ในใจของเธอจริง ๆ แล้วรู้สึกไม่สบายใจ เหตุผลบอกเธอว่าถ้าเขาไม่เปิดใจด้วยตัวเอง ถึงแม้เธอจะอุ้มลูกมา ใช้ลูกบังคับเขาก็อาจจะไม่เกิดผลอะไร หลังจากเข้าไปในห้องเล่นแล้ว เธอรู้สึกเสียใจ แต่ป้าหงมีความสุขมาก เมื่อเห็นจื่อชิว เธอดึงจื่อชิวออกจากอ้อมแขนของฉินอันอัน อุ้มเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนำจื่อชิวกลับคืนอ้อมแขนฉินอันอัน “อันอัน คุณผู้ชายอยู่ชั้นบน คืนนี้เขากินแค่โจ๊กถ้วยเดียวแล้วจะอิ่มได้ยังไง? แต่เขาไม่ยอมกินเพิ่มอีกแม้แต่คำเดียว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังพักผ่อนอยู่หรืออยู่ที่ห้องหนังสือ” ป้าหงพูดขณะที่เดินนำทางเธอ “คุณอุ้มเด็กอยู่ เดินระวังหน่อยนะคะ” ฉินอันอันลังเล “ป้าหงคะ ฉันไม่รบกวนเขาดีกว่าไหม ฉันกลัวว่าเขาเห็นจื่อชิวแล้วจะทำให้เขามีภาระทางใจมากขึ้นไปอีก” คำพูดของเธอทำให้ป้าหงหยุดชะงักไปชั่วขณะ“แต่ถ้าเขาแก้ปมในใจได้หลังจากเห็นจื่อชิวล่ะคะ?” ป้าหงกล่าว “เขาคือพ่อแท้ ๆ ของจื่อชิว ถึงยังไงเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับจื่อชิว ถ้าเขาแก้ปมไม่ได้ เขาต้องปฏิเสธเด็กคนนี้ไปตลอดชีวิตเหรอคะ?” เหตุผลที่ป้าหงขอให้ฉินอันอันอุ้มจื่อชิวมาให้ฟู่สือถิงดู เพราะป้าหงเจ็บปวดใจที่ตอนนี้ฟู่สือถิง
เธออุ้มจื่อชิวเอาไว้แล้วหันหลังเตรียมจากไป ตอนนี้เองเสียงไอของเขาก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เธอหยุดเดินทันที ปกติแล้วเขาไม่มีปัญหาเรื่องการไอ เว้นแต่เขาป่วยหรือเป็นหวัดถึงจะไอ เธอเดินไปหาป้าหงที่กำลังยืนอยู่ตรงหัวบันไดด้านบน หลังจากมอบเด็กให้ป้าหงแล้ว เธอก็หันหลังเดินไปที่ห้องหนังสือ เธอกลับมาหาเขาพร้อมกับมองดูแก้มที่ไอจนแดงของเขา ในอากาศอบอวลไปด้วยอารมณ์เข้มข้นที่อธิบายไม่ได้ แต่สัมผัสได้เมื่อยื่นมือออกไป “คุณไม่สบายเหรอ?” เธอพูดพร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อแตะที่หน้าผากของเขา เขาถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วพูดว่า “เป็นหวัดหนิดหน่อย ไม่มีไข้” เธอเดินมาใกล้เขามากขึ้นแล้วถามว่า “คุณให้ฉันอุ้มจื่อชิวไปเพราะว่าคุณเป็นหวัด ไม่อยากแพร่เชื้อให้ลูก ไม่ใช่เพราะคุณไม่อยากเจอเขาใช่ไหมคะ?” ดวงตาสีเข้มราวกับหมึกของเขามองเธอ แล้วตอบตามความจริงว่า “ทั้งสองอย่าง ใครขอให้คุณมา?” “ไม่มีใครขอให้ฉันมาค่ะ ฉันอยากมาก็มาเลย” เธอพูดอย่างหนักแน่นแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานของเขา ปิดคอมพิวเตอร์ จากนั้นดึงแขนของเขาเดินออกจากห้องหนังสือ “ถึงไข้หวัดจะเป็นอาการป่วยเล็กน้อย แต่ถ้าไม่พักผ่อนไม่เพียงพอก็จะฟื้นตัวได้ช้
หลังจากที่เธอกลับไป เขากดหมายเลขโทรศัพท์ของคุณหมอประจำตระกูลอีกครั้ง “ผมไม่เป็นไร คุณไม่ต้องมาแล้ว” คุณหมองุนงงเล็กน้อย “คุณฟู่ ผมอยู่ระหว่างทางแล้ว ให้ผมตรวจดูสักหน่อยไหม?” เขาวางสาย เขายกมือขึ้นแล้วแตะอุณหภูมิบนหน้าผากของตัวเอง มันร้อนนิดหน่อย ก่อนฉินอันอันจะมา เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นไข้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สบายนิดหน่อย แต่ไม่ได้กระทบกับงานเขาเลย ทว่าหลังจากที่เธอมา ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งในร่างกายของเขาจะหมดลง เขานอนเหยียดบนเตียงทำอารมณ์ให้ว่าง ทว่าการพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งจบลงที่ความล้มเหลว เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องการลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ของจื่อชิวก็จะโผล่ขึ้นมาในใจของเขาใบหน้าเล็ก ๆ และดวงตาที่สดใส แต่มีความอยากรู้อยากเห็นของจื่อชิวเปรียบเสมือนแสงพร่างพราวที่สามารถทะลุเมฆดำมืดและสลายหมอกควันได้เมื่อคุณหมอมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฟู่ ฟู่สือถิงก็ผล็อยหลับไปแล้ว คุณหมอแตะหน้าผากของเขาแล้ว หลังจากพบว่าอุณหภูมิในร่างกายของเขาสูงเกินไป เขาหยิบเทอร์โมมิเตอร์ขึ้นมาทันทีแล้ววัดที่หน้าผากเขา บนหน้าจอแสดงชุดตัวเลข : 38.9 องศา โดยทั่วไป หาก
เพราะเด็กคนนี้เหมือนฟู่สือถิง ถ้าอิ๋นอิ๋นยังมีชีวิตอยู่แล้วเห็นจื่อชิว จะต้องรักจื่อชิวมากแน่นอน อิ๋นอิ๋นใจดีขนาดนั้น เธอจะทนเห็นความบาดหมางระหว่างพ่อลูกเพราะเธอได้ยังไง? หลังจากป้าหงพูดเรื่องนี้แล้วก็ออกจากห้องอาหารไปช้อนในมือของฟู่สือถิงตกลงไปในชามโจ๊ก วันนี้ฉินอันอันพาจื่อชิวไปประเทศบีแล้ว เธอไปอย่างเร่งด่วนขนาดนี้ ดูแล้วคงจะโกรธจริง ๆ เธอบอกเขาเมื่อคืนนี้ว่าเธอจะเลี้ยงจื่อชิวด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงพาลูกไปประเทศบี แบบนี้แล้วเขาจะได้ไม่เห็นและไม่รำคาญใจ เขาควรโล่งใจถึงจะถูก แต่ว่าทำไมเขารู้สึกไม่มีความสุขล่ะ? ความอยากไปตามหาเธอที่ประเทศบีโผล่ขึ้นมาในใจของเขาทันที! แต่ความคิดนี้ถูกกำจัดทิ้งอย่างรวดเร็ว เธอพาเด็กไปก็ดีเหมือนกัน แบบนี้เขาจะได้มีเวลามากพอที่จะสงบสติอารมณ์ที่สูญเสียการควบคุมของตัวเองได้ ......ฉินอันอันตัดสินใจที่จะพาจื่อชิวไปยังประเทศบีอย่างกะทันหันตอนนี้จื่อชิวค่อนข้างเด็กและไม่เหมาะสำหรับเที่ยวบินระยะไกลแต่เธอก็พลิกตัวไปมาทั้งคืน ดวงตาที่เย็นชาของฟู่สือถิงปรากฏขึ้นในใจของเธอตลอดเวลา เธอได้รับความอยุติธรรมได้ แต่เธอไม่อยากทำให้จื่อชิวได้ร
เพราะว่าเคยถูกสะกดรอยตามมาก่อน ดังนั้นเสี่ยวหานจึงเริ่มระมัดระวังตัว เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วโทรหาจิ้นซือเหนียน โทรศัพท์เครื่องนี้จิ้นซือเหนียนบมอบให้เขา มันออกแบบเฉพาะสำหรับเด็กที่มีหมายเลขส่วนตัวของจื้นซือเหนียนบันทึกไว้หลังจากที่เสี่ยวหานบอกจิ้นซือเหนียนเรื่องที่มีคนติดตามเขา จิ้นซือเหนียนก็ส่งบอดี้การ์ดไปรับเสี่ยวหานทันทีที่เขาลงจากรถรถสีดำเร่งความเร็วผ่านไปทันทีที่เขาลงจากรถ! เหมือนกับว่าแค่ผ่านมาระหว่างทางไม่ได้ติดตามอะไร“เธอมาคนเดียวเหรอ? ทำไมไม่เอาบอดี้การ์ดมาด้วย?” จิ้นซือเหนียนจับมือเขาแล้วพาเขาเข้าไปในตึก จิ้นซือเหนียนพาเสี่ยวหานเข้าไปที่ห้องฝึกซ้อมของบริษัท “ใกล้วันปีใหม่แล้ว ผมให้คุณลุงบอดี้การ์ดลาพักแล้วครับ” เสี่ยวหานตอบ “คุณแม่ของเธอกังวลแน่ถ้ารู้เรื่องนี้” จิ้นซือเหนียนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดกับเขาว่า “คนที่ติดตามเธอต้องรู้ว่าตอนนี้เธอไม่มีบอดี้การ์ด ถึงกล้าขนาดนี้ ฉันจะส่งบอดี้การ์ดให้เธอสองคน ต้องไม่มีเรื่องผิดพลาดใด ๆ ก่อนที่เธอไปหาคุณแม่ที่ประเทศบี” เสี่ยวหานไม่ชอบให้บอดี้การ์ดติดตาม แต่เขาคิดว่าตอนนี้ แม่ดูแลน้องชายก็เหนื่อยมากแล้
เมื่อเห็นแสงอันมุ่งมั่นในดวงตาของรุ่ยลา เสี่ยวหานพูดออกมาสองคำ “สู้ ๆ นะ” อีกด้าน ฟู่เย่เฉินยืนอยู่ข้างหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานในห้องทำงานของเขา พร้อมกับมองดูแสงไฟนีออนที่ค่อย ๆ ส่องสว่างไปทั่วเมืองทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่คึกคักข้างนอกแสดงให้เห็นว่าชีวิตยามค่ำคืนเพิ่งเริ่มต้นถ้าเป็นเวลาปกติ เขาคงออกจากห้องทำงานไปหาความสนุกแล้ว แต่วันนี้ เขาไม่มีอารมณ์ เขาถูกอาแท้ ๆ ของตัวเองบีบให้ล้มละลาย และต้องจ่ายค่าปรับจำนวนมหาศาล ไม่ใช่ว่าเขาไม่เสียใจกับเรื่องโง่ ๆ ที่เขาทำ แต่ที่มากกว่านั้นคือความเกลียดชัง เขาอาศัยชื่อเสียงในฐานะหลานชายของฟู่สือถิง เอาชีวิตรอดมาได้อย่างราบรื่นจนถึงตอนนี้ แต่มันเป็นเรื่องง่ายดายมากที่ฟู่สือถิงจะบดขยี้เขาจนตาย หลายวันมานี้เขาเฝ้าดูพ่อของเขาโทรหาฟู่สือถิงเพื่อร้องขอความเมตตาเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นนับครั้งไม่ถ้วน หวังว่าฟู่สือถิงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ของครอบครัวปล่อยเขาไป แต่ฟู่สือถิงไม่รับสาย หรือไม่ก็โอนสายไปที่ผู้ช่วยของเขา ฟู่สือถึงเย็นชาและโหดร้ายมาก! แม่ของเขาตายแทนเขาไปแล้ว ตอนนี้เขาแค่อยากมีชีวิตที่ดีอยู่ต่อไป ทำไมเขาต้องแบกรับ
ราวกับฟู่เย่เฉินกำลังฟังนิทานอยู่ เขาฟังแล้วมีสีหน้ามึนงงและประหลาดใจ “งั้นอาของผมป่วยทางจิตจริง ๆ เหรอ?” ฟู่ฮั่นคิ้วขมวดและถอนหายใจ “ความเจ็บป่วยทางจิตมีทั้งเล็กน้อยและรุนแรง ถึงแม้ว่าตอนนั้นอาของแกจะป่วยจริง แต่เขาก็ไม่เคยมีอาการกำเริบอีกในภายหลัง ไม่อย่างนั้นเขาจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้ยังไง?” “เขาประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่เขาไม่ประสบความสำเร็จเรื่องความรักเลย ฉินอันอันหย่ากับเขาและเธอคลอดลูกหลายคนแต่ไม่ให้ลูกกับเขาเลย พ่อคิดว่าพวกเขาไม่มีความรักต่อกันเลยงั้นเหรอ? ไม่แน่ฉินอันอันอาจรู้อาการป่วยของเขา ดังนั้นเลยไม่อยู่กับเขาไงล่ะครับ!” ฟู่เย่เฉินเดา ฟู่ฮั่นฟังคำพูดเขาแล้วมีท่าทางครุ่นคิด “พ่อครับ ตอนนี้เราไม่เหลืออะไรแล้ว เหมือนสุภาษิตที่ว่า คนเท้าเปล่าไม่กลัวที่จะสวมรองเท้า ถึงเราจะอยู่ฝั่งถังเฉียวเซิน แล้วฟู่สือถิงจะทำอะไรเราได้? ผมไม่ทรัพย์สินอะไรให้เขายึดได้อีกแล้ว!” ฟู่เย่เฉินโกรธจนมีความคิดชั่วร้ายผุดขึ้น “ผมจำเป็นต้องร่วมมือกับถังเฉียวเซิน” ฟู่ฮั่นยกแก้วเหล้าขึ้นแล้วดื่มจนหมดภายในอึกเดียว “แกบอกเรื่องนี้กับถังเฉียวเซินแล้วยังไงต่อ?” ฟู่ฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูด
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเห็นหมายเลขจากข้อความที่ไม่รู้จัก เขาเปิดดูข้อความ ทันใดนั้นเนื้อหาก็ปรากฏขึ้น : อิ๋นอิ๋นจากไปแล้ว ผมทำตามคำขอของเธอ นำเถ้ากระดูกของเธอโปรยลงทะเล ผมขอโทษจริง ๆ ที่สร้างความเจ็บปวดให้คุณ ขอโทษนะครับ ผมจะสละทุกอย่างที่มีในประเทศเป็นการชดใช้ : เว่ยเจินเขากัดฟันแน่น ดวงตาเปียกชุ่มความพยายามทั้งหมดที่เขาทำในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเพื่อสงบอารมณ์ไร้ประโยชน์หลังจากเห็นข้อความนี้!อิ๋นอิ๋นตายแล้ว เธอตายไปแล้วจริง ๆ! เพื่อช่วยจื่อชิว เธอถึงกับยอมสละชีวิตของตัวเอง! เขาปกป้องเธออย่างดีมานานหลายปี ไม่ใช่ให้เธอเป็นถุงเลือดของคนอื่น! กระดูกข้อนิ้วที่จับโทรศัพท์ของเขาเริ่มซีดขาว หลังจากแสงหน้าจอโทรศัพท์มืดลง เขาก็ให้สว่างอีกครั้ง เขาไม่ต้องการยอมรับข่าวร้ายนี้ แต่ข้อความนี้ช่างชัดเจนและทิ่มแทงสายตาเหลือเกิน ประเทศบี หลังจากฉินอันอันกับลูกตั้งหลักได้เรียบร้อยแล้ว เธอก็โทรหาครอบครัวของอวิ๋นโม่ และหวังว่าจะได้พบเขาโดยเร็วที่สุด สมาชิกครอบครัวอวิ๋นโม่บอกว่า เธอสามารถมาพบเขาที่บ้านได้ตลอดเวลา ถ้าเธอมีเวลา ดังนั้นเธอจึงมอบเด็กให้กับป้าจาง แล้วไปบ้านของตระกูลอวิ๋