หลังจากที่เธอกลับไป เขากดหมายเลขโทรศัพท์ของคุณหมอประจำตระกูลอีกครั้ง “ผมไม่เป็นไร คุณไม่ต้องมาแล้ว” คุณหมองุนงงเล็กน้อย “คุณฟู่ ผมอยู่ระหว่างทางแล้ว ให้ผมตรวจดูสักหน่อยไหม?” เขาวางสาย เขายกมือขึ้นแล้วแตะอุณหภูมิบนหน้าผากของตัวเอง มันร้อนนิดหน่อย ก่อนฉินอันอันจะมา เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นไข้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สบายนิดหน่อย แต่ไม่ได้กระทบกับงานเขาเลย ทว่าหลังจากที่เธอมา ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งในร่างกายของเขาจะหมดลง เขานอนเหยียดบนเตียงทำอารมณ์ให้ว่าง ทว่าการพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งจบลงที่ความล้มเหลว เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องการลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ของจื่อชิวก็จะโผล่ขึ้นมาในใจของเขาใบหน้าเล็ก ๆ และดวงตาที่สดใส แต่มีความอยากรู้อยากเห็นของจื่อชิวเปรียบเสมือนแสงพร่างพราวที่สามารถทะลุเมฆดำมืดและสลายหมอกควันได้เมื่อคุณหมอมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฟู่ ฟู่สือถิงก็ผล็อยหลับไปแล้ว คุณหมอแตะหน้าผากของเขาแล้ว หลังจากพบว่าอุณหภูมิในร่างกายของเขาสูงเกินไป เขาหยิบเทอร์โมมิเตอร์ขึ้นมาทันทีแล้ววัดที่หน้าผากเขา บนหน้าจอแสดงชุดตัวเลข : 38.9 องศา โดยทั่วไป หาก
เพราะเด็กคนนี้เหมือนฟู่สือถิง ถ้าอิ๋นอิ๋นยังมีชีวิตอยู่แล้วเห็นจื่อชิว จะต้องรักจื่อชิวมากแน่นอน อิ๋นอิ๋นใจดีขนาดนั้น เธอจะทนเห็นความบาดหมางระหว่างพ่อลูกเพราะเธอได้ยังไง? หลังจากป้าหงพูดเรื่องนี้แล้วก็ออกจากห้องอาหารไปช้อนในมือของฟู่สือถิงตกลงไปในชามโจ๊ก วันนี้ฉินอันอันพาจื่อชิวไปประเทศบีแล้ว เธอไปอย่างเร่งด่วนขนาดนี้ ดูแล้วคงจะโกรธจริง ๆ เธอบอกเขาเมื่อคืนนี้ว่าเธอจะเลี้ยงจื่อชิวด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงพาลูกไปประเทศบี แบบนี้แล้วเขาจะได้ไม่เห็นและไม่รำคาญใจ เขาควรโล่งใจถึงจะถูก แต่ว่าทำไมเขารู้สึกไม่มีความสุขล่ะ? ความอยากไปตามหาเธอที่ประเทศบีโผล่ขึ้นมาในใจของเขาทันที! แต่ความคิดนี้ถูกกำจัดทิ้งอย่างรวดเร็ว เธอพาเด็กไปก็ดีเหมือนกัน แบบนี้เขาจะได้มีเวลามากพอที่จะสงบสติอารมณ์ที่สูญเสียการควบคุมของตัวเองได้ ......ฉินอันอันตัดสินใจที่จะพาจื่อชิวไปยังประเทศบีอย่างกะทันหันตอนนี้จื่อชิวค่อนข้างเด็กและไม่เหมาะสำหรับเที่ยวบินระยะไกลแต่เธอก็พลิกตัวไปมาทั้งคืน ดวงตาที่เย็นชาของฟู่สือถิงปรากฏขึ้นในใจของเธอตลอดเวลา เธอได้รับความอยุติธรรมได้ แต่เธอไม่อยากทำให้จื่อชิวได้ร
เพราะว่าเคยถูกสะกดรอยตามมาก่อน ดังนั้นเสี่ยวหานจึงเริ่มระมัดระวังตัว เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วโทรหาจิ้นซือเหนียน โทรศัพท์เครื่องนี้จิ้นซือเหนียนบมอบให้เขา มันออกแบบเฉพาะสำหรับเด็กที่มีหมายเลขส่วนตัวของจื้นซือเหนียนบันทึกไว้หลังจากที่เสี่ยวหานบอกจิ้นซือเหนียนเรื่องที่มีคนติดตามเขา จิ้นซือเหนียนก็ส่งบอดี้การ์ดไปรับเสี่ยวหานทันทีที่เขาลงจากรถรถสีดำเร่งความเร็วผ่านไปทันทีที่เขาลงจากรถ! เหมือนกับว่าแค่ผ่านมาระหว่างทางไม่ได้ติดตามอะไร“เธอมาคนเดียวเหรอ? ทำไมไม่เอาบอดี้การ์ดมาด้วย?” จิ้นซือเหนียนจับมือเขาแล้วพาเขาเข้าไปในตึก จิ้นซือเหนียนพาเสี่ยวหานเข้าไปที่ห้องฝึกซ้อมของบริษัท “ใกล้วันปีใหม่แล้ว ผมให้คุณลุงบอดี้การ์ดลาพักแล้วครับ” เสี่ยวหานตอบ “คุณแม่ของเธอกังวลแน่ถ้ารู้เรื่องนี้” จิ้นซือเหนียนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดกับเขาว่า “คนที่ติดตามเธอต้องรู้ว่าตอนนี้เธอไม่มีบอดี้การ์ด ถึงกล้าขนาดนี้ ฉันจะส่งบอดี้การ์ดให้เธอสองคน ต้องไม่มีเรื่องผิดพลาดใด ๆ ก่อนที่เธอไปหาคุณแม่ที่ประเทศบี” เสี่ยวหานไม่ชอบให้บอดี้การ์ดติดตาม แต่เขาคิดว่าตอนนี้ แม่ดูแลน้องชายก็เหนื่อยมากแล้
เมื่อเห็นแสงอันมุ่งมั่นในดวงตาของรุ่ยลา เสี่ยวหานพูดออกมาสองคำ “สู้ ๆ นะ” อีกด้าน ฟู่เย่เฉินยืนอยู่ข้างหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานในห้องทำงานของเขา พร้อมกับมองดูแสงไฟนีออนที่ค่อย ๆ ส่องสว่างไปทั่วเมืองทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่คึกคักข้างนอกแสดงให้เห็นว่าชีวิตยามค่ำคืนเพิ่งเริ่มต้นถ้าเป็นเวลาปกติ เขาคงออกจากห้องทำงานไปหาความสนุกแล้ว แต่วันนี้ เขาไม่มีอารมณ์ เขาถูกอาแท้ ๆ ของตัวเองบีบให้ล้มละลาย และต้องจ่ายค่าปรับจำนวนมหาศาล ไม่ใช่ว่าเขาไม่เสียใจกับเรื่องโง่ ๆ ที่เขาทำ แต่ที่มากกว่านั้นคือความเกลียดชัง เขาอาศัยชื่อเสียงในฐานะหลานชายของฟู่สือถิง เอาชีวิตรอดมาได้อย่างราบรื่นจนถึงตอนนี้ แต่มันเป็นเรื่องง่ายดายมากที่ฟู่สือถิงจะบดขยี้เขาจนตาย หลายวันมานี้เขาเฝ้าดูพ่อของเขาโทรหาฟู่สือถิงเพื่อร้องขอความเมตตาเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นนับครั้งไม่ถ้วน หวังว่าฟู่สือถิงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ของครอบครัวปล่อยเขาไป แต่ฟู่สือถิงไม่รับสาย หรือไม่ก็โอนสายไปที่ผู้ช่วยของเขา ฟู่สือถึงเย็นชาและโหดร้ายมาก! แม่ของเขาตายแทนเขาไปแล้ว ตอนนี้เขาแค่อยากมีชีวิตที่ดีอยู่ต่อไป ทำไมเขาต้องแบกรับ
ราวกับฟู่เย่เฉินกำลังฟังนิทานอยู่ เขาฟังแล้วมีสีหน้ามึนงงและประหลาดใจ “งั้นอาของผมป่วยทางจิตจริง ๆ เหรอ?” ฟู่ฮั่นคิ้วขมวดและถอนหายใจ “ความเจ็บป่วยทางจิตมีทั้งเล็กน้อยและรุนแรง ถึงแม้ว่าตอนนั้นอาของแกจะป่วยจริง แต่เขาก็ไม่เคยมีอาการกำเริบอีกในภายหลัง ไม่อย่างนั้นเขาจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้ยังไง?” “เขาประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่เขาไม่ประสบความสำเร็จเรื่องความรักเลย ฉินอันอันหย่ากับเขาและเธอคลอดลูกหลายคนแต่ไม่ให้ลูกกับเขาเลย พ่อคิดว่าพวกเขาไม่มีความรักต่อกันเลยงั้นเหรอ? ไม่แน่ฉินอันอันอาจรู้อาการป่วยของเขา ดังนั้นเลยไม่อยู่กับเขาไงล่ะครับ!” ฟู่เย่เฉินเดา ฟู่ฮั่นฟังคำพูดเขาแล้วมีท่าทางครุ่นคิด “พ่อครับ ตอนนี้เราไม่เหลืออะไรแล้ว เหมือนสุภาษิตที่ว่า คนเท้าเปล่าไม่กลัวที่จะสวมรองเท้า ถึงเราจะอยู่ฝั่งถังเฉียวเซิน แล้วฟู่สือถิงจะทำอะไรเราได้? ผมไม่ทรัพย์สินอะไรให้เขายึดได้อีกแล้ว!” ฟู่เย่เฉินโกรธจนมีความคิดชั่วร้ายผุดขึ้น “ผมจำเป็นต้องร่วมมือกับถังเฉียวเซิน” ฟู่ฮั่นยกแก้วเหล้าขึ้นแล้วดื่มจนหมดภายในอึกเดียว “แกบอกเรื่องนี้กับถังเฉียวเซินแล้วยังไงต่อ?” ฟู่ฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูด
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเห็นหมายเลขจากข้อความที่ไม่รู้จัก เขาเปิดดูข้อความ ทันใดนั้นเนื้อหาก็ปรากฏขึ้น : อิ๋นอิ๋นจากไปแล้ว ผมทำตามคำขอของเธอ นำเถ้ากระดูกของเธอโปรยลงทะเล ผมขอโทษจริง ๆ ที่สร้างความเจ็บปวดให้คุณ ขอโทษนะครับ ผมจะสละทุกอย่างที่มีในประเทศเป็นการชดใช้ : เว่ยเจินเขากัดฟันแน่น ดวงตาเปียกชุ่มความพยายามทั้งหมดที่เขาทำในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเพื่อสงบอารมณ์ไร้ประโยชน์หลังจากเห็นข้อความนี้!อิ๋นอิ๋นตายแล้ว เธอตายไปแล้วจริง ๆ! เพื่อช่วยจื่อชิว เธอถึงกับยอมสละชีวิตของตัวเอง! เขาปกป้องเธออย่างดีมานานหลายปี ไม่ใช่ให้เธอเป็นถุงเลือดของคนอื่น! กระดูกข้อนิ้วที่จับโทรศัพท์ของเขาเริ่มซีดขาว หลังจากแสงหน้าจอโทรศัพท์มืดลง เขาก็ให้สว่างอีกครั้ง เขาไม่ต้องการยอมรับข่าวร้ายนี้ แต่ข้อความนี้ช่างชัดเจนและทิ่มแทงสายตาเหลือเกิน ประเทศบี หลังจากฉินอันอันกับลูกตั้งหลักได้เรียบร้อยแล้ว เธอก็โทรหาครอบครัวของอวิ๋นโม่ และหวังว่าจะได้พบเขาโดยเร็วที่สุด สมาชิกครอบครัวอวิ๋นโม่บอกว่า เธอสามารถมาพบเขาที่บ้านได้ตลอดเวลา ถ้าเธอมีเวลา ดังนั้นเธอจึงมอบเด็กให้กับป้าจาง แล้วไปบ้านของตระกูลอวิ๋
เธอรู้สึกเสมอว่าอวิ๋นโม่และพ่อของอวิ๋นโม่กับอิ๋นอิ๋นและฟู่สือถิงมีความเชื่อมโยงกันบางอย่าง การเชื่อมโยงนี้ ไม่ใช่การเชื่อมโยงทางสังคม แต่เป็นการเชื่อมโยงทางการแพทย์ เธอสะดุ้งตกใจกับความคิดที่เกิดขึ้นของตัวเอง! ช่วงนี้เธอเหนื่อยเกินไปใช่ไหม? ทำไมเธอถึงคิดฟุ้งซ่านแบบนี้? ประเทศเอและประเทศบีอยู่ห่างกันมากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าพ่อของอวิ๋นโม่มาจากประเทศเอ แตก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลฟู่ ตระกูลฟู่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยในประเทศเอซึ่งยากที่คนธรรมดาจะเข้าถึงได้ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลที่เศรษฐีจะซับซ้อน แต่ถ้ามีเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายจริง ๆ เธอที่อยู่ข้างกายฟู่สือถิงมานานน่าจะได้ยินอะไรบ้าง นอกเหนือจากเรื่องของอิ๋นอิ๋นแล้ว เธอไม่เคยได้ยินเรื่องอื่นเลย รถขับมาจอดที่วิลล่าแล้ว เธอเปิดประตูแล้วลงจากรถ เมื่อเธอลงจากรถ ก็เห็นร่างสวยงามที่ประตู “อันอัน!” ร่างงามนั้นเอ่ยทักทายทันทีที่เห็นเธอ เสียงคุ้นเคยดังขึ้น รอยยิ้มปรากฏบนหน้าฉินอันอัน เป็นหลีเสี่ยวเถียน หลังจากหลีเสี่ยวเถียนออกจากโรงพยาบาล เธอก็มาที่ประเทศบีกับพ่อแม่ของเธอ ครั้งนี้ฉินอันอันพาจื่อชิวมาประเ
ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเขาต่อสาธารณะเขาไม่อยากให้เธอถูกรบกวนจากโลกภายนอก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจทำแบบนี้ แม้แต่ฉินอันอันก็ยังไม่เข้าใจ เธอรู้สึกว่าเขารังเกียจไอคิวต่ำของอิ๋นอิ๋น ดังนั้นเขาจึงซ่อนเธอเอาไว้ ไม่ให้คนอื่นรู้ เขาไม่เคยรังเกียจอิ๋นอิ๋นเลย ถ้าเขารังเกียจอิ๋นอิ๋นแม้แต่นิดเดียว อิ๋นอิ๋นอาจตายไปนานแล้ว ตอนนี้อิ๋นอิ๋นไม่อยู่แล้ว เขาไม่ต้องกังวลว่ามีคนรบกวนเธอหรือทำร้ายเธออีกต่อไป หลังจากตัดสินใจจัดงานศพให้อิ๋นอิ๋น เขาก็เริ่มจัดการขั้นตอนทั้งหมดด้วยตัวเองหลังจากข่าวแพร่กระจายออกไป เสี่ยวหานจึงบอกไมค์ว่าเขาอยากไปงานศพอิ๋นอิ๋น ไมค์โทรหาโจวจื่ออี้ทันทีและสอบถามว่าเขาไปได้ไหม “เจ้านายของผมเป็นคนร่างรายชื่อแขก ในนั้นไม่มีชื่อคุณกับเสี่ยวหาน” โจวจื่ออี้พูดอย่างลำบากใจ ไมค์เลิกคิ้วหนาขึ้น “งั้นมีฉินอันอันไหม? ถ้ามีฉินอันอัน ผมกับเสี่ยวหานจะไปในนามฉินอันอัน” “ไม่มี” โจวจื่ออี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เขาเชิญเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทและลูกค้าบางรายที่เขาร่วมงานด้วยมาหลายปีเท่านั้น... เขาไม่ได้เชิญฉินอันอัน และไม่ได้เชิญเพื่อนร่วมชั้นหรื
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง