เขาออกมาจากห้องทำงาน และไปหาเซิ่งเป่ยพอดีเซิ่งเป่ยก็กำลังจะมาเรียกเขาไปกินข้าว“ฉินอันอันเชิญนายไปหรือเปล่า?” ฟู่สือถิงถามเขา“นายหมายถึงงานวันเกิดของเด็ก ๆ ใช่ไหม? ยังเลย!” เซิ่งเป่ยถาม “เธอเชิญนายไปหรือเปล่า?”ฟู่สือถิงส่ายหัว“ไม่เป็นไร ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งเดือน! เดี๋ยวเธอก็ต้องบอกให้เรารู้” เซิ่งเป่ยพูดอย่างมั่นใจ “ถึงแม้เธอจะไม่เชิญนาย เธอก็ต้องเชิญฉันอยู่ดี เพราะฉันกับเธอเราเคลียร์กันไปแล้ว”ฟู่สือถิงไม่ได้โต้แย้งเขา แต่แค่สงสัย “ฉันไม่ได้ทะเลาะอะไรกับเธอ ทำไมเธอถึงไม่เชิญฉันล่ะ?”เซิ่งเป่ยวิเคราะห์ “ถึงพวกนายจะไม่ได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรงเหมือนเมื่อก่อน แต่ปัญหาก็ร้ายแรงมากนะ! เธอรับไม่ได้กับสิ่งที่นายเป็น นายเองก็ไม่อยากไปง้อเธอแล้วไม่ใช่เหรอ”“ขอพูดหน่อยเถอะ อย่าใช้คำพูดแปลก ๆ ได้ไหม?” ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเซิ่งเป่ยปิดปาก แล้วเปลี่ยนเรื่อง “บ่ายนี้ไปซื้อของขวัญให้เด็ก ๆ กันไหม?”“อืม” ของขวัญของรุ่ยลาเลือกง่าย แต่ของเสี่ยวหานนั้นยากกว่า“งั้นเราไปดูนิทรรศการจัดแสดงเทคโนโลยีกันดีไหม ดูว่ามีของเล่นไฮเทคใหม่ ๆ อะไรบ้าง” เซิ่งเป่ยเสนอฟู่สือถิงพยักหน้า……หนึ่งสัปดาห
ลูกค้าเดินออกไปไวราวกับพายุเลขาเอ่ยปาก “คุณฉิน ต้องการเชิญคุณฟู่สือถิงเข้ามาเลยไหมคะ?"ฉินอันอันเปิดโทรศัพท์ดูเวลาและอีกอย่างก็เพื่อเช็กดูว่าเขาโทรหรือส่งข้อความมาล่วงหน้าหรือเปล่าแต่ปรากฏว่าไม่มีเลยเขามาที่นี่อย่างกะทันหัน แค่ผ่านทางมา หรือมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า?อารมณ์สงบแต่เดิมของเธอถูกรบกวนแลล้วเธอออกมาจากห้องรับรองแล้วไปหาเขาเมื่อเธอมาถึงล็อบบี้ชั้นหนึ่ง เธอก็เห็นลูกค้าของเธอกำลังคุยกับฟู่สือถิง ทั้งโค้งคำนับและพยายามประจบประแจงซึ่งเป็นอะไรที่ดูน่ารำคาญมากฟู่สือถิงเห็นเธอเดินออกมาจากลิฟต์ ดวงตาลึกล้ำของเขาก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของเธอทันที“ประธานฟู่ ถ้าอย่างนั้นไม่รบกวนคุณแล้วครับ” เมื่อลูกค้าเห็นฉินอันอันมา เขาก็บอกลาฟู่สือถิงทันทีฉินอันอันเดินไปหาฟู่สือถิง มองดูใบหน้าหล่อเหลาของเขา "มีอะไรที่เราไม่สามารถคุยกันทางโทรศัพท์ด้วยเหรอ?”“คุณกำลังต่อว่าผมที่แวะมาหาคุณที่บริษัทงั้นเหรอ?” ดวงตาคมเหมือนเหยี่ยวของเขากวาดมองไปรอบ ๆแผนกต้อนรับและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฝ้าดูพวกเขาจากระยะไกลเชื่อว่าอีกไม่นาน เหตุการณ์ที่มาหาเธอถึงที่จะแพร่กระจายไปทั่วบริษัทแน่“
หน้าต่างเลื่อนลง ใบหน้าของไมค์ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา“เฮ้! พวกคุณสองคนกำลังทำอะไรอยู่หน้าบริษัทน่ะ อาบแดดกันอยู่เหรอ?” ไมค์แซว “ใกล้จะถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว ผมขอแนะนำให้พวกคุณสองคนหาร้านอาหาร ค่อย ๆ นั่งคุยกัน ทะเลาะกันประเจิดประเจ้อแบบนี้ บริษัทจะได้รับผลกระทบในทางลบเอานะ”ใบหน้าของฉินอันอันเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีฟู่สือถิง "ไปกินข้าวกันไหม?"ฉินอันอัน "ฉันไม่ไปกินข้าวกับคุณหรอก"หลังจากพูดจบ เธอก็หันหลังกลับและเดินเข้าไปในบริษัทไมค์บีบแตรแล้วพูดกับฟู่สือถิง "เลี้ยงข้าวผมหน่อยสิ!"ฟู่สือถิงเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ตั้งใจว่าจะจากไป“เลี้ยงข้าวผมหน่อย แล้วเดี๋ยวผมจะซื้ออาหารกลางวันใส่กล่องไปให้ฉินอันอัน!” ไมค์เรียกเขาก้าวเดินของเขาหยุดชะงักทันทีทั้งสองเข้าไปนั่งที่ร้านอาหารใกล้บริษัท หลังจากไมค์สั่งอาหารสองอย่างและซุปหนึ่งอย่างให้ฉินอันอัน เขาจดหมายเลขโทรศัพท์ของฉินอันอันไว้ และขอให้พนักงานเสิร์ฟนำไปส่งโดยตรงในภายหลังฟู่สือถิงขมวดคิ้ว "คุณเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของฉินอันอันแบบนี้เลยเหรอ!"ไมค์ตะคอก "ปกติฉินอันอันก็สั่งอาหารกลับบ้านจากร้านนี้อยู่แล้ว!"ฟู่สือถิง "..."“คุณคิดว
“คิดยังไงน่ะเหรอ?” ฉินอันอันผลักแขนเขาออก “เขามามีอิทธิพลกับความคิดของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”ไมค์งงเล็กน้อย “หรือไม่เธอก็ลองโทรถามเขาดูสิ?”ฉินอันอัน “ทำไมฉันต้องโทรหาเขาด้วย? ถ้าเขาอยากรู้จริง ๆ ว่าฉันคิดยังไง ทำไมไม่มาถามฉันเองล่ะ?”ไมค์ “อ้อ… งั้นฉันนัดให้เขามาเจอเธอดีไหม?”“ไมค์ นายเป็นคนของใครกันแน่?”“ก็เป็นคนของเธอน่ะสิ! ถ้าฉันเป็นคนของฟู่สือถิงจริง ฉันคงช่วยเขาตามจีบเธอทุกวิถีทางไปแล้ว! และตอนนี้เขาก็คงไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก”ฉินอันอันไม่สงสัยในความจริงใจของไมค์ที่มีต่อเธอ“ฉันตั้งใจจะบินไปประเทศบีสักหน่อย อยู่ที่บริษัทนี่ก็ไม่มีอะไรต้องทำ เด็ก ๆ ก็เรียบร้อยดี ฉันบินไปประเทศบีแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับมา” ฉินอันอันพูดไมค์ “ไปดูอะไร? ไปดูคนไข้ของเธอเหรอ? ขาไปขากลับใช้เวลาเป็นวันเลยนะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดลูก ๆ แล้ว ไม่รอให้งานวันเกิดผ่านไปก่อนแล้วค่อยไปล่ะ?”ฉินอันอันคิดเรื่องนี้ไว้แล้วอวิ๋นโม่โทรมาหาเธอตั้งสองครั้งแล้ว เธออยากไปดูสภาพเขาในตอนนี้เต็มทีถึงแม้ว่าการเดินทางไปกลับจะเสียเวลามาก แต่เธอก็ชินกับการขึ้นเครื่องเสียแล้ว จึงไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร…… เย็นว
ทันใดนั้น ก็มีมือใหญ่มาตบไหล่เขาจากด้านหลังเขาเม้มริมฝีปาก ร่างกายตึงเครียด หันกลับมาอย่างช้า ๆ…“พี่เซิ่ง เจ้านายผมไม่ชอบเสียงดังครับ ช่วยคุยโทรศัพท์เบา ๆ หน่อย” บอดี้การ์ดของฟู่สือถิงเตือนอย่างสุภาพเซิ่งเป่ยเห็นฟู่สือถิงหน้าตาเคร่งขรึมยืนอยู่ไม่ไกลเขารู้สึกเหมือนเข่าโดนยิง อยากจะคุกเข่าลงไปตรงนั้นจริง ๆเมื่อกี้นี้เขาต่อว่าฉินอันอันไปตั้งมากมาย วิจารณ์ความสัมพันธ์ของพวกเขาเสียงดังขนาดนั้น ฟู่สือถิงต้องได้ยินแน่ว่าไหม? ต้องได้ยินแน่!“สือถิง!” เซิ่งเป่ยพยายามฝืนยิ้มสดใสด้วยความรู้สึกผิด“ไสหัวไป!” ทันทีฟู่สือถิงพูดคำนี้ออกมา บอดี้การ์ดก็พาเซิ่งเป่ยออกไปทันที…… เซิ่งเป่ยขึ้นรถ ถอนหายใจ“พี่เซิ่ง” เสียงโจวจื่ออี้ดังมาจากโทรศัพท์เซิ่งเป่ยถึงกับตกใจ เขายังไม่ได้วางสาย!ตอนที่ฟู่สือถิงไล่เขา โจวจื่ออี้ก็ได้ยินน่ะสิเฮ้อ! เขาทั้งเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรีไปหมดแล้ว“อยากจะเยาะเย้ยฉันหรือไง?” เซิ่งเป่ยหมดหวัง“เปล่า ผมแค่อยากจะแนะนำพี่ พี่ลองคิดดูดี ๆ นะ ที่จริงฉินอันอันไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย พี่แค่ไม่ค่อยได้เจอเธอบ่อย ๆ เพราะงั้นอาจจะมีอคติกับเธอก็ไม่แปลก” โจวจื่ออี้ไปบ้านฉิ
“ฉินอันอัน! คุณจะไปไหน?” เสียงของเขาแหบแห้งและเย็นชาเธอจับสังเกตได้ว่าเขาเพิ่งตื่น เพราะน้ำเสียงของเขาค่อนข้างยานคางเล็กน้อย“ฉันจะไปทำธุระที่ประเทศบีนิดหน่อย” ฉินอันอันที่ยื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วเดินเข้าไปข้างใน “ใครบอกคุณว่าฉันกำลังจะเดินทางเร็วขนาดนี้?”เขาไม่ตอบ แต่ถามกลับ “ใกล้จะถึงวันเกิดลูกผมแล้ว แต่วันนี้คุณบินไปประเทศบี มีอะไรเร่งด่วนหรือเปล่า?”ถ้าเป็นเวลาปกติเธออาจจะแซะว่าเขาจุ้นจ้านเกินไปแต่ในขณะนี้ อารมณ์ของเธอสงบมาก ไม่ต้องการโต้เถียงกับเขาในเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เขาคงถามก็เพราะเป็นห่วงเธอ“ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนหรอก” เธอพูดอย่างใจเย็น “ฟู่สือถิง นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องรายงานให้คุณทราบทุกเรื่อง แต่ฉันจะกลับมาให้ทันก่อนถึงงานวันเกิดลูกแน่นอน”เขาลูบคิ้วและสงบอารมณ์ลง "ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว"“คุณไปนอนต่อเถอะ! ฉันจะขึ้นเครื่องแล้ว” เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย คิดกับตัวเองว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้คุยกับเขาดี ๆ?ดูเหมือนพวกเขาจะคุ้นเคยกับการเผชิญหน้ากันด้วยฝีปากด้านที่แหลมคมที่สุด"อืม"หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ เขาก็ยกผ้านวมขึ้น ยกขายาว ๆ ลุกจากเตียง
เขาคงดีใจมากแน่ ๆ ใช่ไหม?แต่ครอบครัวของเขาอาจจะไม่ต้อนรับเธอเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เป็นคนมีหน้ามีตา คงไม่ถึงกับไล่ตะเพิดเธอไปหรอกรถแล่นผ่านร้านขายดอกไม้ เธอจอดรถข้างทาง เลือกซื้อช่อคาร์เนชั่นสดหนึ่งช่อ จ่ายเงินแล้วก็ถือดอกไม้ขึ้นรถรถแล่นต่อไปอีกสองสามแยกไฟแดง ตรงไปอีกประมาณสองกิโลเมตรก็ถึงบ้านตระกูลอวิ๋นแล้ว เธอร้องเพลงคลอเบา ๆ ไฟเขียวผ่านฉลุยตลอดทาง ไปถึงบ้านตระกูลอวิ๋นได้อย่างราบรื่นรถจอดนิ่งอยู่หน้าบ้าน เธอลงจากรถ มองประตูรั้วที่ถูกล็อกจากด้านนอก แล้วก็มองประตูบ้านที่ปิดสนิท… ดูเหมือนไม่มีคนอยู่เธอมุ่นคิ้ว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หาเบอร์ของพ่อของอวิ๋นโม่แล้วกดโทรออก เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะถูกบล็อกเบอร์แต่อีกฝ่ายกลับกดรับสาย“คุณอวิ๋นคะ ตอนนี้ฉันอยู่หน้าบ้านคุณ เห็นประตูบ้านปิดอยู่ คุณไม่อยู่บ้านเหรอคะ?” ฉินอันอันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกังวล“คุณฉิน ขอโทษด้วย! ตอนนี้ครอบครัวผมออกไปเที่ยวกันอยู่ คงต้อนรับคุณไม่ได้!” เสียงของพ่ออวิ๋นเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและห่างเหิน “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอวางสายนะ อ้อ ลูกชายผมสบายดี คุณไม่ต้องเป็นห่วง”“รอเดี๋ยวค่ะ!” ฉินอันอันตะโกนเส
เธอกลับมาที่รถ เปิดจอโทรศัพท์แล้วโทรหาอวิ๋นโม่เสียงตอบรับคือ “ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่ออีกครั้งในภายหลัง”เธอมีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าอวิ๋นโม่ไม่ได้ปิดเครื่องเองแน่นอนคิ้วเธอขมวดเข้าหากันทันที เธอกดโทรหาพ่อของอวิ๋นโม่อีกครั้งเสียงตอบรับเหมือนกันไม่มีผิด “ขอโทษ หมายเลขที่ท่านเรียกกำลังติดคู่สายอยู่ในขณะนี้ กรุณาติดต่ออีกครั้งในภายหลัง”ฉินอันอันรู้สึกหนาวเยือกในใจ!เขาต้องการทำอะไรกันแน่? ก่อนผ่าตัดเธอเคยพูดคุยกับเขาครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าเขาก็ดูปกติดีแต่ตอนนี้เมื่อรวมกับคำพูดของเพื่อนบ้านแล้ว เธอกลับรู้สึกขนลุกขึ้นมาเขาหนีไปอยู่ที่อื่น เพื่อป้องกันไม่ให้เธอตามหางั้นเหรอ?หรือเขาได้วางแผนไว้แล้วว่าจะย้ายบ้านหลังจากที่อวิ๋นโม่อาการดีขึ้น?แล้วทำไมต้องย้ายบ้านหลังจากอวิ๋นโม่อาการดีขึ้นด้วยล่ะ?พวกเขาย้ายไปอยู่ที่ไหน?สมองของเธอว่างเปล่า ก่อนหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม หลังจากที่อารมณ์สงบลงบ้างแล้ว เธอจึงเปิดรายชื่อและหาเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนที่แนะนำให้เธอรู้จักกับพ่อของอวิ๋นโม่เพื่อนคนนี้เป็นญาติของคนไข้คนก่อน ๆ ในความดูแลของเธอเธอโทร