ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ดึงความคิดของเธอกลับคืนมา จื่อชิวอาจถูกรบกวนจากเสียงดังภายนอก ดังนั้นจึงร้องไห้ขึ้นมา ฉินอันอันรีบอุ้มเขาขึ้นมาจากเปล เมื่อเด็กน้อยถูกอุ้มขึ้นมาก็หยุดร้องไห้ทันที “จื่อชิว พี่ชายและพี่สาวของเรากำลังเล่นหิมะอยู่ข้างนอก ไว้หนูโตขึ้นอีกหน่อย ให้พวกเขาพาหนูไปเล่นหิมะด้วยกันดีไหม?” เธออุ้มลูกชายของเธอยืนอยู่ข้างหน้าต่างและมองทิวทัศน์ภายนอกตอนนี้ยังอุ้มจื่อชิวในท่าตั้งตรงไม่ได้ ดังนั้นดวงตากลมโตที่สดใสของเขาจึงจ้องมองใบหน้าของฉินอันอันอย่างตั้งใจ “ที่รัก หนูหิวหรือเปล่า? ดูเหมือนจะผ่านมาสองชั่วโมงแล้วตั้งแต่ดื่มนมครั้งสุดท้าย… แม่จะไปชงนมให้หนูนะ” ฉินอันอันอุ้มเขาไปวางไว้ในเปล พี่เลี้ยงเด็กต้องการช่วย แต่พบว่าฉินอันอันชำนาญทุกเรื่องเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการกล่อมเด็กหรือชงนม จนคนนอกก็ไม่สามารถมีส่วนร่วมได้เลย“คุณฉิน คุณเก่งจริง ๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้ดีทุกอย่าง” พี่เลี้ยงกล่าวชม ฉินอันอันยอมรับคำชมและถามว่า “คุณมีแผนจะกลับบ้านช่วงปีใหม่เมื่อไหร่? คุณบอกฉันล่วงหน้าก็พอนะคะ” พี่เลี้ยงพูดว่า “ฉันจะหยุดวันที่ยี่สิบเก้าค่ะ! จื่อชิวยังเล็กขนาดนี้ ฉันกลัวว
ในใจของเธอจริง ๆ แล้วรู้สึกไม่สบายใจ เหตุผลบอกเธอว่าถ้าเขาไม่เปิดใจด้วยตัวเอง ถึงแม้เธอจะอุ้มลูกมา ใช้ลูกบังคับเขาก็อาจจะไม่เกิดผลอะไร หลังจากเข้าไปในห้องเล่นแล้ว เธอรู้สึกเสียใจ แต่ป้าหงมีความสุขมาก เมื่อเห็นจื่อชิว เธอดึงจื่อชิวออกจากอ้อมแขนของฉินอันอัน อุ้มเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนำจื่อชิวกลับคืนอ้อมแขนฉินอันอัน “อันอัน คุณผู้ชายอยู่ชั้นบน คืนนี้เขากินแค่โจ๊กถ้วยเดียวแล้วจะอิ่มได้ยังไง? แต่เขาไม่ยอมกินเพิ่มอีกแม้แต่คำเดียว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังพักผ่อนอยู่หรืออยู่ที่ห้องหนังสือ” ป้าหงพูดขณะที่เดินนำทางเธอ “คุณอุ้มเด็กอยู่ เดินระวังหน่อยนะคะ” ฉินอันอันลังเล “ป้าหงคะ ฉันไม่รบกวนเขาดีกว่าไหม ฉันกลัวว่าเขาเห็นจื่อชิวแล้วจะทำให้เขามีภาระทางใจมากขึ้นไปอีก” คำพูดของเธอทำให้ป้าหงหยุดชะงักไปชั่วขณะ“แต่ถ้าเขาแก้ปมในใจได้หลังจากเห็นจื่อชิวล่ะคะ?” ป้าหงกล่าว “เขาคือพ่อแท้ ๆ ของจื่อชิว ถึงยังไงเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับจื่อชิว ถ้าเขาแก้ปมไม่ได้ เขาต้องปฏิเสธเด็กคนนี้ไปตลอดชีวิตเหรอคะ?” เหตุผลที่ป้าหงขอให้ฉินอันอันอุ้มจื่อชิวมาให้ฟู่สือถิงดู เพราะป้าหงเจ็บปวดใจที่ตอนนี้ฟู่สือถิง
เธออุ้มจื่อชิวเอาไว้แล้วหันหลังเตรียมจากไป ตอนนี้เองเสียงไอของเขาก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เธอหยุดเดินทันที ปกติแล้วเขาไม่มีปัญหาเรื่องการไอ เว้นแต่เขาป่วยหรือเป็นหวัดถึงจะไอ เธอเดินไปหาป้าหงที่กำลังยืนอยู่ตรงหัวบันไดด้านบน หลังจากมอบเด็กให้ป้าหงแล้ว เธอก็หันหลังเดินไปที่ห้องหนังสือ เธอกลับมาหาเขาพร้อมกับมองดูแก้มที่ไอจนแดงของเขา ในอากาศอบอวลไปด้วยอารมณ์เข้มข้นที่อธิบายไม่ได้ แต่สัมผัสได้เมื่อยื่นมือออกไป “คุณไม่สบายเหรอ?” เธอพูดพร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อแตะที่หน้าผากของเขา เขาถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วพูดว่า “เป็นหวัดหนิดหน่อย ไม่มีไข้” เธอเดินมาใกล้เขามากขึ้นแล้วถามว่า “คุณให้ฉันอุ้มจื่อชิวไปเพราะว่าคุณเป็นหวัด ไม่อยากแพร่เชื้อให้ลูก ไม่ใช่เพราะคุณไม่อยากเจอเขาใช่ไหมคะ?” ดวงตาสีเข้มราวกับหมึกของเขามองเธอ แล้วตอบตามความจริงว่า “ทั้งสองอย่าง ใครขอให้คุณมา?” “ไม่มีใครขอให้ฉันมาค่ะ ฉันอยากมาก็มาเลย” เธอพูดอย่างหนักแน่นแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานของเขา ปิดคอมพิวเตอร์ จากนั้นดึงแขนของเขาเดินออกจากห้องหนังสือ “ถึงไข้หวัดจะเป็นอาการป่วยเล็กน้อย แต่ถ้าไม่พักผ่อนไม่เพียงพอก็จะฟื้นตัวได้ช้
หลังจากที่เธอกลับไป เขากดหมายเลขโทรศัพท์ของคุณหมอประจำตระกูลอีกครั้ง “ผมไม่เป็นไร คุณไม่ต้องมาแล้ว” คุณหมองุนงงเล็กน้อย “คุณฟู่ ผมอยู่ระหว่างทางแล้ว ให้ผมตรวจดูสักหน่อยไหม?” เขาวางสาย เขายกมือขึ้นแล้วแตะอุณหภูมิบนหน้าผากของตัวเอง มันร้อนนิดหน่อย ก่อนฉินอันอันจะมา เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นไข้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สบายนิดหน่อย แต่ไม่ได้กระทบกับงานเขาเลย ทว่าหลังจากที่เธอมา ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งในร่างกายของเขาจะหมดลง เขานอนเหยียดบนเตียงทำอารมณ์ให้ว่าง ทว่าการพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งจบลงที่ความล้มเหลว เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องการลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ของจื่อชิวก็จะโผล่ขึ้นมาในใจของเขาใบหน้าเล็ก ๆ และดวงตาที่สดใส แต่มีความอยากรู้อยากเห็นของจื่อชิวเปรียบเสมือนแสงพร่างพราวที่สามารถทะลุเมฆดำมืดและสลายหมอกควันได้เมื่อคุณหมอมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฟู่ ฟู่สือถิงก็ผล็อยหลับไปแล้ว คุณหมอแตะหน้าผากของเขาแล้ว หลังจากพบว่าอุณหภูมิในร่างกายของเขาสูงเกินไป เขาหยิบเทอร์โมมิเตอร์ขึ้นมาทันทีแล้ววัดที่หน้าผากเขา บนหน้าจอแสดงชุดตัวเลข : 38.9 องศา โดยทั่วไป หาก
เพราะเด็กคนนี้เหมือนฟู่สือถิง ถ้าอิ๋นอิ๋นยังมีชีวิตอยู่แล้วเห็นจื่อชิว จะต้องรักจื่อชิวมากแน่นอน อิ๋นอิ๋นใจดีขนาดนั้น เธอจะทนเห็นความบาดหมางระหว่างพ่อลูกเพราะเธอได้ยังไง? หลังจากป้าหงพูดเรื่องนี้แล้วก็ออกจากห้องอาหารไปช้อนในมือของฟู่สือถิงตกลงไปในชามโจ๊ก วันนี้ฉินอันอันพาจื่อชิวไปประเทศบีแล้ว เธอไปอย่างเร่งด่วนขนาดนี้ ดูแล้วคงจะโกรธจริง ๆ เธอบอกเขาเมื่อคืนนี้ว่าเธอจะเลี้ยงจื่อชิวด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงพาลูกไปประเทศบี แบบนี้แล้วเขาจะได้ไม่เห็นและไม่รำคาญใจ เขาควรโล่งใจถึงจะถูก แต่ว่าทำไมเขารู้สึกไม่มีความสุขล่ะ? ความอยากไปตามหาเธอที่ประเทศบีโผล่ขึ้นมาในใจของเขาทันที! แต่ความคิดนี้ถูกกำจัดทิ้งอย่างรวดเร็ว เธอพาเด็กไปก็ดีเหมือนกัน แบบนี้เขาจะได้มีเวลามากพอที่จะสงบสติอารมณ์ที่สูญเสียการควบคุมของตัวเองได้ ......ฉินอันอันตัดสินใจที่จะพาจื่อชิวไปยังประเทศบีอย่างกะทันหันตอนนี้จื่อชิวค่อนข้างเด็กและไม่เหมาะสำหรับเที่ยวบินระยะไกลแต่เธอก็พลิกตัวไปมาทั้งคืน ดวงตาที่เย็นชาของฟู่สือถิงปรากฏขึ้นในใจของเธอตลอดเวลา เธอได้รับความอยุติธรรมได้ แต่เธอไม่อยากทำให้จื่อชิวได้ร
เพราะว่าเคยถูกสะกดรอยตามมาก่อน ดังนั้นเสี่ยวหานจึงเริ่มระมัดระวังตัว เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วโทรหาจิ้นซือเหนียน โทรศัพท์เครื่องนี้จิ้นซือเหนียนบมอบให้เขา มันออกแบบเฉพาะสำหรับเด็กที่มีหมายเลขส่วนตัวของจื้นซือเหนียนบันทึกไว้หลังจากที่เสี่ยวหานบอกจิ้นซือเหนียนเรื่องที่มีคนติดตามเขา จิ้นซือเหนียนก็ส่งบอดี้การ์ดไปรับเสี่ยวหานทันทีที่เขาลงจากรถรถสีดำเร่งความเร็วผ่านไปทันทีที่เขาลงจากรถ! เหมือนกับว่าแค่ผ่านมาระหว่างทางไม่ได้ติดตามอะไร“เธอมาคนเดียวเหรอ? ทำไมไม่เอาบอดี้การ์ดมาด้วย?” จิ้นซือเหนียนจับมือเขาแล้วพาเขาเข้าไปในตึก จิ้นซือเหนียนพาเสี่ยวหานเข้าไปที่ห้องฝึกซ้อมของบริษัท “ใกล้วันปีใหม่แล้ว ผมให้คุณลุงบอดี้การ์ดลาพักแล้วครับ” เสี่ยวหานตอบ “คุณแม่ของเธอกังวลแน่ถ้ารู้เรื่องนี้” จิ้นซือเหนียนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดกับเขาว่า “คนที่ติดตามเธอต้องรู้ว่าตอนนี้เธอไม่มีบอดี้การ์ด ถึงกล้าขนาดนี้ ฉันจะส่งบอดี้การ์ดให้เธอสองคน ต้องไม่มีเรื่องผิดพลาดใด ๆ ก่อนที่เธอไปหาคุณแม่ที่ประเทศบี” เสี่ยวหานไม่ชอบให้บอดี้การ์ดติดตาม แต่เขาคิดว่าตอนนี้ แม่ดูแลน้องชายก็เหนื่อยมากแล้
เมื่อเห็นแสงอันมุ่งมั่นในดวงตาของรุ่ยลา เสี่ยวหานพูดออกมาสองคำ “สู้ ๆ นะ” อีกด้าน ฟู่เย่เฉินยืนอยู่ข้างหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานในห้องทำงานของเขา พร้อมกับมองดูแสงไฟนีออนที่ค่อย ๆ ส่องสว่างไปทั่วเมืองทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่คึกคักข้างนอกแสดงให้เห็นว่าชีวิตยามค่ำคืนเพิ่งเริ่มต้นถ้าเป็นเวลาปกติ เขาคงออกจากห้องทำงานไปหาความสนุกแล้ว แต่วันนี้ เขาไม่มีอารมณ์ เขาถูกอาแท้ ๆ ของตัวเองบีบให้ล้มละลาย และต้องจ่ายค่าปรับจำนวนมหาศาล ไม่ใช่ว่าเขาไม่เสียใจกับเรื่องโง่ ๆ ที่เขาทำ แต่ที่มากกว่านั้นคือความเกลียดชัง เขาอาศัยชื่อเสียงในฐานะหลานชายของฟู่สือถิง เอาชีวิตรอดมาได้อย่างราบรื่นจนถึงตอนนี้ แต่มันเป็นเรื่องง่ายดายมากที่ฟู่สือถิงจะบดขยี้เขาจนตาย หลายวันมานี้เขาเฝ้าดูพ่อของเขาโทรหาฟู่สือถิงเพื่อร้องขอความเมตตาเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นนับครั้งไม่ถ้วน หวังว่าฟู่สือถิงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ของครอบครัวปล่อยเขาไป แต่ฟู่สือถิงไม่รับสาย หรือไม่ก็โอนสายไปที่ผู้ช่วยของเขา ฟู่สือถึงเย็นชาและโหดร้ายมาก! แม่ของเขาตายแทนเขาไปแล้ว ตอนนี้เขาแค่อยากมีชีวิตที่ดีอยู่ต่อไป ทำไมเขาต้องแบกรับ
ราวกับฟู่เย่เฉินกำลังฟังนิทานอยู่ เขาฟังแล้วมีสีหน้ามึนงงและประหลาดใจ “งั้นอาของผมป่วยทางจิตจริง ๆ เหรอ?” ฟู่ฮั่นคิ้วขมวดและถอนหายใจ “ความเจ็บป่วยทางจิตมีทั้งเล็กน้อยและรุนแรง ถึงแม้ว่าตอนนั้นอาของแกจะป่วยจริง แต่เขาก็ไม่เคยมีอาการกำเริบอีกในภายหลัง ไม่อย่างนั้นเขาจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้ยังไง?” “เขาประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่เขาไม่ประสบความสำเร็จเรื่องความรักเลย ฉินอันอันหย่ากับเขาและเธอคลอดลูกหลายคนแต่ไม่ให้ลูกกับเขาเลย พ่อคิดว่าพวกเขาไม่มีความรักต่อกันเลยงั้นเหรอ? ไม่แน่ฉินอันอันอาจรู้อาการป่วยของเขา ดังนั้นเลยไม่อยู่กับเขาไงล่ะครับ!” ฟู่เย่เฉินเดา ฟู่ฮั่นฟังคำพูดเขาแล้วมีท่าทางครุ่นคิด “พ่อครับ ตอนนี้เราไม่เหลืออะไรแล้ว เหมือนสุภาษิตที่ว่า คนเท้าเปล่าไม่กลัวที่จะสวมรองเท้า ถึงเราจะอยู่ฝั่งถังเฉียวเซิน แล้วฟู่สือถิงจะทำอะไรเราได้? ผมไม่ทรัพย์สินอะไรให้เขายึดได้อีกแล้ว!” ฟู่เย่เฉินโกรธจนมีความคิดชั่วร้ายผุดขึ้น “ผมจำเป็นต้องร่วมมือกับถังเฉียวเซิน” ฟู่ฮั่นยกแก้วเหล้าขึ้นแล้วดื่มจนหมดภายในอึกเดียว “แกบอกเรื่องนี้กับถังเฉียวเซินแล้วยังไงต่อ?” ฟู่ฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูด
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง