็นยังต้องซักผ้า ท้องฟ้าที่เขาเห็นไม่เคยเป็นสีฟ้าใส บางครั้งมันก็เปล่งประกายแดงๆ ในอากาศสีขาวดำ ความอาฆาตพยาบาทที่ลอยมาจากผู้คนมักเข้าเติมเต็มท้องของเขาประทังหิว มันมาพร้อมกับความขุ่นแค้น ริษยา อารมณ์อันแสนเหม็นเน่าที่เขาเพียงมองว่าเป็นอาหารเพราะว่าไม่อาจกินข้าวขาวได้อิ่มเหมือนคนอื่นๆ แม่นมจั่วข้างกายฮูหยินใหญ่มักเอามือนางจิกกระชากเส้นผมเขาแล้วกล่าว หากเจ้าไม่ทำงานก็จะไม่มีข้าวกิน แต่อวิ๋นหังมักไม่ค่อยเข้าใจเพราะไม่ว่าเขาจะทำงานหนักเท่าใด ก็ไม่ค่อยมีข้าวส่วนของเขาอยู่ดี แต่หากเขาไม่ทำก็จำถูกทุบตีมากขึ้นอีก แม้ประกายแสงสีแดงจากสามารถประทังให้อิ่มได้แต่ก็ไม่ใช่ข้าว ครั้งหนึ่งเขาทำงานหนักมาสามวันก็ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องแล้ว จึงเดินไปหาฮูหยินใหญ่บอกนางว่าหิวข้าวเหลือเกิน นางเพียงกล่าวว่า “พวกลูกครึ่งมารก็ยังคงเป็นมาร ช่างตายยากเหมือนมารดามิมีผิด ช่างตายยากนัก” หลังจากนั้นนางหันไปเจรจากับหญิงสาวที่แต่งตัวสวยงาม ร่างกายกลับรายล้อมไปด้วยประกายแดงจ้า อารมณ์ขุ่นแค้นริษยาเหม็นโชยกว่าใคร หลังจากนั้นเขาก็ได้กินข้าวอิ่มหนำครั้งใหญ่แบบที่ไม่เคยกินมาก่อน นั้นเป็นวันที่เขาถูกลอบฆ่าผ่านการวางยาพิษเป็นครั้งแรก ทว่าเมื่อครั้งแรกผ่านไปย่อมมีครั้งที่สองสามสี่ ตามมาไม่รู้จักจบสิ้น เขาไม่เคยทำเลยว่ามันมีกี่ครั้ง กี่วิธีการที่ผ่านไป รู้เพียงแต่ว่าในใจนั้นกระด้างชาจนไม่รู้จักเจ็บปวด ฟ้าที่ควรเป็นสีฟ้าดั่งที่ผู้อื่นว่ากลับแดงก่ำคล่ำหม่นลงเรื่อยๆ เขาไม่ได้นับว่าตนเองคิดหนีไปจากนรกแห่งนี้กี่ครั้งหน เพียงไม่รู้ว่าที่ใดที่คนเช่นเขาสามารถหนีไปได้ หากเขาหนีไปได้ สักวันเขาจะต้องกลับมาเผาจวนตระกูลเซียวที่น่าชิงชังให้วาดวายเพื่อมลายความแค้นในดวงจิตให้สิ้น แล้วก็โอกาสของชีวิตเขาก็ได้มาถึง คุณหนูใหญ่หลานสาวคนโปรดของอตีดผู้นำตระกูลป่วยหนัก แม่นมและบ่าวไพร่โดนปลดโดนโบยตายไปมากมาย ฮูหยินใหญ่สายสี่คงคิดแผนการใดสักอย่างจึงส่งเขาไปที่นั้น แผนการของนางทั้งหยาบกระด้างเรียบง่ายยืมดาบฆ่าคน นางฆ่าเขาไม่ได้ แต่หากเป็นผู้เฒ่าเซียวที่วรยุทธสูงล้ำบันดาลโทสะเพื่อหลานสาวสุดที่รักเล่า? น่าขันนัก ทั้งยังน่าชิงชังอย่างยิ่ง เขาแสร้งทำสงบนิ่งเพื่อไม่ให้นางล่วงรู้ได้ว่าวางแผนจะโอกาสหลบหนีไป ยามผู้คนวนเวียนวุ่นวายผู้ใดจะสนใจบ่าวไพร่ตัวเล็กๆ แต่แผนที่วางไว้ก็ต้องผิดไป เมื่อบ่าวรับใช้ที่เรือนนี้เองก็ดูจะมีสายของนางคอยเฝ้ามองเขาอยู่เสมอ เขาได้แต่บอกให้ตนเองสงบใจไว้เพื่อเฝ้ารอโอกาส หรือว่าเขาควรเปลี่ยนแผนเป็นฝ่ายหยิบยื่นโอกาสให้ หากตนเองถูกลงโทษอย่างหนัก แสร้งทำเป็นตายแล้วหาโอกาสหนีไปยามถูกไปทิ้งในหลุมทิ้งศพย่อมง่ายกว่ามาก เขาคิดเช่นนั้นแล้วก็ตัดสินใจเช่นนั้น ก่อนที่แผนการแกล้งป่วยหนักของเขาจะได้ริเริ่ม กลับมือข้างหนึ่งผลักหลังของเขา อ่างทองแดงในมือหล่นร่วงลงพื้นน้ำสาดกระจายไปพื้นห้อง ไหล่ของเขาถูกกดให้คุกเข่าลงอย่างหยาบคาย หัวเข่าผอมช้ำจากกระแทกพื้น เด็กชายนั่งตัวสั่นฟังคำต่อว่า ไม่ใช่เพราะความหวาดหวั่นแต่เป็นความตื่นเต้นระทึกใจ ทันใดเสียงราวกระจ่างก็ทำลายแผนการทั้งหมด “ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง” “เจ้าน่ะ เงยหน้าขึ้นสิ” เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนางอย่างเต็มตา ดุจดั่งภาพวาดสีน้ำหมึกขาวดำซีดจางกระจัดกระจาย ถูกฉีกขาดด้วยสีสันแรกแห่งชีวิต ดวงตาคู่นั้นมีสีชมพูแรกของดอกกุ้ยเหมยฮวาอันสวยสด ผลิบานกลางพนาดุจผืนป่าที่โอบอุ้มสรรพชีวิตที่สะท้อนอยู่ในนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจว่าอะไรที่เรียกความงดงาม อันใดคือสิ่งที่เรียกว่าพันธนการที่งดงามที่สุดในโลกหล้า มันช่างชวนเบิกบานและจริงแท้ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ แม้ว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นจะทำลายแผนการเขาจนยับเยินก็ตาม หลังจากนั้นทุกสิ่งก็ไม่มีสิ่งใดเป็นไปตามที่เขาคิดไว้เลยก็ดี มีคนใส่ใจเขาที่ตัวเปียกมอมแมมเป็นครั้งแรกของเขาที่ได้อาบน้ำอุ่นที่มีคนตระเตรียมให้ ไอน้ำเหล่านั้นมันอุ่นเกินไปจนทำหัวใจของเขาคันยุบยิบ ตอนนี้นางชี้นิ้วเล็กๆ มาที่เขาแล้วกล่าวว่าคนผู้นี้ทำเอาเขาพูดไม่ออก หัวใจของที่ถลอกปอกเปิกรุ่งริ่งคล้ายถูกลูกแมวตัวน้อยที่สวยงามจับจ้องด้วยความสงสัย แล้วปากชมพูเล็กๆ ของมันบอกผู้อื่นว่ามันปรารถนาจะได้มา อุ้งเท้าขาวสองเตรียมกรงเล็บตะบปอย่างเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ แผนการหลบหนีจากจวนตระกูลเซียวคล้ายมหายหายไปสิ้น เด็กชายถูกพัธนการที่มองไม่เห็นในแก้วตาสีชมพูคู่งามเกี่ยวรัดพันแน่นจนต้องพัวพันกับนางไปทั้งชีวิต เซียวอวิ๋นหังเงยหน้ามองผืนฟ้าครามและรู้ว่าท้องฟ้าวันนี้ดูครามสดใสขึ้นเล็กน้อย แสงแดดสะท้อนกระเบื้องหลังคา ตัวเหรือนไม้แปดเหลี่ยมโอ่อ่า ให้รถม้าแต่ละเรือนมาจอดเทียบชานวุ่นวายในยามเช้าตรู เหล่าบ่าวกู่ลีกุจอประคองเหล่าคุณหนูคุณชายลงจากรถม้า บ้างก็ประคองลงมา บ้างก็โค้งตัวลงเป็นฐานมนุษย์ให้เหยียบลง คนที่มายังที่แห่งมาเรียกมันว่าสำนักศึกษาตั้งอยู่ใจกลางตระกูลเซียวอันยิ่งใหญ่ นี่ก็คือสถานที่แห่งแรกในการบ่มเพาะเหล่าทายาทรุ่นเยาว์มาหลายต่อหลายรุ่น ทายาทตระกูลใหญ่ที่มาพร้อมกับพี่เลี้ยงข้ารับใช้สหายร่วมเรียน สภาพการณ์จึงวุ่นวายเล็กน้อย ไม่ค่อยเคร่งครัดเคร่งขรึมมากนัก เพื่อให้เด็กรุ่นหลังได้มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตระกูลเซียวจึงตรากฎไว้ตั้งแต่แรกว่าเหล่าทายาทไม่ว่าสายใดล้วนต้องเรียนรวมกัน ดังนั้นเฉพาะเหล่าลูกศิษย์รุ่นเล็กทั้งหลายจึงมีรวมกันไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน คุณหนูคุณชายบางคนที่โตแล้วก็ยังพอนิ่งสงบได้ บางคนที่ยังเล็กเอาแต่ใจก็ร้องไห้โวยวายไม่อยากมาเรียน “ช่างวุ่นวายดีจริงๆ มาเรียนทุกเช้าก็วุ่นวายอยู่ได้ทุกเช้า ไฉนพวกเราต้องมาเรียนร่วมกับพวกเขาด้วย” เด็กชายชุดเขียววัยแปดหนาวเบ้ปากว่า ตัวเขาในฐานะคุณชายรองสายตรงกลับต้องเรียนรวมกับเหล่าเด็กน้อยจากตระกูลสาขานี่ไม่น่าภิรมย์อย่างยิ่ง เขาคิดแล้วคิดอีกก็ถอนหายใจ ทำท่าทางแก่กว่าวัยอย่างยิ่ง “ข้าไฉนไม่เก่งกาจเท่าศิษย์พี่ใหญ่หนอ จะได้ไปเรียนการสืบทอดจากท่านตาโดยตรงได้” ไม่ต้องมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ บรรยากาศจึงนิ่งงันไป เด็กชายชุดเขียวเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งเหนื่อยหน่าย จึงชายเสื้อกล่าว “เช่นนั้นช่วงนี้มีเรื่องใดน่าสนใจบ้างหรือไม่” คราคราวนี้บรรยากาศคึกคักขึ้นทันใด ไม่ว่าใครต่างก็อยากให้เรื่องเล่าของตนดึงดูกความสนใจขาใหญ่ผู้นี้ไว้ได้ เซียวสือรุ่นนั่งฟังด้วยความพอใจ กระทั่งได้ยินข่าวหนึ่งที่ควรค่าแก่การใส่ใจ “เจ้าว่าน้องหญิงใหญ่จะมาเรียนวันนี้งั้นหรือ?” มือหยกที่แกว่งคนถ้วยชาชะงักไป พวกเขาแม้อยู่สายตรงเหมือนกัน แต่น้องหญิงใหญ่ผู้นี้ช่างลึกลับนัก นางเกิดจากอาหญิงของเขาที่ยังไม่แต่งงาน ตามหลักควรถือเป็นน้องสาวนอกแซ่ แต่เพราะความโปรดปราณของท่านปู่ผู้ยิ่งใหญ่ จึงอนุญาติให้นางใช้แซ่เชียวได้โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน นางไม่ได้ออกมานอกเขตเรือนหลักเท่าไร แต่ท่านพ่อของเขาและท่านลุงใหญ่กลับรักใคร่เอ็นดูนางมาก แม้ไม่ค่อยได้พบเจอเท่าไร ทว่าไม่ว่าของสิ่งใดที่เขาและพี่ชายได้หรือมีจะต้องทำส่งไปหรือสำรองไว้ให้นางชุดหนึ่ง กลับกันอาหญิงเองเสียอีกที่ไม่ใคร่พอใจกลับความโปรดปราณที่บุตรสาวได้ ไม่ว่าพูดถึงนางเมื่อใดก็มีสำหน้ากระด้างเย็นชาทุกคราไป ฟังว่านางร่างกายอ่อนแอจึงถูกงดเว้นจากการร่วมโต๊ะอาหารวันปีใหม่หรือร่วมโต๊ะคาราวะผู้ใหญ่ในงานต่างๆ การจะเห็นเงานางสักครั้งยังยากยิ่งกว่าการได้พบท่านลุงใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเสียอีก คุณหนูใหญ่สายหลักผู้ลึกลับ เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าสนใจอยู่พักหนึ่งในจวนตระกูลเซียว ผู้อื่นอยากรู้เท่าไรย่อมไม่สามารถเขามาเขตเรือนสายหลักของพวกเขาได้ แต่ยามยังเล็กเขาเคยเกิดความอยากรู้อยากเห็น กอปรกับปีนั้นนางป่วยหนักแต่เรือยนหลักกับมีนักพรตเซียนยันต์เดินเข้าเดินออกเต็มไปหมดแม้จะเป็นไปอย่างลับๆ แต่จะปกปิดสายตาคนในบ้านใหญ่ด้วยกันได้อย่างไร เขาใคร่อยากรู้ว่านางเป็นอย่างข่าวลือว่าจริงๆ ไม่ได้ป่วยหนักอันใด แต่ถูกผีเข้าจนเสียสติใช่หรือไม่ จึงย่องไปปีนกำแพงแอบดู.... ผลลัพธ์คือไม่ได้เห็นเงาคนกลับถูกจับได้ ท่านลุงใหญ่กับท่านพ่อโมโหใส่เขาจนโดนกักบริเวรอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าน้องหญิงมีผู้นี้มีความลับที่ยิ่งใหญ่อันใดกันแน่ แต่ไม่กล้าไปแอบดูอีก ยามนี้ได้ยินว่านางเพิ่งหายป่วยไข้ แต่ไฉนท่านปู่หักใจให้นางมาเรียนร่วมกลับผู้อื่นได้ เซียวสือรุ่ยดวงตาเป็นประกาย ไม่รู้ว่านางจะนำความประหลาดใจแบบไหนมาฝ่ายคุณหนูใหญ่ผู้เปี่ยมไปด้วยความลึกลับอันหญิงใหญ่กลับถอนหายใจอยู่ในรถม้ามองท่านตาที่ทำตาอาลัยอาวรอย่างเสียไม่ได้ แบบนี้นางได้มีหวังไปเข้าเรียนสายตั้งแต่วันแรกเป็นแน่แท้ เด็กน้อยฉีกรอยหวานประจบเอาใจผู้เป็นตา พลางเอ่ยปลอยว่า “ท่านตาเจ้าขา เดี๋ยวตอนเย็นพวกเราก็ได้เจอกันแล้วเจ้าคะ” เซียวจงสิงยังรำลาหลานพร้อมเช็ดน้ำตาในใจ ลูกนกที่เขาเริ่มฟูมฟักย่อมต้องเติบใหญ่ วันนี้บินไปเรียนที่สำหน้าศึกษา ไม่รู้ว่าวันหน้าจะโบยบินไปถึงที่ใด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ใต้ปีกของตนได้ตลอดไป “อิงเอ๋อร์จำที่ตาบอกได้หรือไม่” เหมยลี่อิงพนักหน้าหงึกงัก พรางกระชับป้ายไม้อาคมให้มิดชิด ป้ายไม้อันนี้ท่านตาเชิญสหายนักพรตมาทำให้ตั้งแต่ยังเล็กเพื่อปกปิดพลังของนาง เหมยลี่อิงค่อนข้างพิเศษนางเกิดมาพร้อมกับพลังปราณอันบริสุทธิ์ดุจของขวัญอันล้ำค่าจากสวรรค์ แต่น้ำหนักของของขวัญนี้ยิ่งใหญ่เกินไป เหมยลี่อิงยังเล็กเกินกว่าจะแบกรับมันไว้ได้ ขอเพียงมีข่าวลือสักเล็กน้อยว่าทารกอายุไม่กี่เดือนกลับเดินลมปราณด้วยตนเอง พลังปราณที่ได้จากกลั่นลมกายใจเจื่อความบริสุทธิ์ผ่องใส ทำให้ทุกผู้คนอยากเข้าใกล้ สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนชิดเ
ในความเห็นของนางสถานศึกษามักพร่ำบอกถึงความเที่ยงธรรมแม้จะเพียงฉากหน้าอย่างน้อยเรื่องนี้ก็ไม่ควรถูกผ่อนปรนง่ายๆ เพื่อทำลายภาพลักษณ์ที่ตระกูลเซียวสายหลักเป็นผู้สร้าง คำถามนี้เป็นกับดักที่บิดานางกำชับไว้อย่างแยบคาย นางไหนเลยจะปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ ในความเห็นของนาง เด็กหญิงคนหนึ่งย่อมสะท้อนทัศนคติที่ถูกปลูกฝังออกมา จากนั้นนางจะทิ้งเมล็ดพันธุ์แห่งความบาดหมางเอาไว้กับสายตระกูลอื่นที่จึงจะเป็นผลลัพธ์ที่นางอยากได้ นางกลับไม่คาดคิดว่าเหมยลี่อิงจะไม่เดินตามสามัญสำนึกถึงกับยกพระพุทธรูปองค์ใหญ่๑ออกมา “เจ้ากำลังเอาท่านผู้อาวุโสมากล่าวอ้าง!” เหล่าอาจารย์ที่ฟังบทสนทนาสีหน้าขุ่นมัวพลัน คุณหนูใหญ่สายรองแม้มีแผนการแต่ก็เป็นการบงการของผู้ใหญ่ ตัวนางเล็กนักด้วยอายุเพียงเจ็ดขวบปีย่อมไม่เข้าใจความลึกล้ำของปลักน้ำ ความเที่ยงธรรมอาจนำกะเกณฑ์กับผู้อื่นได้ แต่เมื่อใช้กับผู้เฒ่าเซียวที่ถือเป็นว่าเป็นกำลังหลักของตระกูล ผู้ทุ่มเทเสียสละเพื่อตระกูลเซียวไปมากมายจนชีวิตครอบครัวแทบพังทลายภรรยาเอกตาย บุตรสาวอีกคนหายสาบสูญเป็นสิ่งสมควรงั้นหรือ ตัวนางไม่รู้จักพอ ยังสาวความต่อการกระทำเหล่านี้ย
เนื่องจากเรือนศึกษาประกอบด้วยเด็กเล็กจำนวนมากจึงมีเพียงชั้นเรียนในช่วงเช้า หลังจากเที่ยงเหล่าคุณหนูนายน้อยล้วนสามารถกลับบ้านหรือเลือกพักผ่อนในห้องพักศิษย์ได้ตามอัธยาสัย เด็กส่วนใหญ่จะใช้เวลาเล่นกับสหายหรือทำความรู้จักกันในโถงกลาง มีบ้างที่กลับบ้านไปพักผ่อนหรือเรียนต่อกับครูที่ทางบ้านหามาเป็นการส่วนตัว เหมยลี่อิงเพิ่มมาใหม่นางไม่ได้สนิทสนมกับใครและไม่ใส่ใจจะสนิทสนม รวมถึงไม่มีภาระหน้าที่หรือแรงกกดดันใดๆ คุณหนูใหญ่เซียวพรูลมหายใจ ทรุดตัวลงบนตั่งด้วยอากาศเวียนศีรษะจากเสียงการแจ้งเตือนของระบบในหัวที่ดังระงมมาตั้งแต่เช้า ในหมู่เด็กๆ มีบ้างที่จะพบพานวาสนา ทว่าอย่างมากก็เป็นวาสนาระดับดินและระดับมนุษย์เท่านั้น ใช่แล้ว โชควาสนาเองก็มีระดับของมัน ตัวอย่างเช่นวาสนาของเซียวอวิ๋นหังที่สามารถพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาถือว่าเป็นวาสนาระดับสวรรค์ วาสนาที่สามารถส่งเสริมเกื้อหนุนแก่ผู้คนได้เรียกว่าวาสนาระดับฟ้า ส่วนโชคลางหรือมงคลที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเรียกว่าวาสนาระดับดิน สำหรับโชคลาภเล็กๆ น้อย ประเภทประเภทของหายได้คืน พ้นจากอากาศป่วยไข้จัดเป็นวาสนาระดับต่ำสุดคือวาสนาระดับมนุษย์ ส่วนวาสนาระดับที่สูงกว่
“เขาที่ว่านั่นคือผู้ใดกันเจ้าคะ การเลือกทำกับผู้อื่นเช่นนั้นเพราะความเชื่อที่ไร้ที่มาที่ไปนั่นนั่นคร่ำครึยิ่ง”เหมยลี่อิงยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ นางอยู่ในโลกจำลองมานานรับเอาค่านิยมเรื่องความเท่าเทียมและความขัดแย้งทางเผ่าพันธุ์มามาก ทั้งยังมองว่าอคติของพี่รองของนางนั้นไม่ดีต่อตัวเขาเท่าไรไม่ว่าในอตีดชาติหรือปัจจุบันก็ดีเซียวสือรุ่ยแม้จะซุกซนแขวกขนบ แต่ทระนงถือดียิ่ง แม้เขาจะฉลาดเฉลียวเพียงใดโลกทัศน์ก็ยังแคบนัก สายตาไม่กว่างไกล ผนวกกับความภาคภูมิใจและความเย่อยิ่งแบบเด็กๆ ที่ถูกปลูกฝังมาของชนชั้นสูงทำให้รับสิ่งที่นางพูดไม่ได้เขาได้แต่คิดว่าน้องหญิงถูกขังอยู่ในเรือนมานานเกินไป ไม่มีใครสอนสิ่งเหล่านี้ให้นางจึงถูกพวกมารหลอกลวงเอาได้ ส่วนท่านปู่ตามตามใจน้องยิ่งมากเกินไปเช่นนี้ใช้การไม่ได้ในฐานะพี่ชายที่ดีเขาต้องนำทางมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องทั้งสองถกเถียงกันไปไม่มีใครมองสีหน้า ‘มาร’ ที่อยู่ในบทสนทนาเซียวอวิ๋นหังยามนี้สับสนในใจ ใช่ เขาเองก็เคยได้ยินว่าใครที่อยู่ใกล้เผ่ามารจะโชคร้าย นี่เป็นเหตุผลที่แม้แต่บ่าวไพร่ในตระกูลเซียวก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขาด้วยสถานะของนางที่เป็นคุณหนูใหญ่ มีเหตุผลใดไฉนต้อง
เด็กหญิงยิ้มหวานอย่างไม่คิดอะไรให้พี่รองและเซียวอวิ๋นหังที่ห่วงกังวล แล้วพาพวกเขาออกไปจากตรงนั้น“แล้วเราจะไปที่ใด” เซียวสือรุ่นไพล่ตามเปี่ยนบรรยากาศ“ท่านเคยสำรวจที่ใดมาแล้วบ้าง”เซียวสือรุ่ยพออกทำท่าทางภาคภูมิใจ “ใคร่ควรถามว่าที่ใดที่พวกข้ายังไม่ได้ไปบ้างจะดีกว่า”“แต่ท่านก็ไม่เจอสิ่งใดไม่ใช่หรือ” เหมยลี่อิงกล่าวไม่เกรงใจ ทำเอาไหล่ที่ยกสูงของคุณชายน้อยชุดเขียวห่อเหี่ยวลงศาลบรรพชนแห่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาอย่างประณีตอย่างแท้จริง พื้นที่กว้างขวางโอ่โถงปลอดโปล่ง แต่คงไว้ซึ่งความสง่างามเคร่งขรึม เคยมีคนกล่าวว่าหากอยากรู้ว่าตระกูลนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานเพียงใด ให้ดูที่ศาลบรรพชนของตระกูลนั้นคำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องเพราะยิ่งตระกูลมีประวัติยาวนานและมีความมั่งคั่งมากเท่าใด ยิ่งให้ความสำคัญกับสถานที่หลังความตายของตนมากเท่านั้น ทั้งคนรุ่นหลังยังต้องขอบคุณบรรพบุรุษที่มอบรากฐานอันยาวนานเหล่านี้ให้สถานที่ตั้งศาลบรรพชนที่ดีต้องมีกี่อย่าง หนึ่งคือต้องมีที่ให้ลมผ่าน สองคือมีที่ให้ธารน้ำไหล ตามนิมิตของพี่รองที่นางเห็นคืออีกฝ่ายไปตามหาเพื่อนที่ขี้ขลาดและหายไปจนพบสะหายอยู่ใต้
ทันใดก็มีแสงปราณห้าสีก่อตัวขึ้นเป็นประตูห้าบาน บานประตูไม้จู่ๆ ก็โผล่มาบนพนังโถง เป็นประตูไม้เก่าแก่จะพังแร่มิพังแร่ไร้ลวดลายใดๆ มีเพียงสีและลายไม้ที่บ่งบอกว่าพวกมันถูกสร้างในช่วงเวลาแตกต่างกันบานไม้แต่ประตูเหมือนแฝงไว้ด้วยมนตร์ขลัง ชวนให้พินิจว่าอีกฝั่งของประตูจะเป็นสถานที่เช่นไร ใจผู้มองล้วนดูดึงดูดไปใต้แสงที่สองลอดออกมาจากเงาประตูไม้ รัศมีที่แผ่ออกมาดุจดั่งถูกเททับด้วยเหล็กกล้านับพันชั่งพร้อมจะพังครืนเหนือหัวได้ทุกเมื่อ ทั้งหนักหนาและอึดอัดจนยากจะหายใจกระต่ายขาวตาแดงฉ๊กยิ้มอย่างสดใส “ล่ะให้ข้าดูว่าโชคชะตาแบบใดกันนะที่พวกเจ้าเลือก~”เหมยลี่อิงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ไพล่ไหล่ผายมือไปทางเซียวสือรุ่ย “พี่รองท่านเลือกเถอะ”เด็กชายชุดเขียวแขวะในใจว่าน้องสาวที่หน้าตาหน้ารักออกปานนี้ไปเรียนกริยาไม่งามเช่นนี้มาจากที่ใด“ประตูไม้บานนี้ก็แล้วกัน” เจ้าก้อนแป้งเหมยแอบโล่งใจเพราะประตูที่เด็กชายสุ่มชี้ไปเป็นประตูไม้ตรงกลางบานเดียวกันกับนางเห็นในนิมิต“โอ้ พวกเจ้าแน่ใจหรือ” กระต่ายขาวถามอย่างยียวนเมื่อเห็นเด็กทั้งสามพยักหน้าแน่ใจ มันก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าไป ประตูไม้บานใหญ่ที่เหลือหายไปเหล่าเพียงหนึ่งบา
เจ้าดวงตาสีแดงเป็นอสรพิษไฟตัวใหญ่เขื่องตัวหนึ่งที่ไม่รู้เลื้อยมาตั้งแต่เมื่อใด ดวงตาเดรัจฉานคู่นั้นแดงฉานลุกไหม้ราวลูกไฟ ด้านหลังมันที่ไม่รู้เรียกว่าอะไรแผ่ออกเป็นเชิงรุกราน ลิ้นสองแฉกสีแดงปานโลหิตหยดน้ำลาย“ฉิบหาย!”ไม่รอช้าพริบตาที่งูฉกลงมา เซียวอวิ๋นหังก็คว้างน้องสาวและสิ่งอื่นๆ (?) ไปทิศตรงข้ามแล้วล่อมันไปอีกทางหนึ่ง“นี่ท่านไปเอามันมาตั้งแต่เมื่อไร!” เหมยลี่อิงที่ถูกเซียวอวิ๋นหังรองรับไว้ ร้องเหวใส่อย่างอดใจไม่ได้ เพราะสิ่งที่พี่รองยัดใส่อกนางไม่ใช่อื่นใดนอกจากเจ้าลูกหมีศิลา!“ระวัง!”เด็กชายชุดเขียววัยแปดขวบเปรียบเทียบกับงูอัคคีตัวใหญ่ดูอย่างไรก็ไม่ได้เปรียบเลยแม้แต่น้อยทว่าเซียวอวิ๋นหังแม้พละกำลังสู้ไม่ได้ แต่เขาคล่องแคล้วว่องไว มีไหวพริบฉลาดฉลาด เมื่อรู้ว่าสู้แรงมันไม่ได้ก็ไม่ใช้การปะทะซึ่งหน้า อาศัยความเร็วล่อหลอกให้มันหัวหมุนไปรอบๆ เป็นวงใหญ่เพียงเจ้างูตัวใหญ่หาใช่ภัยคุกคามเดียว กลิ่นไหม้ของไฟป่าฉุนกรุ่นควันโชยฟ้า องศาความร้อนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะทนได้นาน เหมยลี่อิงและเซียวสือรุ่ยโชคดีที่ชุดทำจากไหมน้ำแข็งสถานะของเซียวอวิ๋นหังกลับสู้ไม่ได้ แม้เพิ่งย้ายมาอยู่เรือนรองของน
เซียวสือรุ่ยลองถามแน่นอนว่าเจ้าหมีตัวใหญ่ไม่เข้าใจ เขาเลยลองเดินตามมันตัวมันในที่สุดก็คิดว่าพวกเขาคงเข้าใจความนัยจึงนำทางพวกเขาไปในที่สุดแสงตะวันถอดผ่านแนวผา ชะแง่งหินขรุขระทางเดินคับแคบ เด็กมอมแมมสามคนเดินตามแม่หมีที่มีลูกน้อยนั่งอยู่บนหัวหนึ่งตัว“เจ้าจะพาพวกเราเดินไปถึงเมื่อไร”แน่นอนว่ามารดาหมีศิลาไม่อาจตอบพวกเขาได้ พวกเขาได้แต่เดินตามมันไป กระทั่งจวนจะเดินไม่ไหว เซียวสือรุ่ยได้ประคองเหมยลี่อิงที่กำลังจะล้มลงแม่มีสีน้ำตาลตัวใหญ่จึงผินหน้ากลับมาก็ค้อมตัวให้ เจ้าลูกหมีเข้าใจมันรีบลงจากหลังแม่ ดึงแขนเสื้อชุดเด็กๆ ให้ขึ้นมา“พวกเราขึ้นไปได้จริงหรือ” เหมยลี่อิงตามอย่างไม่ค่อยแน่ใจเซียวสือรุ่ยประคองน้องสาวขึ้นไปท่าทางระวังภัยอยู่ในที กระทั่งไม่เห็นแม่หมีโมโหก็ว่างใจ ให้เซียวอวิ๋นหังปีนตามขึ้นไปแล้วค่อยปิดท้ายด้วยตนเหมยลี่อิงลอบยิ้ม พี่รองของนางเป็นเช่นนี้เสมอ แม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่ค่อนใส่ใจอะไร แต่กลับขวัญกล้าจิตใจละเอียดอ่อนกลายเป็นสามคนหนึ่งตัวอยู่ถูกบรรทุกอยู่บนหลังแม่หมีตัวใหญ่ ขนสีน้ำตาลของหมีศิลาไม่อ่อนนุ่มเหมือนลูกหมี ขนเส้นหนาระคายสากบนแผ่นหลังกว้างทำให้นางไม่สบายตัวอยู่บ้
นัยต์ตาดอกท้อทอประกายระยิบระยับ เหมยลี่อิงแย้มยิ้มอย่างน่ารัก นางหยิบกระระฆังเล็กๆ สีทองเหลืองขนาดเท่ากำมือออกมาพลางกล่าว “ลี่อิงคาราวะท่านตา ขอให้ท่านตาอายุยืนยาวเป็นพันๆ ปีดุจเขาไท่ซ่าน มีความสุขโชติช่วงไม่สิ้นสุดเจ้าค่ะ ” เสียงกระฆังน้อยในมือนางก้องกังวาลเป็นสัญญาณให้โคมลอยมากมายที่ถูกจุดจนส่องสว่างลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่มีใครรู้ว่านางใช้วิธีการใดเหล่าโคมกลับไม่ลอยปลิวหนีไป แต่ค่อยๆ เรียบตัวเหนือผืนฟ้าเป็นอักษร“福 (ฝู)—ความสุข มีโชค)” ที่สวยงามอย่างยิ่ง ใต้ท้องนภาสีดำเข้มราวน้ำหมึก ปรากฎประภาอักษร ‘ฝู’ สีทองส่องสว่างงดงามเป็นมงคล เฉิดฉายราวจะกลบแสงจันทร์ให้หม่นหมอง เหมยลี่อิงยิ้มตาหยีลั่นระฆังใบน้อยในมืออีกครั้ง ม้วนกระดาษใต้โคมไฟเหล่านั้นถูกปล่อยลงมา โคมทุกใบเต็มไปด้วยคำอวยพรอันเรียบง่ายแต่จริงใจจากพวกเขาสามคนพี่น้อง ‘ขอให้ท่านตาอายุยืนยาวเป็นที่รักของลี่อิงตลอดไป’ ‘ขอให้ท่านตามีความสุขดุจอาทิตย์เที่ยงวัน’ ‘ขอให้ท่านตารักข้ามากขึ้น ทำโทษข้าน้อยลง’ ‘…..’ ‘ขอใหท่านตาสุขภาพแข็งแรง’ ‘ขอให้ท่านตาแข็งแกร่งดั่งวัวเหล็กยักษ์ ก้าวขาทีสะเทือนขุนเขา’ ‘ขอให้เส้นทางบำเพ็ญข
หากจ้าวลี่อิงคือดารากลางนภาสว่างไสวให้ผู้คนต้องเหลียวมองซ้ำ การคงอยู่เหมยลี่อิงนั้นกลับเจิดจรัสดั่งจันทร์ฉาย ทำให้ผู้คนไม่อาจล่ะสายตาจากนางได้ตั้งแต่แรกเริ่มเด็กหญิงในชุดสีแดงอิ่มเอิ่บดุจผลทับทิมสุกงอม ผิวขาวกระจ่างราวหิมะแรก คิ้วโก่งดั่งใบหลิว นัยต์ตาดอกท้อเปล่งประกายเหมือนบรรจุไว้ด้วยมหาสมุครดวงดาวนับหมื่นพันทั้งที่สามใส่อาภรณ์สีแดงสดใส แต่กลิ่นอายของนางกลับวิสุทธิ์สุกใสปราศจากมนทินใดๆ ดุจเซียนน้อยใต้อาสนะดอกบัวของพระโพธิ์สัตว์ผู้ค้ำจุนสรรพชีวิต ทำให้ผู้คนรู้สึกทั้งต้องเว้นระยะห่างและต้องการชิดใกล้นางโดยสัญชาตญาณกล่าวโดยสรุปนางเหมือนตุ๊กตามงคลตัวน้อยอันปราณีตที่ให้ความรู้สึกไม่คล้ายสมจริงเสียงไพเราะของปีกปิ่นผีเสี้อสีลูกหว้ากระทบกันเบาๆ เหนือศรีษะ เวลาที่นางย่างก้าวยังส่งเสริมให้นางดูศักดิ์สิทธิ์สง่างาม“ผู้คนสามารถงดงามได้ถึงเพียงนี้จริงๆ ” ซ่งจินรู้สึกว่าตนมีชีวิตอยู่มาสิบสี่ปีช่างเสียเปล่านัก วันนี้ถึงได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าคนงามที่แท้จริง เขาอดไม่ได้เย้าแหย่สหายข้างกายเล็กน้อย “เจ้ามิใช่บอกว่านางมีข่าวลือว่าอัปลักษณ์พิกลพิการหรอกหรือ”คุณชายผู้นั้นพึมพำอย่างเลื่อนลอย “นางน่ะหร
ช่องสีเหลี่ยมตารางตัดขวางเสมอกัน เม็ดขาวดำกลมเกลี้ยงเป็นมันวาว ชั้นเรียนนี้วันนี้คือหมากล้อมหนึ่งในศาสตร์ศิลป์อันเลื่องลื่อหมากขาวบนกระดานค่อยๆ ถูกรุกไล่ ถูกกลืนกินที่ละนิดดุจชายฝั่งเซาะน้ำฝนค่อยเลือนหาย เม็ดทรายกระจัดกระจายลงผืนน้ำ สายน้ำนั้นทั้งอ่อนโยน ลุ่มลึกแต่กลับไม่อาจต้านทานได้เหมยลี่อิงได้แต่นั่งมองหมากขาวถูกกลืนหายปตาปริบๆ อย่างช่วยไม่ได้“ข้าแพ้อีกแล้ว!”นางทรุดตัวลงบนเก้าอี้ถามอย่างท้อแท้ “เจ้าเพิ่งเคยเล่นจริงๆ หรือ”“ถูกต้อง” เซียวอวิ๋นหังกล่าวโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีเหมยลี่อิงยิ่งฟังยิ่งโรยแรงดุจต้นกล้าน้อยที่เหี่ยวเฉา นางแทบทำใจเชื่อไม่ได้ว่าตัวนางที่ประสบการณ์มากมายกลับพ่ายแพ้ให้กลับเด็กที่เพิ่งหัดเล่นไม่ถึงครึ่งชั่วยามตาแรกยังพอแก้ตัวได้ว่าตนประมาทไปพอตาที่สองตาที่สามที่สี่ที่ห้า....นางอยากจะบ้าตาย ไม่รู้ว่าตัวเขาเป็นอัจฉริยะเกินไปหรือว่านางโง่เขลาเกินไปกันแน่เด็กหญิงเริ่มสงสัยในชีวิตหรือทุกสิ่งที่นางประสบมาล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นฟองสบู่บางๆ ที่ถูกจิ้มแตกแล้วก็จางหาย“เป็นถึงคุณหนูใหญ่สายตรงกับไม่อาจเอาชนะแม้แต่ลูกอนุสายสี่ได้ เจ้าช่างน่าอนาจใจโดยแท้”เสียงดัดแ
“พิษ?” ในที่นี้มีเพียงเซียวสือรุ่ยที่ตกใจ“เป็นพิษไร้สี ไร้กลิ่น สะสมทีน้อยและออกฤทธิ์เมื่อผ่านไปหมื่นวันเท่านั้น เมื่อมันออกฤทธิ์ผู้ต้องพิษจะเส้นลมปราณสูญสลายและถึงแก่ความตายโดยไร้ยาแก้”เซียวสือหลงแทบทำใจเชื่อไม่ได้ “...ยาพิษที่ทำลายเส้นลมปราณ”“ผู้ใดกัน ช่างชั่วร้ายอะไรเช่นนี้!” เซียวสือรุ่ยกัดฟันกล่าวเซียวจงสิงถอนหายใจ “ข้ากลับไม่รู้ว่าตนถูกวางยาตั้งแต่เมื่อใด ยังดีที่ได้ส่าหร่ายคลายวิญญาณของอิงเอ๋อร์ มิเช่นนั้นครานี้คงย่ำแย่แล้วจริงๆ ”เด็กหญิงพูดไม่ออกคล้ายก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ในลำคอ ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วยของตัวเองเงียบๆในกาลก่อนท่านตาผู้ยิ่งใหญ่ของนางถูกยาพิษนี้เล่นงาน กว่ารู้ตัวก็สายเกินแก้ไข แต่ครานี้นางช่วยท่านตาเอาไว้ได้ตระกูลเซียวที่ไม่สูญเสียเสาค้ำยันก็สมควรเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นใช่หรือไม่ไม่มีผู้ใดบอกได้กระทั่งตัวนางเองก็ยังไม่แน่ใจชีวิตที่เจ็บปวด ล้มเหลว ร่อนเร่ เซซังแหลกสลายยังคงเกิดขึ้นและไม่เคยผ่านไป ติดค้างอยู่ในความทรงจำอันเจ็บปวดเหมือยปลายเข็มซ่อนในยอดหญ้า รอคอยประเดประดังเข้ามาทุกคราที่นางล้มลงในความโดดเดี่ยวเด็กหญิงโผกอดท่านตาที่อุ้มนางเอาไว้
เซียวสือรุ่ยเบ้ปาก เดินไปยังลูกกลมสีทองที่ดูสว่างที่สุดในความคิดเขา แม้ความจริงๆ แล้วทุกๆ อันจะสว่างเท่ากันก็ตาม เซียวอวิ๋นหังเพียงหยิบลูกแก้วสีเงินที่โผล่ขึ้นมาข้างเท้า ในเมื่อทั้งหมดแล้วเป็นของดีจะอันไหนก็เหมือนกัน เขาจะมอบให้เสี่ยวอิงหมด เหมยลี่อิงเรียกระบบในใจ “ตอนนี้ข้ามีแต้มลิขิตเท่าไร”[โฮสต์ได้รับมาสองร้อยแต้ม รวมกับที่สะสมไว้ในโลกภารกิจ สามหมื่นสองพันสี่ร้อยแต้ม เป็นทั้งหมดสามหมื่นสองพันหกร้อยแต้ม ]“ใช้แรกเนตรหยั่งรู้ระดับแรก”[ทำการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น โฮสต์ได้รับเนตรหยั่งรู้ระดับหนึ่งคงเหลือ สามหมื่นหกร้อยแต้ม]นัยต์ตาดอกท้อของเด็กหญิงทอประกายสีทองจางๆ เหมยลี่อิงไม่รอช้ารับหยิบของที่นางต้องการทันทีผู้เฒ่ากระต่ายเท้าอุ้งเท้านุ่มนิ่มเท่าคางมองนางอย่าพิจารณาครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้ว่าอะไร ความสามารถก็นับเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่งเช่นกันกระต่ายเป็นสัตว์คิดไวใจร้อนเสร็จธุระแล้วก็จะใส่ใจเห็นพวกเขาเลือกของรางวัลกันแลวก็กระทืบเท้าเคาะพื้นส่งพวกมนุษย์จิ๋วออกจากแดนลับทันที“อ้ากก เจ้าอ้วกใส่เสื้อข้าแล้วเจ้าโง่ !”เซียวสือรุ่ยหยิบตัวเซียวอวิ๋นหังขึ้นมาโยนเข้าไปในธารน้ำจุดที่
เซียวสือรุ่ยลองถามแน่นอนว่าเจ้าหมีตัวใหญ่ไม่เข้าใจ เขาเลยลองเดินตามมันตัวมันในที่สุดก็คิดว่าพวกเขาคงเข้าใจความนัยจึงนำทางพวกเขาไปในที่สุดแสงตะวันถอดผ่านแนวผา ชะแง่งหินขรุขระทางเดินคับแคบ เด็กมอมแมมสามคนเดินตามแม่หมีที่มีลูกน้อยนั่งอยู่บนหัวหนึ่งตัว“เจ้าจะพาพวกเราเดินไปถึงเมื่อไร”แน่นอนว่ามารดาหมีศิลาไม่อาจตอบพวกเขาได้ พวกเขาได้แต่เดินตามมันไป กระทั่งจวนจะเดินไม่ไหว เซียวสือรุ่ยได้ประคองเหมยลี่อิงที่กำลังจะล้มลงแม่มีสีน้ำตาลตัวใหญ่จึงผินหน้ากลับมาก็ค้อมตัวให้ เจ้าลูกหมีเข้าใจมันรีบลงจากหลังแม่ ดึงแขนเสื้อชุดเด็กๆ ให้ขึ้นมา“พวกเราขึ้นไปได้จริงหรือ” เหมยลี่อิงตามอย่างไม่ค่อยแน่ใจเซียวสือรุ่ยประคองน้องสาวขึ้นไปท่าทางระวังภัยอยู่ในที กระทั่งไม่เห็นแม่หมีโมโหก็ว่างใจ ให้เซียวอวิ๋นหังปีนตามขึ้นไปแล้วค่อยปิดท้ายด้วยตนเหมยลี่อิงลอบยิ้ม พี่รองของนางเป็นเช่นนี้เสมอ แม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่ค่อนใส่ใจอะไร แต่กลับขวัญกล้าจิตใจละเอียดอ่อนกลายเป็นสามคนหนึ่งตัวอยู่ถูกบรรทุกอยู่บนหลังแม่หมีตัวใหญ่ ขนสีน้ำตาลของหมีศิลาไม่อ่อนนุ่มเหมือนลูกหมี ขนเส้นหนาระคายสากบนแผ่นหลังกว้างทำให้นางไม่สบายตัวอยู่บ้
เจ้าดวงตาสีแดงเป็นอสรพิษไฟตัวใหญ่เขื่องตัวหนึ่งที่ไม่รู้เลื้อยมาตั้งแต่เมื่อใด ดวงตาเดรัจฉานคู่นั้นแดงฉานลุกไหม้ราวลูกไฟ ด้านหลังมันที่ไม่รู้เรียกว่าอะไรแผ่ออกเป็นเชิงรุกราน ลิ้นสองแฉกสีแดงปานโลหิตหยดน้ำลาย“ฉิบหาย!”ไม่รอช้าพริบตาที่งูฉกลงมา เซียวอวิ๋นหังก็คว้างน้องสาวและสิ่งอื่นๆ (?) ไปทิศตรงข้ามแล้วล่อมันไปอีกทางหนึ่ง“นี่ท่านไปเอามันมาตั้งแต่เมื่อไร!” เหมยลี่อิงที่ถูกเซียวอวิ๋นหังรองรับไว้ ร้องเหวใส่อย่างอดใจไม่ได้ เพราะสิ่งที่พี่รองยัดใส่อกนางไม่ใช่อื่นใดนอกจากเจ้าลูกหมีศิลา!“ระวัง!”เด็กชายชุดเขียววัยแปดขวบเปรียบเทียบกับงูอัคคีตัวใหญ่ดูอย่างไรก็ไม่ได้เปรียบเลยแม้แต่น้อยทว่าเซียวอวิ๋นหังแม้พละกำลังสู้ไม่ได้ แต่เขาคล่องแคล้วว่องไว มีไหวพริบฉลาดฉลาด เมื่อรู้ว่าสู้แรงมันไม่ได้ก็ไม่ใช้การปะทะซึ่งหน้า อาศัยความเร็วล่อหลอกให้มันหัวหมุนไปรอบๆ เป็นวงใหญ่เพียงเจ้างูตัวใหญ่หาใช่ภัยคุกคามเดียว กลิ่นไหม้ของไฟป่าฉุนกรุ่นควันโชยฟ้า องศาความร้อนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะทนได้นาน เหมยลี่อิงและเซียวสือรุ่ยโชคดีที่ชุดทำจากไหมน้ำแข็งสถานะของเซียวอวิ๋นหังกลับสู้ไม่ได้ แม้เพิ่งย้ายมาอยู่เรือนรองของน
ทันใดก็มีแสงปราณห้าสีก่อตัวขึ้นเป็นประตูห้าบาน บานประตูไม้จู่ๆ ก็โผล่มาบนพนังโถง เป็นประตูไม้เก่าแก่จะพังแร่มิพังแร่ไร้ลวดลายใดๆ มีเพียงสีและลายไม้ที่บ่งบอกว่าพวกมันถูกสร้างในช่วงเวลาแตกต่างกันบานไม้แต่ประตูเหมือนแฝงไว้ด้วยมนตร์ขลัง ชวนให้พินิจว่าอีกฝั่งของประตูจะเป็นสถานที่เช่นไร ใจผู้มองล้วนดูดึงดูดไปใต้แสงที่สองลอดออกมาจากเงาประตูไม้ รัศมีที่แผ่ออกมาดุจดั่งถูกเททับด้วยเหล็กกล้านับพันชั่งพร้อมจะพังครืนเหนือหัวได้ทุกเมื่อ ทั้งหนักหนาและอึดอัดจนยากจะหายใจกระต่ายขาวตาแดงฉ๊กยิ้มอย่างสดใส “ล่ะให้ข้าดูว่าโชคชะตาแบบใดกันนะที่พวกเจ้าเลือก~”เหมยลี่อิงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ไพล่ไหล่ผายมือไปทางเซียวสือรุ่ย “พี่รองท่านเลือกเถอะ”เด็กชายชุดเขียวแขวะในใจว่าน้องสาวที่หน้าตาหน้ารักออกปานนี้ไปเรียนกริยาไม่งามเช่นนี้มาจากที่ใด“ประตูไม้บานนี้ก็แล้วกัน” เจ้าก้อนแป้งเหมยแอบโล่งใจเพราะประตูที่เด็กชายสุ่มชี้ไปเป็นประตูไม้ตรงกลางบานเดียวกันกับนางเห็นในนิมิต“โอ้ พวกเจ้าแน่ใจหรือ” กระต่ายขาวถามอย่างยียวนเมื่อเห็นเด็กทั้งสามพยักหน้าแน่ใจ มันก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าไป ประตูไม้บานใหญ่ที่เหลือหายไปเหล่าเพียงหนึ่งบา
เด็กหญิงยิ้มหวานอย่างไม่คิดอะไรให้พี่รองและเซียวอวิ๋นหังที่ห่วงกังวล แล้วพาพวกเขาออกไปจากตรงนั้น“แล้วเราจะไปที่ใด” เซียวสือรุ่นไพล่ตามเปี่ยนบรรยากาศ“ท่านเคยสำรวจที่ใดมาแล้วบ้าง”เซียวสือรุ่ยพออกทำท่าทางภาคภูมิใจ “ใคร่ควรถามว่าที่ใดที่พวกข้ายังไม่ได้ไปบ้างจะดีกว่า”“แต่ท่านก็ไม่เจอสิ่งใดไม่ใช่หรือ” เหมยลี่อิงกล่าวไม่เกรงใจ ทำเอาไหล่ที่ยกสูงของคุณชายน้อยชุดเขียวห่อเหี่ยวลงศาลบรรพชนแห่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาอย่างประณีตอย่างแท้จริง พื้นที่กว้างขวางโอ่โถงปลอดโปล่ง แต่คงไว้ซึ่งความสง่างามเคร่งขรึม เคยมีคนกล่าวว่าหากอยากรู้ว่าตระกูลนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานเพียงใด ให้ดูที่ศาลบรรพชนของตระกูลนั้นคำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องเพราะยิ่งตระกูลมีประวัติยาวนานและมีความมั่งคั่งมากเท่าใด ยิ่งให้ความสำคัญกับสถานที่หลังความตายของตนมากเท่านั้น ทั้งคนรุ่นหลังยังต้องขอบคุณบรรพบุรุษที่มอบรากฐานอันยาวนานเหล่านี้ให้สถานที่ตั้งศาลบรรพชนที่ดีต้องมีกี่อย่าง หนึ่งคือต้องมีที่ให้ลมผ่าน สองคือมีที่ให้ธารน้ำไหล ตามนิมิตของพี่รองที่นางเห็นคืออีกฝ่ายไปตามหาเพื่อนที่ขี้ขลาดและหายไปจนพบสะหายอยู่ใต้