บอดี้การ์ดและหมอรีบพาเขาออกไป เธอนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงพลางร้องไห้เสียงดัง ค่ำคืนนี้ยิ่งดึกขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอกลับตื่นตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน เธอได้ยินเสียงแห่งความเสียใจของตัวเองชัดเจน และได้ยินเสียงดังก้องของเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังสตาร์ทอยู่บนดาดฟ้า ไม่นานเฮลิคอปเตอร์ก็หายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน มีเสียงฝีเท้าที่ประตูห้อง เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ไม่ว่าใครจะเข้ามา เธอก็ไม่สนใจแล้ว หลังจากชายคนนั้นเข้ามาเขาก็เดินตรงไปที่เตียงทันที เขาเอาผ้าห่มสะอาดในมือมาคลุมบนตัวเธอ จากนั้นก็หยิบมีดที่เปื้อนเลือดบนเตียงขึ้นมา “คุณฉิน ผมให้มีดนี้คุณเพื่อป้องกันตัวเอง ไม่ใช่เพื่อฆ่าคนนะ” พี่สามจำใจพูด “ผมจะเอามีดเล่มนี้คืน” ฉินอันอันสะอื้น “ฉันอยากฆ่าเขา...แต่ฉันไม่กล้าทำ...” “การกระทำของคุณทำให้เขาโกรธ” พี่สามพูดน้ำเสียงราบเรียบ “แล้วมันแตกต่างอะไรกับการที่คุณเอามีดจี้หัวใจเขา?” ฉินอันอันพูดไม่ออกหลังจากถูกซักถาม “แม่ของคุณเสียไปเมื่อปีที่แล้วใช่ไหม? คุณก็น่าจะรู้ว่าถ้าคนที่รักเสียชีวิต คนเราจะรู้สึกอ่อนไหวง่าย” พี่สามจุดบุหรี่แล้วชูไว้ระหว่างนิ้ว “แม่เขาเสียแล้ว พวกเราญาติพี่
เธอดูข่าวบนหน้าจอแล้วรู้สึกหายใจลำบาก ‘เขาเสียชีวิตแล้ว?’ ‘เป็นไปได้ยังไง...จะตายง่าย ๆ ขนาดนี้ได้ยังไง?’ ‘เมื่อคืนเธอห้ามเลือดให้เขาแล้ว! เฮลิคอปเตอร์ก็พาเขาส่งโรงพยาบาล และน่าจะได้รับการรักษาฉุกเฉินในทันที แล้วทำไมถึงช่วยเขาไว้ไม่ได้ล่ะ?’ ‘หรือว่าตอนที่เขาอยู่บนเฉลิคอปเตอร์ เขาจะฉีกผ้าพันแผลที่เธอพันให้ออก?’ ‘หรือตอนไปถึงโรงพยาบาล เขาไม่ยอมให้หมอรักษา?’ เธอสูดหายใจ น้ำตาพลันไหลอาบหน้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง เขาตายแล้วคือตายแล้ว! หมอสามารถช่วยคนไข้อาการสาหัสได้ แต่ไม่สามารถช่วยคนที่เสียชีวิตไปแล้วได้! เมื่อคืนตอนที่เธอมีความคิดจะฆ่าเขา เธอคิดว่าถ้าเขาตาย เธอก็จะเป็นอิสระ แต่พอผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนั้น ทำไมกลับรู้สึกเสียใจมากขนาดนี้? ...... หลังจากข่าวการเสียชีวิตของฟู่สือถิงได้รับการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต สื่อรายใหญ่ก็เริ่มเร่งเผยแพร่ข่าวที่เกี่ยวข้อง ไว้อาลัยให้กับฟู่สือถิง ปิดฉากตำนานรุ่นแรก! เอสทีกรุ๊ป อาณาจักรธุรกิจที่สร้างด้วยมือของฟู่สือถิงจะไปตกอยู่ที่ใคร? ฟู่สือถิง ความสำเร็จและความเศร้าโศกของเขา! เบื้องหลังการตายของฟู่สือถิงมีใครสมรู้ร่วม
ไมค์หยิบแก้วน้ำขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายของคุณเหรอ? อย่ามาหาฉินอันอันทุกครั้งที่มีเรื่อง...” “เขาตายแล้ว” โจวจื่ออี้รู้สึกเสียใจมาก ไมค์ส่งเสียง พู่ และน้ำในปากก็พุ่งออกมา “อย่ามาล้อเล่นสิ คุณพูดว่าเขาตายแล้ว...เขาตายได้ยังไง?” “ไม่รู้ ในอินเทอร์เน็ตบอกว่าเขาตายแล้ว” ไมค์พูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าเขาดูเหมือนจะมีน้ำตาไหลออกมาจึงวางแก้วน้ำลงแล้วเดินไปที่ห้องทันที “ไม่ต้องกังวล ผมจะโทรไปถามฉินอันอัน...เมื่อวานตอนเที่ยงเธอโทรหาผม บอกว่าเธอไม่ได้เจ็บมากแล้ว และเธอจะกลับมาในอีกไม่กี่วัน ตอนนั้นเธอไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับฟู่สือถิงเลย...” “เมื่อช่วงหัวค่ำของเมื่อคืนเกิดขึ้น” โจวจื่ออี้เดินตามเขาเข้าไปในห้อง “โทรศัพท์มือถือของเขาติดต่อไม่ได้ บอดี้การ์ดของเขาก็ไม่รับสาย ผมอยู่กับเขามาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” ไมค์เปิดโทรศัพท์ กดหมายเลขของฉินอันอัน และเปิดลำโพงในขณะเดียวกัน ใช้เวลารอสายสักพักก่อนที่สายจะถูกเชื่อมต่อ “ฉินอันอัน!” ไมค์รู้สึกกังวลใจตามโจวจื่ออี้ เขาเริ่มวิตกกังวล “ฉันได้ยินมาว่าฟู่สือถิงตายแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอใช่ไหม
คฤหาสน์ในป่าลึก หลังจากไมค์จอดรถแล้วเขาก็เดินตรงไปที่ประตู บอดี้การ์ดหยุดเขาไว้ “ผมมารับฉินอันอัน!” ไมค์พูด “เจ้านายของคุณตายแล้ว บางทีคุณควรพิจารณาว่าต่อไปนี้จะมีใครจ่ายค่าจ้างให้คุณหรือเปล่า?” บอดี้การ์ดตกตะลึง อีกฝั่งของบันได แม่บ้านช่วยพยุงฉินอันอันลงไปชั้นล่าง เธอต้องการไปจากที่นี่ ฟู่สือถิงเสียชีวิตแล้ว เธออยากเจอเขาเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อไมค์เห็นฉินอันอัน เขาก็ผลักบอดี้การ์ดและวิ่งเข้าไปหาเธอทันที “ฉินอันอัน! ฉันมารับเธอกลับบ้าน!” ไมค์พยุงร่างฉินอันอันจากมือแม่บ้าน หลังจากช่วยเธอขึ้นรถแล้ว ไมค์ก็เหลือบไปเห็นขาของเธอ เธอสวมกางเกงนอนที่หลวมมาก จึงทำให้มองไม่เห็นแผลของเธอ “เมื่อกี้เธอเดินกะเผลกอยู่ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแผลของเธอใกล้หายแล้ว” ไมค์ขมวดคิ้วแล้วสตาร์ทรถ “ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาลก่อนจะเข้าบ้าน” ฉินอันอันคาดเข็มขัดนิรภัยไว้ที่หน้าอกด้วยมือทั้งสองข้าง ในใจรู้สึกว่างเปล่า “ฉินอันอัน ทนายของเขา...คงจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เธอใช่ไหม?” หลังจากที่รถขับออกไป ไมค์ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนถาม จริง ๆ แล้วไมค์เองก็ไม่ชอบฟู่สือถิง เพราะฟู่สือถิงทำไม่ดีกับฉิน
ถ้าพ่อตายต้องไปเยี่ยมหลุมศพเขาไหม? “ถ้าเธออยากไปก็ไปได้เลย ฉันไม่ไป” หลังจากเสี่ยวหานพูดจบ เขาก็กลับเข้าไปในห้องเรียนด้วยสีหน้าเย็นชา “พี่...ฮือฮือ...หนูคิดถึงแม่...เมื่อไหร่แม่จะกลับมา?” รุ่ยลารีบตามเขาไปและดึงแขนเขาไว้ “เดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้ว” เสี่ยวหานมีลางสังหรณ์ ฟู่สือถิงตายแล้ว แม่จะได้ไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไป ...... ไมค์ขับรถไปที่โรงพยาบาลตี้ซานและส่งฉินอันอันให้กับเว่ยเจิน ฉินอันอันเห็นเว่ยเจินจึงถามว่า “เขาอยู่โรงพยาบาลไหน?” เว่ยเจิน “โรงพยาบาลทั่วไป ข่าวล่าสุดที่ฉันได้รับก็คือตอนนี้หมอกำลังช่วยชีวิตเขาอยู่ อย่าเพิ่งกังวลไป” เว่ยเจินช่วยพยุ่งเธอขึ้นไปบนเตียงพยาบาล หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ฟื้นตัวจากอาการช็อกในที่สุด “พี่เว่ย พี่คิดว่าเขายังไม่ตายเหรอ?” เว่ยเจินถอนหายใจ “ฉันคิดว่าเขาช็อกไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เขาได้รับการช่วยเหลือแล้ว และตอนนี้ก็ยังคงช่วยเขาอยู่” เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก เว่ยเจินเข็นเธอไปที่ห้องฉุกเฉินแล้วใช้กรรไกรตัดกางเกงของเธอออก ผ้าพันแผลถูกย้อมเป็นสีแดงทั้งหมด “อันอัน ทำไมเธอไม่ดูแลแผลเลย ปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ยังไง?” เว่ยเจินขมวดคิ
ทนายความเห็นท่าทางมั่นใจของเซิ่งเป่ยแล้วพูดว่า “หลังจากที่แม่ของคุณฟู่เสียชีวิต เขาก็ขอให้ผมแก้ไขครับ” เซิ่งเป่ย “หา?” ทนายความ “ผมไม่ดื่มเหล้าและไม่กินข้าว หากมีความคืบหน้าเรื่องอาการของคุณฟู่ กรุณาแจ้งให้ผมทราบโดยเร็วที่สุดนะครับ” เซิ่งเป่ย “ครับ ผมจะไปส่งคุณ” หลังจากที่เซิ่งเป่ยส่งทนายออกไปแล้ว เขาก็ดูนาฬิกา เวลาผ่านไปไว้มาก จู่ ๆก็หนึ่งทุ่มแล้ว ฉินอันอันตื่นขึ้นมาหลังจากนอนหลับสนิท และรู้สึกสับสนในใจ “ฉินอันอัน ถึงบ้านแล้ว!” ไมค์เห็นเธอลืมตาขึ้นแล้วพูด “ฉันเพิ่งมาจากโรงพยาบาล ฟู่สือถิงยังไม่ตาย เขาถูกย้ายเข้าห้องไอซียู สื่อพวกนั้นต้องพอได้แล้ว! เขายังไม่ตาย กลับเขียนข่าวว่าเขาตายแล้ว!” ไมค์ช่วยพยุงฉินอันอันลุกขึ้น จู่ ๆ ฉินอันอันก็ตื่นตัว “นี่กี่โมงแล้ว?” ไมค์ช่วยพยุงเธอขึ้นนั่งบนรถเข็น “จะแปดโมงแล้ว เธอหิวเหรอ?” ฉินอันอันพยักหน้า เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาเธอกินข้าวไม่อิ่มเลยสักมื้อ สิ่งที่เธอต้องการตอนนี้คือได้กินอาหารดี ๆ อาบน้ำ แล้วก็นอนหลับฝันดี เธอยังรู้สึกเวียนหัว นอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว และอยากชดเชยให้หมดในคราวเดียว “ที่บ้านมีกับข้าว เรากลับไปกิ
เซิ่งเป่ยยืนเล่าสถานการณ์ให้เขาฟังอยู่ข้างเตียง หลังจากได้ยิน ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง ‘ก็จริง’ ‘เขากล้าตาย ยังมีอะไรที่เขายังปล่อยวางไม่ได้อีก?’ ‘ถ้าเขาตาย ก็มีคนมาช่วยเธอดูแลอิ๋นอิ๋นอยู่แล้ว’ หลังจากนั้นไม่นาน หมอก็เข้ามาตรวจร่างกายแล้วพูดว่า “คุณฟู่ ร่างกายของคุณอ่อนแอมาก คุณต้องเข้าอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาล ช่วงนี้หากคุณรู้สึกไม่สบาย คุณสามารถบอกผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ” ฟู่สือถิงหลับตาลง เซิ่งเป่ยเรียกหมอออกไปคุยข้างนอก “เขาพ้นขีดอันตรายแล้วใช่ไหมครับ?” เซิ่งเป่ยถาม หมอ “ถ้าเขาให้ความร่วมมือในการรักษาก็ไม่น่าจะมีอะไร แต่สภาพจิตใจของเขาไม่แข็งแรงซึ่งเป็นอันตรายต่อการฟื้นตัวของเขา” เซิ่งเป่ยเม้มริมฝีปากแล้วพยักหน้า “ผมจะลองหาทางดูครับ” กว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมา เซิ่งเป่ยพาอิ๋นอิ๋นไปโรงพยาบาล “อิ๋นอิ๋น พี่ของเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส เธอไปปลอบเขาหน่อย ตกลงไหม?” อิ๋นอิ๋นกระพริบตาและขมวดคิ้ว “ทำไมเขาถึงได้รับบาดเจ็บคะ?” “...มันเป็นอาการบาดเจ็บทางจิตใจ!” “บาดเจ็บทางจิตใจคืออะไรคะ?” “ก็คือ...เขาทะเลาะกับฉินอันอันอย่างรุนแรง” เซิ่งเป่ยบอกเธอด้วยอุปมาที่เข้าใจง่าย “ผลก
หลีเสี่ยวเถียนกลัวว่าเธอจะเข้าใจตัวเองผิดจึงรีบพูดเสริม “อันอัน เขาไม่มาก็เรื่องของเขา เธอไม่มาไม่ได้นะ! เธอคือเพื่อนรักของฉัน ถ้าเธอไม่มา ฉันก็ไม่อยากแต่งแล้ว” ฉินอันนัน “ฉันต้องไปอยู่แล้ว หลีเสี่ยวเถียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดีเลย! ฉันได้ยินมาว่าเธอได้รับบาดเจ็บที่ขา ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? ฉันอยากโทรหาเธอตั้งนานแล้ว… ก่อนหน้านี้ฟู่สือถิงไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ ฉันก็กลัวว่าเธอจะอารมณ์ไม่ดีก็เลยไม่ได้โทรหา” “ขาของฉันดีขึ้นแล้ว” “งั้นดีเลย พรุ่งนี้เราไปชอปปิ้งกัน!” “มันยังไม่ได้ดีขนาดนั้น” ฉินอันอันเหลือบมองแผลที่ขาของตัวเอง ผ้ากอซถูกถอดออก เผยให้เห็นบาดแผลตกสะเก็ดแต่ยังเหลือร่องรอบน่ากลัว โชคดีที่ก่อนหน้านี้ซื้อกระโปรงยาวมา จึงสามารถปกปิดแผลได้ “แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ เธอไม่ต้องกังวล ฉันจะไม่ถามเธอเรื่องฟู่สือถิงอีก” หลีเสี่ยวเถียนให้สัญญาก่อน “อืม” เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนที่เด็ก ๆ จะไปโรงเรียนอนุบาล หลีเสี่ยวเถียนก็มา เธอไม่เพียงแต่จะเอาผลไม้ ขนม ของเล่น และเสื้อผ้าใหม่มาเท่านั้น แต่เธอยังหิ้วอาหารเช้าถุงใหญ่ติดมือมาอีกด้วย ฉินอันอันรู้สึกประหลาดใจ “เสี่ยวเถียน ไม่ขนาด
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง