“มีใครอยากลองไหม?” เจ้าหน้าที่ถามเอ่ยถามนักท่องเที่ยวที่สนใจ มีคนยกมืออยากลองจำนวนไม่น้อย ฉินอันอันเองก็ยกมือขึ้นเช่นกัน ทว่าร่างกายของเธอราวกับถูกมนต์สะกด ตัวเธอแข็งทื่ออย่างหนัก จนขยับไม่ได้ เธอเกือบลืมไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้ ทว่าตอนนี้ ความทรงจำเหล่านั้นก็หลั่งไหลออกมาอย่างท่วมท้น! เธอคิดไม่ถึงเลยว่า เทคโนโลยีในปัจจุบันจะพัฒนาจนก้าวหน้าขนาดนี้ หุ่นยนต์สามารถเลียนแบบเสียงคนได้จริง ดังนั้นตอนที่เสิ่นอวี๋ถูกควักลูกตาแล้วได้ยินเสียงของเธอ เป็นไปได้ไหมว่าเสียงที่เธอได้ยินคือเสียงของหุ่นยนต์ ผู้หญิงคนหนึ่งได้รับเชิญขึ้นไปบนเวที เธอทักทายหุ่นยนต์ว่า “ไฮ สวัสดี ฉันชื่อลิลลี่ ฉันอยากทดสอบว่าคุณสามารถเลียนเสียงของฉันได้จริงไหม” หุ่นยนต์เงียบไปสองสามวินาที จากนั้นพูดว่า “สวัสดีลิลลี่ ฉันกำลังพยายามเลียนแบบเสียงของคุณ! คุณคิดว่าเหมือนไหม?” มีเสียงหัวเราะดังมาจากด้านล่างเวที! เสียงเลียนแบบของหุ่นยนต์นั้นค่อนข้างคล้ายคลึง เพียงแต่ท้ายที่สุดแล้วมันคือหุ่นยนต์ มันจึงพูดช้า ๆ และ ทื่อ ๆ ทำให้ฟังแล้วรู้สึกค่อนข้างแปลก จู่ ๆ หัวใจที่ตึงเครียดของฉินอันอันก็ผ่อนคลายลง ผ
ตัวของเขานิ่งอยู่กับที่ เธอรีบเดินไปหาเขา “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา บนหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ สายตาหันไปทางอื่น พูดเสียงเบาอย่างที่สุด “เมื่อวาน” “คุณมาทำอะไรที่นี่?” เสียงของเธอดังขึ้น “คุณมาคนเดียวเหรอ?” เธอเองก็ไม่รู้ตัวว่าทำไมเธอถึงหยุดเขา ทำไมเธอถึงไล่ถามคำถามเหล่านี้ ก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งสองเพิ่งทะเลาะกันมา และต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ เมื่อเจอหน้ากันตอนนี้ จึงเป็นคนแปลกหน้าต่อกันโดยสิ้นเชิง แต่เธอไม่สามารถควบคุมความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองได้ ถ้าเขามาหาเธอล่ะ? “มีงานบรรยายที่โรงเรียน” ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงอย่างเย้ายวนขณะที่อดมองเธอไม่ได้ “ผมเคยเรียนมัธยมปลายที่นี่หนึ่งปี มีบรรยายช่วงบ่าย คุณอยากไปดูไหม?” ในใจของเธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ซ่อนไว้ได้ดี “วันนี้ฉันอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวหาน ไม่ว่าง” เธอพูดพร้อมกับมองไปทางเสี่ยวหาน รอยยิ้มบนหน้าเสี่ยวหานหายไปนานแล้ว และตอนนี้เขากำลังมองมาทางพวกเธอด้วยสีหน้าไม่แยแส บอดี้การ์ดถือหุ่นยนต์ที่ได้มาจากการชนะลอตเตอรี่ เขายืนอยู่ข้างเสี่ยวหานและมองไปทางพวกเขาเช่นกัน ฉินอันอันสูดลมหายใจอย่างกระอั
ห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ มีเพียงพวกเขาสามคน บรรยากาศทั้งเงียบงันและน่าขนลุก หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟนำอาหารมาวางบนโต๊ะแล้วก็ถอยออกไป ฟู่สือถิงครุ่นคิดอยู่ในใจ และกำลังจะเอ่ยปากพูด ฉินอันอันกลัวว่าเขาจะหาเรื่องให้เสี่ยวหานโกรธ ดังนั้นจึงพูดตัดหน้าเขา “เสี่ยวหาน ลูกบอกว่าหิวไม่ใช่เหรอ? อาหารร้านดีรสชาติดี กินเยอะ ๆ นะลูก” เธอคีบอาหารให้เสี่ยวหานเต็มชาม เสี่ยวหานกินอย่างบึ้งตึง ไม่แม้แต่จะเหลือบมองฟู่สือถิง ฟู่สือถิงหยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักซุปผักกับซี่โครงยื่นให้ฉินอันอัน “คุณวางแผนกลับประเทศเมื่อไหร่?” ฉินอันอันไม่ต้องการคุยกับเขาต่อหน้าลูกชาย เพราะเสี่ยวหานรู้สึกอ่อนไหวกับเขาเป็นพิเศษ ถ้าคำพูดไหนของเขาทำให้เสี่ยวหานไม่มีความสุข มันจะยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างพ่อกับลูกห่างไกลขึ้นเท่านั้น “กินข้าวก่อนเถอะค่ะ!” เธอลดสายตาแล้วกินคำเล็ก ๆ จากนั้นไม่นานเสี่ยวหานกินข้าวเสร็จ เขาวางตะเกียบลง “แม่ครับ ผมอยากนอนแล้ว ผมกลับบ้านก่อนนะครับ” ฉินอันอันวางตะเกียบลงทันที ต้องการกลับไปกับเขา “แม่ แม่ยังกินไม่หมดเลย! ผมจะให้ลุงบอดี้การ์ดส่งผมกลับบ้านเองครับ” เสี่ยวหานพูดจบก็ยกกระเป๋านักเรียกท
“ทำไมคุณถึงไม่เอาบอดี้การ์ดมาด้วย? คุณไม่รู้เหรอว่าคุณเป็นบุคคลสาธารณะ” เธอเลิกคิ้วแล้วทันใดนั้นก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที “คุณคิดว่ามาประเทศบีแล้วจะไม่มีอันตรายงั้นเหรอ? การรักษาความปลอดภัยของที่นี่แย่กว่าที่ประเทศเรามากนะ!” เขามองดูใบหน้าเล็กที่กำลังตื่นเต้นของเธอ รู้สึกราวกับมีก้อนแข็งติดอยู่ที่คอ “อันอัน คุณอย่าโกรธสิ ผมตัดสินใจมาที่นี่อย่างกะทันหัน” เขาอธิบาย “ตอนนั้นไม่มีตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่ใกล้ที่สุดเหลือแล้ว ดังนั้นผมเลยไม่ได้เอาบอดี้การ์ดมาด้วย” “คุณรอมาเที่ยวบินถัดไปแล้วมาพร้อมกับบอดี้การ์ดไม่ได้เหรอ?” ถึงแม้ว่าเธอจะบ่น แต่อารมณ์ของเธอค่อย ๆ สงบลง “คืนนี้คุณพักที่บ้านฉันแล้วกันค่ะ” “ตกลง” “คุณจงใจสินะ?” ยิ่งคิดเธอยิ่งสงสัย “บอดี้การ์ดของคุณไม่มาจริง ๆ เหรอ?” “คุยกันแล้วว่าจะเชื่อใจกันไม่ใช่เหรอ?” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา “มีเป็นพันวิธีถ้าผมอยากอยู่บ้านคุณ แต่ผมจะไม่บรรลุเป้าด้วยการหลอกลวงให้คุณเห็นอกเห็นใจหรอกนะ” เธอหน้าแดงที่ตัวเองนึกสงสัย ภายในวิลล่า หลังจากที่เสี่ยวหานกลับมาถึงบ้าน เขาเห็นไมค์กินอาหารเดลิเวอรี่และดื่มเบียร์ในห้องนั่งเล่น “พี่หาน วันนี้ลุง
รองประธานที่อยู่ปลายสายร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอจำเป็นต้องรีบกลับไป เกิดเรื่องขึ้นอย่างกะทันหันจนตอนนี้สมองของเธอว่างเปล่าไปหมด เทคโนโลยีหลักของบริษัทถูกขโมย น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นคือยังไม่รู้ว่าใครคือคนร้ายคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องชั่วร้ายนี้ฉวยโอกาสลงมือตอนที่เธอกับไมค์ไปพักผ่อนที่ประเทศบีเทคโนโลยีหลักของบริษัทใส่ไว้ในชิปและมีการเพิ่มรหัสผ่านหลายชั้นลงไปในชิป ถึงแม้ว่าชิปจะถูกขโมย แต่ไม่สามารถถอดรหัสเนื้อหาข้างในได้ ทว่าก็อาจถูกถอดรหัสได้อย่างรวดเร็วเช่นกันเหมือนกับที่เธอไม่เคยคิดว่าเสิ่นอวี๋จะฆ่าตัวตาย บนโลกใบนี้สิ่งที่ไม่เคยขาดหายไปคือเรื่องไม่คาดคิด ตอนเช้าเวลาเจ็ดโมงครึ่งเสี่ยวหานเดินออกมาจากห้อง วิลล่าทั้งหลังเงียบสงบราวกับไม่มีคนอยู่ เสี่ยวหานไปที่ห้องของฉินอันอัน พบว่าเตียงรก แต่ในห้องกลับไม่มีคน “แม่!” เสียวหานตะโกนเสียงดัง ฟู่สือถิงที่อยู่ในห้องรับแขกถูกปลุกให้ตื่น หลังจากที่เขาผุดลุดขึ้นจากโซฟาและต่อสู้กับอาการปวดหัวจากอาการเมาค้างแล้ว เขาก็เดินไปหาเสี่ยวหาน “เสี่ยวหาน เกิดอะไรขึ้น?” ดวงตาของเสี่ยวหานแดงเล็กน้อย ไม่มีเวลาสนใจกับความแค้นที่มีต่อเขา แ
เลขารีบเข้ามาประคองเธอทันที รองประธานโทรเรียกรถพยาบาล หลังจากฉินอันอันถูกรถพยาบาลพาตัวไป เรื่องนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ว่าทำไม “ดูเหมือนว่าฉินกรุ๊ปจะเผชิญกับวิกฤตเข้าแล้วจริง ๆ! ก่อนหน้านี้ฉินอันอันยังรุ่งเรืองอยู่เลย ตอนนี้เธอถูกรถพยาบาลพาตัวไปแล้ว น่าสงสารจริง!” “ที่น่าสงสารที่สุดคือลูกในท้องของเธอไม่ใช่เหรอ? ได้ยินว่าเด็กในท้องเป็นลูกของฟู่สือถิง จริงหรือเปล่า?” “ใครจะรู้ล่ะ! นอกจากลูกในท้องแล้ว ยังมีลูกอีกสองคนด้วย... เด็กสองคนนั้นต้องไม่ใช่ลูกของฟู่สือถิงแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ต่อสู้แย่งสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเลยเหรอ?” “ชีวิตส่วนตัวของฉินอันอันยุ่งเหยิงมาก! แต่เว้นเรื่องนี้ไปก่อน ครั้งนี้ฉินกรุ๊ปดวงตกจริง ๆ! เทคโนโลยีหลักถูกขโมยไปแล้วต่อไปพวกเขาจะขายสินค้าราคาแพงขนาดนี้ได้ยังไง? การผูกขาดในตลาดระดับสูงของเธอกำลังจะพังแล้ว!” “นี่เป็นเรื่องดีสำหรับผู้บริโภค” “แต่สำหรับฉินอันอัน คือความเสียหายร้ายแรง! ไม่แปลกใจเลยที่เธอโกรธจนเป็นลม” ......หลังจากที่หวังหว่านจือได้ยินข่าว เธอเปิดขวดไวน์แดงอย่างมีความสุข เธอหยิบรูปถ่ายฉินเขอเข่อที่ตายไปแล้วและพูดกับรูปนั้น
ตอนนี้เอง คุณหมอหยิบเอกสารการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเดินเข้ามาที่เตียงผู้ป่วย “คุณฉิน เอกสารพักรักษาตัวเสร็จแล้ว” โจวจื่ออี้ที่ปลายสายได้ยินประโยคนี้แล้วก็รู้สึกตึงเครียด “ฉินอันอัน คุณเป็นอะไร? ทำไมต้องเข้าโรงพยาบาล? ตอนนี้คุณอยู่โรงพยาบาลไหน? ผมจะรีบไปหาคุณเดี๋ยวนี้!”ฉินอันอันปิดบังไม่อยู่ ทำได้แค่บอกไปตามจริง หลังจากวางสายแล้ว เลขาก็พูดว่า “ประธาน ฉันจะไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้คุณนะคะ” ฉินอันอัน “รบกวนคุณแล้ว คุณจ่ายค่ารักษาแล้วกลับบริษัทได้เลยนะ!”“ประธานคะ ฉันอยู่ดูแลคุณที่โรงพยาบาลได่” ฉินอันอัน “ไม่ต้องหรอก คุณกลับไปบอกทุกคนว่าฉันไม่เป็นไร ฉันจะโทรหารองประธาน เมื่อฉันรู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”เลขา “ได้ค่ะ ประธาน” ยี่สิบนาทีต่อมา โจวจื่ออี้รีบมาที่โรงพยาบาล เมื่อเห็นอาการของฉินอันอัน เขาเอ่ยว่า “ผมขอให้ป้าจางมาดูแลคุณ คุณพักฟื้นอย่างสบายใจนะครับ ไม่ต้องคิดอะไร” “ตอนนี้ฉันดีขึ้นมากแล้ว” เธอพูดอย่างสงบนิ่ง “อื้ม ผมให้บอดี้การ์ดไปซื้ออาหารแล้ว คุณทานแล้วก็พักผ่อนให้มาก ๆ” โจวจื่ออี้กล่าว “อืม” สิบชั่วโมงต่อมา ไมค์และฟู่สือถิงกลับมาถึงประเทศเอ เวลานี้ พร
“นี่ฟู่สือถิงประธานใหญ่ของเอสทีกรุ๊ปไม่ใช่เหรอ? เขามาทำไม? รองประธานโจว คุณบอกว่าผู้อำนวยการไมค์กลับมาแล้ว ไหนผู้อำนวยการไมค์ล่ะ? ทำไมคุณถึงโกหกพวกเรา?” มีคนทักท้วง รองประธานโจวทำอะไรไม่ถูกอย่างมาก “พวกคุณคงเคยได้ยินว่าประธานฟู่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานฉินของพวกเรา ตอนนี้คุณฉินไม่สบาย เข้าโรงพยาบาล ดังนั้นประธานฟู่จึงมาช่วยพวกเรา” “อ้อ...ดีเลยที่ประธานฟู่มาช่วย แต่ว่าทำไมถึงต้องเอาโทรศัพท์พวกเราไปด้วย? แปลก ๆ นะ” รองประธานโจวอธิบาย “มือถือของผมก็ถูกเก็บไปเหมือนกัน ประธานฟู่ทำแบบนี้ย่อมมีเหตุผล” สายตาของทุกคนมองไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่เก้าอี้ประธาน ใบหน้าของเขาเย็นชาและน่ากลัวและตัวของเขาก็แผ่รัศมีอันมืดมน ต่อหน้าเขา ถึงตนเองจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็รู้สึกว่าตนเองอาจจะทำผิดพลาดอะไรไป “พวกคุณบางคนคงจะรู้ว่าชิปถูกขโมยไปได้ยังไง” ดวงตาสีเข้มอันคมกริบของเขากวาดไปทั่วใบหน้าของทุกคน “ผมให้เวลาพวกคุณหนึ่งนาที ถ้าผ่านไปหนึ่งนาทีแล้วยังไม่มีใครสารภาพ ผมจะใช้วิธีของผมจัดการกับพวกคุณ” หลังจากพูดจบแล้ว การจับเวลาก็เริ่มขึ้น ในเวลาเดียวกัน ชายชุดดำที่แข็งแกร่งและกระตือรือร้นหลายคน