เมื่อบอดี้การ์ดเฝ้ายามที่ประตูมองเห็นฉินอันอันแล้ว พวกเขาต่างก็คิดว่าตัวเองตาลาย หลังจากที่สร้างปัญหาให้ฟู่สือถิงแล้ว เธอยังกล้าโผล่หน้ามาอีกเหรอ? ก่อนหน้านี้ถ้าบอดี้การ์ดเห็นเธอมา เขาจะเปิดประตูให้เลยในทันที แต่ตอนนี้บอดี้การ์ดไม่เปิดประตูให้เธออีกแล้ว เขาโทรไปห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นหนึ่ง ป้าจางรับสาย “ฉินอันอันมาครับ ยืนอยู่นอกประตูลานบ้าน” บอดี้การ์ดพูด ป้าจางตกตะลึง “โอ้ ฉันจะรีบออกไปดูเดี๋ยวนี้เลย” เมื่อวางสายแล้ว ป้าจางก็รีบก้าวเท้าเดินไปทางประตู ก่อนหน้านี้ท้องฟ้าไม่มีเมฆ ตอนนี้กลับมีเมฆครึ้มปรากฏขึ้น ป้าจางไม่ได้ให้ฉินอันอันเข้ามา แต่เธอเดินออกไปที่นอกประตูลานบ้าน“อันอัน” ป้าจางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณมาพบคุณผู้ชายเหรอคะ?” ป้าจางรู้ว่าฉินอันอันเป็นคนทำให้ฟู่สือถิงบาดเจ็บ ดังนั้นป้าจางไม่มีทางที่จะคิดถึงความรู้สึกเก่า ๆ ที่มีต่อเธอได้ ฟู่สือถิงเกือบตายจากการบาดเจ็บครั้งนี้ เขาไม่อยากเจอเธอแน่นอน ฉินอันอันพยักหน้า “เขาอยู่บ้านไหมคะ?” “อยู่ค่ะ หลังจากออกจากโรงพยาบาล เขาพักฟื้นอยู่ที่บ้านมาตลอด” ป้าจางตอบ “คุณหมอให้เขาพักอยู่ที่บ้านอย่างน้อยหนึ่งเดือนค่ะ”
เมื่อไม่เห็นเธอ ไม่คิดถึงเธอ เขาสามารถกินดื่มและนอนหลับได้ตามปกติ แต่เมื่อเขาคิดถึงเธอ กลับเกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติในร่างกาย จากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงเคาะที่ประตู ฟู่สือถิงเข้าไปในห้องนอนจากระเบียง เมื่อเปิดประตู ป้าจางยืนอยู่ด้านนอก “คุณผู้ชายคะ อันอันมาที่นี่เมื่อสักครู่นี้ เธอบอกว่ามีเรื่องอยากพบคุณ ดิฉันถามเธอว่ามีเรื่องอะไร เธอไม่บอกค่ะ” ป้าจางเอ่ย “เธอไปแล้วค่ะ” “ฉันเห็นแล้ว” สีหน้าของเขาเย็นชา น้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่า “อ้าว ถ้าเธอมาอีกครั้งหน้า ให้ดิฉันเชิญเธอเข้ามาไหมคะ?” ป้าจางสอบถาม “ไม่ต้อง” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพูดสองคำนี้ออกมา ......เมื่อฉินอันอันกลับมาถึงบ้าน เธอก็เปียกโชกไปทั้งตัว “แม่คะ ทำไมแม่เปียกโชกแบบนี้ล่ะคะ? แม่ไม่ได้เอาร่มไปด้วยเหรอคะ?” รุ่ยลาสีหน้าเจ็บปวดใจ ไมค์ดันเธอขึ้นไปชั้นบน “รีบไปอาบน้ำเลย ระวังเป็นหวัด” เธอเดินขึ้นไปยังชั้นบน “ลุงไมค์ ทำไมคุณลุงปล่อยให้แม่กลับมาคนเดียวล่ะคะ?” รุ่ยลามองไมค์อย่างตำหนิ เสี่ยวหานเองก็มองไมค์ด้วยสายตาตำหนิเช่นกัน ไมค์ยกมือยอมแพ้ภายใต้การโจมตีของหนูน้อยทั้งสองคน “แม่ของพวกเธอมีธุระตอนบ่าย ไม่ย
เธอยังคงไม่วางใจเรื่องเด็กในท้องของเธอเธอต้องแน่ใจก่อนว่าเด็กแข็งแรงหรือไม่? เธอถึงจะชดใช้ให้เขาได้ ไม่ว่าจะสายเกินไปหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยในใจของเธอก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว เธอสวมเสื้อคลุมแล้วออกไปพร้อมกับร่ม หลังจากเดินออกมาชุมชนประมาณสามนาที ก็มีร้านขายยาเธอซื้อกรดโฟลิกใส่ไว้กระเป๋าแล้วกางร่มเดินฝ่าฝน ถึงแม้ฝนจะตกหนัก แต่ไม่หนาวมาก ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูกาลที่ทุกสรรพสิ่งจะฟื้นคืนชีวิตกลับมาใหม่ รวมทั้งเป็นฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความหวังเช่นกัน เธอหวังเหลือเกินว่าลูกในท้องจะแข็งแรงเหมือนรุ่ยลาและเสี่ยวหาน ขอเพียงเขาแข็งแรง เธอจะให้กำเนิดเขา ฟู่สือถิงจะคิดอย่างไร ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เมื่อเปียกปอนสายฝนในตอนเย็น ก็ทำให้เธอได้ครุ่นคิดหลายอย่างชีวิตของเธอและเขา ท้ายที่สุดคือเส้นขนานสองเส้น เธอควรใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี ไม่ทำในสิ่งที่ต้องละอายใจต่อตัวเองก็พอ เมื่อกลับถึงบ้าน เธอเก็บร่มและวางไว้ด้านนอกประตู ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าประตู เธอกลับได้ยินเสียงดังมาจากห้องนั่งเล่น “คุณกำลังบีบคอผมอยู่!” น้ำเสียงฉุนเฉียวของโจวจื่ออี้ดังลอดออกมา ไมค์ “ให้ต
เธอนอนลงบนเตียงแล้วปิดไฟ หลังจากพลิกตัวไปมาอยู่ครึ่งคืน ยิ่งพลิกตัวก็ยิ่งนอนไม่หลับ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เธอถอนหายใจในความมืด บังคับตัวเองให้หลับตาลงและนอนหลับต่อ หลังจากพลิกไปมาอีกสักพัก เธอก็หยิบโทรศัพท์มาดูเวลาอีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว อีกสักครู่จะเป็นเวลาตีหนึ่ง แต่ว่าเธอนอนไม่หลับ ไม่ง่วงนอนเลย เธอเปิดลิ้นชักโต๊ะหัวเตียงแล้วหยิบยาเมลาโทนินออกมา เมื่อเปิดขวดยาเตรียมจะกลืนยาลงไป กรดโฟลิกบนโต๊ะข้างเตียงก็ปลุกเธอให้ตื่น! เธอโยนยาในมือลงถังขยะทันที เธอต้องนอนแล้ว เพื่อเห็นแก่ลูกในท้องของเธอ วันรุ่งขึ้น เวลาแปดโมงเช้า หลังจากฉินอันอันไปส่งลูกสองคนที่โรงเรียนอนุบาล เธอซื้ออาหารเช้ามาจากข้างนอกทุกคนนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว โจวจื่ออี้เหลือบมองฉินอันอัน วันนี้เธอแต่งตัวอย่างประณีต สวยงามจนใครก็ไม่อาจมองละสายตาได้ เธอสวมสเวตเตอร์สีขาว ด้านในเป็นชุดกระโปรงสีแดงและรองเท้าส้นแบนคู่หนึ่ง เธอแต่งหน้าบาง ๆ สีหน้าดูดีมาก “คุณฉิน วันนี้มีประชุมเหรอครับ?” โจวจื่ออี้ถามเพิ่มเติม ไมค์ “จื้นซือเหนียน คุณร
ประตูออฟฟิศถูกผลักออก เมื่อเซิ่งเป่ยเห็นเขาไอหนักมากก็เดินเข้าไปทันทีแล้ววางแก้วน้ำไว้ในมือเขา “ไม่สบายก็ไม่ต้องมาทำงานสิ! ไม่เคยฟังหมอสักครั้งเลยหรือ?” เขาวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะแล้วก้าวเท้าเดินไปทางห้องน้ำ เซิ่งเป่ยคิดจะตามไป แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นการถ่ายทอดสดที่กำลังฉายอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา “ซือเหนียน ทุกคนอยากรู้มาก ๆ ว่า ทำไมคุณถึงเลือกร่วมงานกับฉินกรุ๊ป เพราะว่าพวกเขาจ่ายเงินให้คุณสูงมากใช่หรือเปล่า?” นักข่าวถามพร้อมรอยยิ้ม จิ้นซือเหนียนเหลือบมองฉินอันอัน ในดวงตาคู่นั้นมีรอยยิ้ม ขณะที่เขากำลังจะตอบ ฉินอันอันกลับชิงตอบก่อนว่า “เปล่าเลยค่ะ ซือเหนียนบอกว่าเขาออกจากวงการไปสามปีแล้ว ตอนนี้เป็นเหมือนน้องใหม่ ดังนั้นจึงรับเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” ด้านล่างเวทีเกิดเสียงเจี๊ยวจ๊าว “ประธานฉิน คุณกับซือเหนียนรู้จักกันได้ยังไง? พวกคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีมากเลยใช่ไหม? ฉันเห็นว่าวันนี้พวกคุณสวมเสื้อสเวตเตอร์สีขาว…” นักข่าวยังคงพูดเรื่องซุบซิบต่อ ใบหน้าของฉินอันอันฉาบไปด้วยสีแดง “มันเป็นเรื่องบังเอิญครับ” จิ้นซือเหนียนตอบแทนเธอ “ผมสวมเสื้อแจ็กเกตสีน้ำตาลไว้ข้างนอก เพรา
“ฉินอันอันก็ฉลาดเหมือนกัน!” หวังหว่านจือพูดอย่างเย็นชา ถึงแม้ว่าจิ้นซือเหนียนจะไม่ใช่ไอดอลชายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้รับความนิยมแบบเดียวกันนี้มาก่อน! และวันนี้เขาได้กลับเข้าสู่วงก่ารอย่างเป็นทางการแล้ว เรื่องนี้ได้สร้างบรรยากาศฮือฮาอีกทั้งความนิยมสูงมากอย่างเป็นประวัติการณ์ในวงการบันเทิง! หวังหว่านจือไม่เข้าใจว่าทำไมจิ้นซือเหนียนถึงช่วยฉินอันอันขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เขาโพสต์เว่ยปั๋วเพื่อช่วยฉินกรุ๊ปไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาถึงกับเขียนเพลงให้ฉินกรุ๊ป! เกินไปแล้ว! เธอกดเบอร์โทรของเสิ่นอวี๋ ต่อสายได้อย่างรวดเร็ว “เสิ่นอวี๋ เธอรู้ไหมว่าทำไมจิ้นซือเหนียนถึงช่วยฉินอันอันขนาดนี้? พวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันหรือเปล่า?” เสิ่นอวี๋เองก็กำลังดูการถ่ายทอดสดอยู่เช่นกัน ดูแล้วก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก จิ้นซือเหนียนไม่เพียงแต่มีความสามารถเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังหน้าตาหล่อเหลาขนาดนั้น เป็นเรื่องยากมากสำหรับหญิงสาวที่จะต้านทานสิ่งล่อใจของเขาได้ “เขาเพิ่งบอกคำตอบในการถ่ายทอดสดไปไงคะ” เสียงของเสิ่นอวี๋เย็นชาราวกับสระน้ำเย็น “เขาบอกว่าร
เขามองออกแล้ว เธอมีชีวิตที่ดีมากจริง ๆ ......หลังจากที่ฉินอันอันขึ้นรถ เธอหยิบแก้วรักษาอุณหภูมิออกมาจากกระเป๋า คลายเกลียวฝาออกแล้วจิบน้ำอุ่น ไมค์รอจนเธอดื่มน้ำเสร็จจึงขับรถออกไป “กลางวันนี้กินอะไรดี?” เขาถาม ฉินอันอัน “ยังไม่เที่ยงเลยนะ! ฉันไม่หิว” ไมค์ “คิดไว้ล่วงหน้าไงเล่า!” ฉินอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “จากนี้ไปฉันจะเลือกอาหารกลางวันเอง” ไมค์กินเนื้อสัตว์ทุกมื้อ ตอนนี้เธอไม่สนใจเนื้อสัตว์ใด ๆ เลย ก่อนตั้งครรภ์เธอมีความอยากอาหารดี ดังนั้นถ้าไมค์เห็นว่าเธอไม่กินเนื้อ จะต้องสงสัยแน่นอน “เธอคงไม่ได้คิดจะลดน้ำหนักหรอกใช่ไหม?” ไมค์พูดอย่างสงสัย “ฉินอันอัน เธออย่าสูญเสียความเป็นตัวเอง! เธอไม่ได้อยากเป็นดาราในวงการบันเทิง ไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับดาราสาวพวกนั้น!” ฉินอันอันเอามือกุมหน้าผาก เธอรู้ว่าไมค์มีจิตใจค่อนข้างละเอียดอ่อนอย่างนั้นแล้วเขาต้องคิดฟุ้งซ่านอย่างแน่นอน “ฉันไม่ได้ลดน้ำหนัก ฉันแค่ไม่อยากกินข้าวกับนาย” ไมค์ “ทำไมเธอไม่อยากกินข้าวกับฉันล่ะ? เธอไม่กินกับฉัน เธอจะกินกับใคร?” ฉินอันอัน ฉันคิดว่าพวกเราควรหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์ห
แต่เธอไม่อยากอธิบาย “โจวจื่ออี้ ไปบอกเจ้านายของคุณว่าฉินอันอันคบกับจิ้นซือเหนียนแล้ว!” ไมค์อยากให้ฟู่สือถิงยอมแพ้โดยสิ้นเชิงและไม่ต้องมาพัวพันกับฉินอันอันอีก ฉินอันอันได้ยินไมค์พูดจาไร้สาระ เธอถอดหูฟังออกจากหูของเขาทันที “พี่โจวคะ คุณอย่าฟังเรื่องไร้สาระของเขา” เธอเอ่ย “ฉันกับจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกัน อีกอย่าง เจ้านายของคุณคืนเสื้อสเวตเตอร์ให้ฉันแล้ว ดังนั้นฉันอยากจะใส่ตอนไหนก็ได้หากฉันต้องการ ถ้าฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ในอนาคต ฉันก็สามารถสวมเสื้อตัวนี้ออกเดทได้” โจวจื่ออี้พูดไม่ออก‘ไปตายซะไมค์!’ คิดไม่ถึงว่าจะโกหกเขาว่าไม่ได้อยู่กับฉินอันอัน นอกจากจะอึดอัดแล้วยังน่าอายด้วย “คุณฉิน เสื้อผ้าของคุณ คุณใส่ได้ถ้าคุณต้องการ…ผมแค่บ่นกับไมค์ ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ…ผมตระหนักได้แล้วว่า เจ้านายของผมก็ไม่ใช่นักบุญ เขาเองก็มีข้อบกพร่อง จากนี้ผมจะเตือนตัวเองบ่อย ๆ” โจวจื่ออี้กล่าว “อืม…วันนี้เขาไปทำงานแล้วเหรอคะ? เขาควรจะพักฟื้นอยู่บ้านไม่ใช่เหรอ?” ฉินอันอันพูดอย่างใจเย็น โจวจื่ออี้ “เขาไม่เคยฟังหมอเลย แต่พี่เป่ยส่งเขากลับไปแล้ว” “อืม” คุยมาถึงตรงนี้ ก็ไม่ร
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง