ฉินอันอันไม่ได้กลับไปที่บ้านตระกูลฟู่ และไม่ไปเยี่ยมฟู่ซื่อถิงที่กำลังป่วยอยู่ ครั้งนี้เธอโหดร้ายมากจนน่าตกใจ นอกจากเธอจะโหดร้ายแล้ว ยังมีอีกคนที่โหดร้ายกับฟู่ซื่อถิงอีกด้วย นั่นก็คือ เซิ่งเป่ย เนื่องจากฉินอันอันไม่กลับไปบ้านของฟู่ซื่อถิงเลย และไม่สนใจฟู่ซื่อถิงที่นอนป่วยอยู่บนเตียง ดังนั้นเซิ่งเป่ยจึงมาหาฟู่ซื่อถิงและเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของฉินอันอันให้เขาฟังทุกวัน อย่างเช่น วันนี้ฉินอันอันไปที่บริษัทหลักทรัพย์ซินเหอและใช้เวลาช่วงเช้าอันแสนสุขกับถังเฉียวเซิน หรืออีกอย่าง วันนี้ถังเฉียวเซินพาฉินอันอันไปชมนิทรรศการศิลปะและทานอาหารกลางวันด้วยกัน พวกเขาจะไปนิทรรศการศิลปะหรือไม่ กินข้าวเย็นด้วยกันหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือมันทำให้ฟู่ซื่อถิงโกรธแน่นอน ทางเดียวที่ทำให้เขายอมเข้ารับการรักษาคือการทำให้เขาโกรธ เพราะหากสุขภาพไม่ดี เขาจะไม่สามารถแก้แค้นได้ เซิ่งเป่ยใช้ความเข้าใจของตัวเองที่มีต่อฟู่ซื่อถิงทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอย่างขมขื่นทุกวัน ในที่สุด ยาก็ทำให้อาการของเขาก็เริ่มดีขึ้น แม้ว่าใบหน้าของเขายังซีดเซียว ยังไอและยังไม่กลับมาแข็งแรงเต็มที่ แต่เขาก็มีที
ถังเฉียวเซินไม่ย่อท้อ เขาสามารถให้เวลาเธอได้มากกว่านี้ หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ทั้งสองก็คุยกันสบาย ๆ สองสามประโยค จากนั้นฉินอันอันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่รู้ว่ากำลังเล่นอะไรอยู่ “อันอัน คุณคิดว่าการร่วมมือของเราจะมีปัญหาไหมครับ?” ถังเฉียวเซินถามอย่างสบาย ๆ พลางจิบไวน์แดง ฉินอันอันกำลังดูข้อความ พอเธอได้ยินเสียงของเขา เธอก็เงยหน้าขึ้นมา “แผนของคุณไม่มีปัญหาอะไรค่ะ แต่เรายังคงมีความเห็นบางอย่างไม่ตรงกันภายใน” เธอให้เหตุผลแบบสุ่ม ๆ ถังเฉียวเซินยิ้มและพูดว่า “ติดขัดตรงไหนเหรอครับ? ผมอยากทราบด้วยเผื่อว่าผมจะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้” ฉินอันอัน “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจัดการเองได้” ติดที่ตัวเธอเองนี่แหละ ฝ่ายบริหารของฉินกรุ๊ปมีความกระตือรือร้นอย่างมากที่บริษัทหลักทรัพย์ซินเหอจะมาลงทุนด้วยแต่เธอก็ยังลังเล วันนี้เธอรับนัดกับถังเฉียวเซินเพราะเธออยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ ไม่ว่าถังเฉียนเซินจะปฏิบัติต่อเธอดีแค่ไหน แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นพี่ชายของถังเฉียน ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับฉินอันอันที่จะไม่มีอคติต่อเขา เธอต้องการหาเงิน แต่เธอก็ต้องคำนึงถึงผลที่ตามมาจากความล้มเหลวด้วย มีเพียงเมื่อเ
ฟู่ซื่อถิงผอมลงมาก ใบหน้าเดิมทีที่หล่อเหลาอยู่แล้วยิ่งดูมีมิติและดูสง่าขึ้น ‘ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?’ ‘หรือว่าเขาจะเป็นแขกปริศนาคนนั้น?’ หลังจากที่เสี่ยวเหมยทำงานเสร็จ เธอก็เดินออกจากหลังเวที เมื่อเห็นเสี่ยวเหมยเดินจากไป รู้ตัวอีกทีเธอก็ตระหนักได้ว่าฟู่ซื่อถิงคือแขกปริศนา ‘เขาไม่สบายไม่ใช่เหรอ?’ ‘หายไข้แล้ว?’ เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่พูดและไม่เดินไปหาเขา “คุณฟู่ ท่านนี้คือผู้หญิงที่คุณกำลังตามหาใช่ไหมครับ?” พิธรกรถามฟู่ซื่อถิง ฟู่ซื่อถิงพยักหน้า “ขอบคุณมากครับ” “ยินดีครับ” พิธีกรกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ฟู่ซื่อถิงเดินเข้าไปหาฉินอันอัน เขามองเธอด้วยสายตาละห้อย “เรามาคุยกันเถอะ” “คุยเรื่องอะไร? มีอะไรที่ต้องคุยกันอีก?” เธอลดตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฟู่ซื่อถิงไม่ได้โกรธหรือรำคาญ เขาจับแขนเธอด้วยมือใหญ่โตของตัวเองแล้วดึงเธอออกจากหลังเวที หลังเวทีมีคนพลุกพล่านทำให้พวกเขาคุยกันไม่สะดวก เมื่อออกมาจากหลังเวที ฟู่ซื่อถิงจึงพาเธอเดินผ่านล็อบบี้และเข้าไปในเลานจ์วีไอพี ทั้งสองเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู เสียงของฟู่ซื่อถิงทุ้มต่ำและทรงพลัง “ฉินอันอัน อยู่ห่า
เมื่อสักครู่นี้ภายในห้อง เหมือนมีกองไฟกำลังลุกโชนทันทีที่ผละจากเขามา อุณหภูมิก็กลับคืนสู่ความเย็นปกติทันที ฉินอันอันไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ หลังจากแต่งหน้าเสร็จก็กลับไปที่โถงนิทรรศการ นิทรรศการที่มีเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า ผ่านไปในชั่วพริบตา เหมือนว่าเธอจะอ่านเนื้อหามากมาย แต่กลับจำอะไรไม่ได้เลย เธอลุกขึ้นยืน หลังจากจบนิทรรศการ ถังเฉียวเซินกล่าว “ไปดื่มน้ำชายามบ่ายกันไหม? ผมรู้จักร้านใหม่ รสชาติดีทีเดียว” ฉินอันอันไม่สนใจ “ฉันง่วงนิดหน่อย อยากกลับไปพักค่ะ” ถังเฉียวเซินเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเธอ ก็พูดอย่างเป็นสุภาพบุรุษ “ผมจะส่งคุณกลับบ้านเอง” “ขอบคุณค่ะ” ทั้งสองคนออกมาจากแถวแรก ที่ทางออก ก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยเมื่อเห็นว่าเขาคล้ายกำลังรอเธออยู่ เธอจึงหันไปหาถังเฉียวเซินและพูดว่า “ประธานถัง คุณออกไปก่อนนะคะ ฉันมีธุระนิดหน่อย” ถังเฉียวเซินเองก็เห็นรองประธานโจว อดีตรองประธานแห่งฉินกรุ๊ป “ก็ได้ ถ้ามีอะไรโทรหาผมนะ ผมจะไปรอข้างนอก” ถังเฉียวเซินพูดจบก็ก้าวยาว ๆ เดินออกไป เมื่อถังเฉียวเซินเดินไปแล้ว รองประธานโจวก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าฉินอันอันทันที“เธอวางแผนที่จะรับกา
ช่วงบ่าย ที่ตลาดดอกไม้ ฉินอันอันซื้อดอกแดฟโฟดิลไปสองกระถางเธออุ้มดอกแดฟโฟดิลไว้แล้วกลับไปที่บ้านเช่าของแม่ ยังไม่ถึงเวลาห้าโมงเย็น พูดตามหลักแล้วจางหยุนน่าจะยังไม่เลิกงาน แต่ทว่าจางหยุนกลับกำลังวุ่นอยู่ในครัว “แม่คะ วันนี้เลิกงานเร็วเหรอคะ?” ฉินอันอันเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะ แล้วถือกระถางดอกไม้วางลงบนโต๊ะในห้องนั่งเล่น จางหยุนเดินออกมาห้องครัวท่าทางกระดากอายเล็กน้อย “อันอัน แม่ไม่ได้ทำงานนั้นแล้วล่ะจ้ะ” จางหยุนอธิบาย “ลูกสะใภ้ของพี่สาวแม่เจอพี่เลี้ยงเด็กที่เป็นมืออาชีพมากกว่าแม่แล้ว” อันอันตอบรับเสียงเบา จากนั้นก็กอดแม่ “แม่ ไม่ต้องเศร้านะคะ” จางหยุนยิ้ม “แม่ไม่เป็นไรจ้ะ…ทำไมลูกถึงซื้อดอกไม้กลับมาสองกระถางล่ะ?” ฉินอันอันเหลือบมองบ้านเช่าที่เรียบง่ายแล้วเอ่ยว่า “บังเอิญเดินผ่านตลาดดอกไม้น่ะค่ะเลยซื้อกลับมาสองกระถาง” “อืม อันอัน ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องงานของแม่ ไม่มีงานก็หาใหม่ได้” “แม่คะ แม่ไม่ต้องหางานแล้ว พักผ่อนอยู่บ้านเถอะค่ะ!” ฉินอันอันพูดพร้อมกับหยิบบัตรธนาคารของเธอออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้แม่ “มีเงินอยู่ในบัตร แม่เอาไปใช้ได้เลย” จางหยุนผลักบัตรของเธอออก
ฉินอันอันรู้สึกช็อคอยู่ในใจตอนที่จางหยุนหย่ากับฉินเจี๋ย ฉินอันอันยังเด็กมาก แต่ละวันเธอเองยังเอาตัวแทบไม่รอด เธอจึงไม่ได้สนใจเลยว่าแม่ของเธอใช้ชีวิตอย่างไรดังนั้นแม่มีเงินเก็บได้อย่างไรนั้นเธอไม่เคยรู้เลย “ลูกไม่อยากไปเมืองนอกก็ไม่เป็นไร…แม่กำลังคิดว่า หรือเราจะซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ สักหลังดี? พวกเราสองคนลำบากก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เด็กจะลำบากไม่ได้!” จางหยุนพูดต่อ ฉินอันอัน “แม่คะ พวกเรามีเงินมากขนาดนั้นจริงเหรอคะ?” จางหยุน “มีเงินสำหรับจ่ายเงินดาวน์น่ะ” ฉินอันอัน “อ้อ…ยังไม่ต้องรีบหรอกค่ะ เด็กยังอีกหลายเดือน!” “นั่นเร็วมากนะ ลูกควรคิดให้รอบคอบ” ฉินอันอันพยักหน้า “แม่คะ เดี๋ยวสักพักหนูจะออกไปข้างนอก อาทิตย์หน้าเป็นวันเกิดพ่อเพื่อน หนูต้องไปซื้อของขวัญ” จางหยุน “ไปซื้อตอนกลางวันไม่ได้เหรอ? มันมืดแล้ว ลูกออกไปคนเดียว แม่เป็นห่วง” ฉินอันอัน “ข้างนอกมีไฟถนน ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” จางหยุน “ถ้าอย่างนั้นลูกรีบไปรีบกลับล่ะ” ฉินอันอันลุกขึ้น หยิบกระเป๋าจากโซฟาแล้วออกไป เธอขึ้นรถแทกซี่ที่ริมถนน แล้วบอกพิกัดบ้านตระกูลฟู่ให้คนขับฟังใบหน้าผ่ายผอมและซีดเซียวของฟู่ซื่อถิงปรากฏขึ้น
ภายในห้องยังมีหมอและแม่เฒ่าฟู่อยู่ด้วยพวกเขายืนอยู่ริมหน้าต่างกำลังพูดคุยเรื่องสภาพร่างกายของฟู่ซื่อถิง เท้าของฉินอันอันราวกับเต็มไปด้วยตะกั่ว อย่างไรก็ไม่อาจสาวเท้าเข้าไปในห้องได้ ถังเฉียนหันหลังกลับจากเตียงพร้อมกับถืออ่างน้ำในมือ พลันเห็นฉินอันอันยืนอยู่ที่ด้านนอก“ฉินอันอัน! เธอมาทำอะไร?” ถังเฉียนลดเสียงของเธอลง ด้วยกลัวจะปลุกฟู่ซื่อถิงเข้า เธอวางอ่างใส่น้ำลงที่โต๊ะข้างเตียง แล้วก้าวเท้าไปทางฉินอันอัน แม่เฒ่าฟู่ได้ยินเสียงจึงเดินไปที่ประตูด้วยเช่นกัน ......ฉินอันอันกลัวว่าจะเสียงดังจนปลุกฟู่ซื่อถิง ดังนั้นจึงเดินไปทางหัวบันไดสองสามก้าว ถังเฉียนคิดว่าเธอจะหนี จึงก้าวเท้าเข้าไปขวางเธอเอาไว้“ฉินอันอัน! เธอกำลังปั่นหัวให้ฟู่ซื่อถิงกลายเป็นคนโง่งมใช่ไหม?! เธอไม่ชอบเขา ก็ปล่อยเขาไปสิ! ถ้าเธอทำร้ายเขาอีก ฉันไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่!” ดวงตาของถังเฉียนส่อแววเกลียดชังอย่างรุนแรง แม่เฒ่าฟู่พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและเฉียบขาด “ฉินอันอัน ซื่อถิงไม่ยอมหย่ากับเธอก่อนหน้านี้ย่อมต้องทำให้เธอรำคาญใจ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะมองไม่เห็นค่าของคนอื่นได้ขนาดนี้! ฉันมันตาบอดที่ตอนแรกชมชอบเธอ! ถ
ในใจของแม่เฒ่ายังคงหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย เพราะไม่ว่ายังไงคราวก่อนลูกชายของเธอเกือบจะแตกหักกับเธอเพราะผู้หญิงคนนี้ เวลาประมาณเที่ยงคืน ฟู่ซื่อถิงไข้ลดลงแล้ว และตื่นขึ้นมา ภายในห้องเปิดโคมไฟสีส้มอุ่นเอาไว้เขาลุกขึ้นนั่ง มองเห็นถังเฉียนนอนคว่ำหน้าหลับสนิทอยู่ข้างเตียงเขาขมวดคิ้วแล้วลุกจากเตียงเดินออกจากห้องไป ......เช้าวันรุ่งขึ้น ถังเฉียนตื่นขึ้นมา เห็นเตียงว่างเปล่า ใจก็ว่างเปล่าไปด้วยเธอรีบลงมาหาเขาที่ชั้นล่างทันที ป้าจางพูดอย่างประหลาดใจว่า “ดิฉันอยู่ข้างล่างตลอด คุณผู้ชายไม่ได้ลงมาเลยนะคะ!” ถังเฉียนตกตะลึง “เขาก็ไม่ได้อยู่ในห้องด้วยเหมือนกัน! ฉันเห็นว่าเขาไม่อยู่ ถึงได้ลงมา” ป้าจาง “โถ่พระเจ้า! คุณผู้ชายไม่มีทางจะหายตัวไปในอากาศได้หรอกค่ะ!” ว่าแล้วป้าจางก็วิ่งขึ้นไปชั้นบน เธอและถังเฉียนค้นหาทุกห้องบนชั้นสอง แต่ก็ไม่พบฟู่ซื่อถิง ถังเฉียนร้องไห้อย่างร้อนใจ “เป็นความผิดฉันเอง…เมื่อคืนฉันหลับลึกเกินไป ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาลุกจากเตียง…” ป้าจางรีบลงไปชั้นล่าง “ดิฉันจะไปถามยามเฝ้าประตู ถ้าหากคุณผู้ชายออกไป ยามจะต้องรู้” จากนั้นไม่นานป้าจางก็ได้รับคำตอบจากยามเฝ้