ฉินอันอันไม่ได้กลับไปที่บ้านตระกูลฟู่ และไม่ไปเยี่ยมฟู่ซื่อถิงที่กำลังป่วยอยู่ ครั้งนี้เธอโหดร้ายมากจนน่าตกใจ นอกจากเธอจะโหดร้ายแล้ว ยังมีอีกคนที่โหดร้ายกับฟู่ซื่อถิงอีกด้วย นั่นก็คือ เซิ่งเป่ย เนื่องจากฉินอันอันไม่กลับไปบ้านของฟู่ซื่อถิงเลย และไม่สนใจฟู่ซื่อถิงที่นอนป่วยอยู่บนเตียง ดังนั้นเซิ่งเป่ยจึงมาหาฟู่ซื่อถิงและเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของฉินอันอันให้เขาฟังทุกวัน อย่างเช่น วันนี้ฉินอันอันไปที่บริษัทหลักทรัพย์ซินเหอและใช้เวลาช่วงเช้าอันแสนสุขกับถังเฉียวเซิน หรืออีกอย่าง วันนี้ถังเฉียวเซินพาฉินอันอันไปชมนิทรรศการศิลปะและทานอาหารกลางวันด้วยกัน พวกเขาจะไปนิทรรศการศิลปะหรือไม่ กินข้าวเย็นด้วยกันหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือมันทำให้ฟู่ซื่อถิงโกรธแน่นอน ทางเดียวที่ทำให้เขายอมเข้ารับการรักษาคือการทำให้เขาโกรธ เพราะหากสุขภาพไม่ดี เขาจะไม่สามารถแก้แค้นได้ เซิ่งเป่ยใช้ความเข้าใจของตัวเองที่มีต่อฟู่ซื่อถิงทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอย่างขมขื่นทุกวัน ในที่สุด ยาก็ทำให้อาการของเขาก็เริ่มดีขึ้น แม้ว่าใบหน้าของเขายังซีดเซียว ยังไอและยังไม่กลับมาแข็งแรงเต็มที่ แต่เขาก็มีที
ถังเฉียวเซินไม่ย่อท้อ เขาสามารถให้เวลาเธอได้มากกว่านี้ หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ทั้งสองก็คุยกันสบาย ๆ สองสามประโยค จากนั้นฉินอันอันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่รู้ว่ากำลังเล่นอะไรอยู่ “อันอัน คุณคิดว่าการร่วมมือของเราจะมีปัญหาไหมครับ?” ถังเฉียวเซินถามอย่างสบาย ๆ พลางจิบไวน์แดง ฉินอันอันกำลังดูข้อความ พอเธอได้ยินเสียงของเขา เธอก็เงยหน้าขึ้นมา “แผนของคุณไม่มีปัญหาอะไรค่ะ แต่เรายังคงมีความเห็นบางอย่างไม่ตรงกันภายใน” เธอให้เหตุผลแบบสุ่ม ๆ ถังเฉียวเซินยิ้มและพูดว่า “ติดขัดตรงไหนเหรอครับ? ผมอยากทราบด้วยเผื่อว่าผมจะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้” ฉินอันอัน “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจัดการเองได้” ติดที่ตัวเธอเองนี่แหละ ฝ่ายบริหารของฉินกรุ๊ปมีความกระตือรือร้นอย่างมากที่บริษัทหลักทรัพย์ซินเหอจะมาลงทุนด้วยแต่เธอก็ยังลังเล วันนี้เธอรับนัดกับถังเฉียวเซินเพราะเธออยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ ไม่ว่าถังเฉียนเซินจะปฏิบัติต่อเธอดีแค่ไหน แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นพี่ชายของถังเฉียน ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับฉินอันอันที่จะไม่มีอคติต่อเขา เธอต้องการหาเงิน แต่เธอก็ต้องคำนึงถึงผลที่ตามมาจากความล้มเหลวด้วย มีเพียงเมื่อเ
ฟู่ซื่อถิงผอมลงมาก ใบหน้าเดิมทีที่หล่อเหลาอยู่แล้วยิ่งดูมีมิติและดูสง่าขึ้น ‘ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?’ ‘หรือว่าเขาจะเป็นแขกปริศนาคนนั้น?’ หลังจากที่เสี่ยวเหมยทำงานเสร็จ เธอก็เดินออกจากหลังเวที เมื่อเห็นเสี่ยวเหมยเดินจากไป รู้ตัวอีกทีเธอก็ตระหนักได้ว่าฟู่ซื่อถิงคือแขกปริศนา ‘เขาไม่สบายไม่ใช่เหรอ?’ ‘หายไข้แล้ว?’ เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่พูดและไม่เดินไปหาเขา “คุณฟู่ ท่านนี้คือผู้หญิงที่คุณกำลังตามหาใช่ไหมครับ?” พิธรกรถามฟู่ซื่อถิง ฟู่ซื่อถิงพยักหน้า “ขอบคุณมากครับ” “ยินดีครับ” พิธีกรกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ฟู่ซื่อถิงเดินเข้าไปหาฉินอันอัน เขามองเธอด้วยสายตาละห้อย “เรามาคุยกันเถอะ” “คุยเรื่องอะไร? มีอะไรที่ต้องคุยกันอีก?” เธอลดตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฟู่ซื่อถิงไม่ได้โกรธหรือรำคาญ เขาจับแขนเธอด้วยมือใหญ่โตของตัวเองแล้วดึงเธอออกจากหลังเวที หลังเวทีมีคนพลุกพล่านทำให้พวกเขาคุยกันไม่สะดวก เมื่อออกมาจากหลังเวที ฟู่ซื่อถิงจึงพาเธอเดินผ่านล็อบบี้และเข้าไปในเลานจ์วีไอพี ทั้งสองเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู เสียงของฟู่ซื่อถิงทุ้มต่ำและทรงพลัง “ฉินอันอัน อยู่ห่า
เมื่อสักครู่นี้ภายในห้อง เหมือนมีกองไฟกำลังลุกโชนทันทีที่ผละจากเขามา อุณหภูมิก็กลับคืนสู่ความเย็นปกติทันที ฉินอันอันไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ หลังจากแต่งหน้าเสร็จก็กลับไปที่โถงนิทรรศการ นิทรรศการที่มีเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า ผ่านไปในชั่วพริบตา เหมือนว่าเธอจะอ่านเนื้อหามากมาย แต่กลับจำอะไรไม่ได้เลย เธอลุกขึ้นยืน หลังจากจบนิทรรศการ ถังเฉียวเซินกล่าว “ไปดื่มน้ำชายามบ่ายกันไหม? ผมรู้จักร้านใหม่ รสชาติดีทีเดียว” ฉินอันอันไม่สนใจ “ฉันง่วงนิดหน่อย อยากกลับไปพักค่ะ” ถังเฉียวเซินเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเธอ ก็พูดอย่างเป็นสุภาพบุรุษ “ผมจะส่งคุณกลับบ้านเอง” “ขอบคุณค่ะ” ทั้งสองคนออกมาจากแถวแรก ที่ทางออก ก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยเมื่อเห็นว่าเขาคล้ายกำลังรอเธออยู่ เธอจึงหันไปหาถังเฉียวเซินและพูดว่า “ประธานถัง คุณออกไปก่อนนะคะ ฉันมีธุระนิดหน่อย” ถังเฉียวเซินเองก็เห็นรองประธานโจว อดีตรองประธานแห่งฉินกรุ๊ป “ก็ได้ ถ้ามีอะไรโทรหาผมนะ ผมจะไปรอข้างนอก” ถังเฉียวเซินพูดจบก็ก้าวยาว ๆ เดินออกไป เมื่อถังเฉียวเซินเดินไปแล้ว รองประธานโจวก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าฉินอันอันทันที“เธอวางแผนที่จะรับกา
ช่วงบ่าย ที่ตลาดดอกไม้ ฉินอันอันซื้อดอกแดฟโฟดิลไปสองกระถางเธออุ้มดอกแดฟโฟดิลไว้แล้วกลับไปที่บ้านเช่าของแม่ ยังไม่ถึงเวลาห้าโมงเย็น พูดตามหลักแล้วจางหยุนน่าจะยังไม่เลิกงาน แต่ทว่าจางหยุนกลับกำลังวุ่นอยู่ในครัว “แม่คะ วันนี้เลิกงานเร็วเหรอคะ?” ฉินอันอันเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะ แล้วถือกระถางดอกไม้วางลงบนโต๊ะในห้องนั่งเล่น จางหยุนเดินออกมาห้องครัวท่าทางกระดากอายเล็กน้อย “อันอัน แม่ไม่ได้ทำงานนั้นแล้วล่ะจ้ะ” จางหยุนอธิบาย “ลูกสะใภ้ของพี่สาวแม่เจอพี่เลี้ยงเด็กที่เป็นมืออาชีพมากกว่าแม่แล้ว” อันอันตอบรับเสียงเบา จากนั้นก็กอดแม่ “แม่ ไม่ต้องเศร้านะคะ” จางหยุนยิ้ม “แม่ไม่เป็นไรจ้ะ…ทำไมลูกถึงซื้อดอกไม้กลับมาสองกระถางล่ะ?” ฉินอันอันเหลือบมองบ้านเช่าที่เรียบง่ายแล้วเอ่ยว่า “บังเอิญเดินผ่านตลาดดอกไม้น่ะค่ะเลยซื้อกลับมาสองกระถาง” “อืม อันอัน ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องงานของแม่ ไม่มีงานก็หาใหม่ได้” “แม่คะ แม่ไม่ต้องหางานแล้ว พักผ่อนอยู่บ้านเถอะค่ะ!” ฉินอันอันพูดพร้อมกับหยิบบัตรธนาคารของเธอออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้แม่ “มีเงินอยู่ในบัตร แม่เอาไปใช้ได้เลย” จางหยุนผลักบัตรของเธอออก
ฉินอันอันรู้สึกช็อคอยู่ในใจตอนที่จางหยุนหย่ากับฉินเจี๋ย ฉินอันอันยังเด็กมาก แต่ละวันเธอเองยังเอาตัวแทบไม่รอด เธอจึงไม่ได้สนใจเลยว่าแม่ของเธอใช้ชีวิตอย่างไรดังนั้นแม่มีเงินเก็บได้อย่างไรนั้นเธอไม่เคยรู้เลย “ลูกไม่อยากไปเมืองนอกก็ไม่เป็นไร…แม่กำลังคิดว่า หรือเราจะซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ สักหลังดี? พวกเราสองคนลำบากก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เด็กจะลำบากไม่ได้!” จางหยุนพูดต่อ ฉินอันอัน “แม่คะ พวกเรามีเงินมากขนาดนั้นจริงเหรอคะ?” จางหยุน “มีเงินสำหรับจ่ายเงินดาวน์น่ะ” ฉินอันอัน “อ้อ…ยังไม่ต้องรีบหรอกค่ะ เด็กยังอีกหลายเดือน!” “นั่นเร็วมากนะ ลูกควรคิดให้รอบคอบ” ฉินอันอันพยักหน้า “แม่คะ เดี๋ยวสักพักหนูจะออกไปข้างนอก อาทิตย์หน้าเป็นวันเกิดพ่อเพื่อน หนูต้องไปซื้อของขวัญ” จางหยุน “ไปซื้อตอนกลางวันไม่ได้เหรอ? มันมืดแล้ว ลูกออกไปคนเดียว แม่เป็นห่วง” ฉินอันอัน “ข้างนอกมีไฟถนน ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” จางหยุน “ถ้าอย่างนั้นลูกรีบไปรีบกลับล่ะ” ฉินอันอันลุกขึ้น หยิบกระเป๋าจากโซฟาแล้วออกไป เธอขึ้นรถแทกซี่ที่ริมถนน แล้วบอกพิกัดบ้านตระกูลฟู่ให้คนขับฟังใบหน้าผ่ายผอมและซีดเซียวของฟู่ซื่อถิงปรากฏขึ้น
ภายในห้องยังมีหมอและแม่เฒ่าฟู่อยู่ด้วยพวกเขายืนอยู่ริมหน้าต่างกำลังพูดคุยเรื่องสภาพร่างกายของฟู่ซื่อถิง เท้าของฉินอันอันราวกับเต็มไปด้วยตะกั่ว อย่างไรก็ไม่อาจสาวเท้าเข้าไปในห้องได้ ถังเฉียนหันหลังกลับจากเตียงพร้อมกับถืออ่างน้ำในมือ พลันเห็นฉินอันอันยืนอยู่ที่ด้านนอก“ฉินอันอัน! เธอมาทำอะไร?” ถังเฉียนลดเสียงของเธอลง ด้วยกลัวจะปลุกฟู่ซื่อถิงเข้า เธอวางอ่างใส่น้ำลงที่โต๊ะข้างเตียง แล้วก้าวเท้าไปทางฉินอันอัน แม่เฒ่าฟู่ได้ยินเสียงจึงเดินไปที่ประตูด้วยเช่นกัน ......ฉินอันอันกลัวว่าจะเสียงดังจนปลุกฟู่ซื่อถิง ดังนั้นจึงเดินไปทางหัวบันไดสองสามก้าว ถังเฉียนคิดว่าเธอจะหนี จึงก้าวเท้าเข้าไปขวางเธอเอาไว้“ฉินอันอัน! เธอกำลังปั่นหัวให้ฟู่ซื่อถิงกลายเป็นคนโง่งมใช่ไหม?! เธอไม่ชอบเขา ก็ปล่อยเขาไปสิ! ถ้าเธอทำร้ายเขาอีก ฉันไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่!” ดวงตาของถังเฉียนส่อแววเกลียดชังอย่างรุนแรง แม่เฒ่าฟู่พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและเฉียบขาด “ฉินอันอัน ซื่อถิงไม่ยอมหย่ากับเธอก่อนหน้านี้ย่อมต้องทำให้เธอรำคาญใจ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะมองไม่เห็นค่าของคนอื่นได้ขนาดนี้! ฉันมันตาบอดที่ตอนแรกชมชอบเธอ! ถ
ในใจของแม่เฒ่ายังคงหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย เพราะไม่ว่ายังไงคราวก่อนลูกชายของเธอเกือบจะแตกหักกับเธอเพราะผู้หญิงคนนี้ เวลาประมาณเที่ยงคืน ฟู่ซื่อถิงไข้ลดลงแล้ว และตื่นขึ้นมา ภายในห้องเปิดโคมไฟสีส้มอุ่นเอาไว้เขาลุกขึ้นนั่ง มองเห็นถังเฉียนนอนคว่ำหน้าหลับสนิทอยู่ข้างเตียงเขาขมวดคิ้วแล้วลุกจากเตียงเดินออกจากห้องไป ......เช้าวันรุ่งขึ้น ถังเฉียนตื่นขึ้นมา เห็นเตียงว่างเปล่า ใจก็ว่างเปล่าไปด้วยเธอรีบลงมาหาเขาที่ชั้นล่างทันที ป้าจางพูดอย่างประหลาดใจว่า “ดิฉันอยู่ข้างล่างตลอด คุณผู้ชายไม่ได้ลงมาเลยนะคะ!” ถังเฉียนตกตะลึง “เขาก็ไม่ได้อยู่ในห้องด้วยเหมือนกัน! ฉันเห็นว่าเขาไม่อยู่ ถึงได้ลงมา” ป้าจาง “โถ่พระเจ้า! คุณผู้ชายไม่มีทางจะหายตัวไปในอากาศได้หรอกค่ะ!” ว่าแล้วป้าจางก็วิ่งขึ้นไปชั้นบน เธอและถังเฉียนค้นหาทุกห้องบนชั้นสอง แต่ก็ไม่พบฟู่ซื่อถิง ถังเฉียนร้องไห้อย่างร้อนใจ “เป็นความผิดฉันเอง…เมื่อคืนฉันหลับลึกเกินไป ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาลุกจากเตียง…” ป้าจางรีบลงไปชั้นล่าง “ดิฉันจะไปถามยามเฝ้าประตู ถ้าหากคุณผู้ชายออกไป ยามจะต้องรู้” จากนั้นไม่นานป้าจางก็ได้รับคำตอบจากยามเฝ้
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง