“ความหมายของฉันก็คือ ถ้าคุณหาเงินได้ไม่มาก ทำไมถึงยังซื้อกระโปรงและรองเท้าส้นสูงราคาแพงขนาดนี้ให้ฉันล่ะ?” ฉินอันอันเปลี่ยนมาให้รองเท้าแตะ แล้วก็เดินไปอยู่ด้านหน้าเขาแล้วพูดเสริมอีกว่า “ฉันโตมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยใส่ชุดกระโปรงและรองเท้าแพงขนาดนี้เลย” ฟู่ซื่อถิงพูด “น่าสงสารจริง”หลังจากฟู่ซื่อถิงพ่นสี่คำนี้ออกมา เขาก็เข้าไปในลิฟต์เธอมองประตูลิฟต์ปิดลงอย่างนิ่งงันที่จริงเธอยังมีอะไรที่จะพูดมากกว่านี้อีกที่เธออยากจะพูดก็คือเรื่องที่เขาถลุงเงินเป็นเบี้ย ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยเกินกว่าเหตุเมื่อกลับมาถึงห้อง เธอถอดชุดกระโปรงโอตกูตูร์บนตัวออก เข้าไปในห้องน้ำแล้วเปิดฝักบัว น้ำอุ่นไหลอาบตั้งแต่ศรีษะลงมาประสาทสัมผัสทั้งหมดค่อย ๆ เฉื่อยชาและพร่าเลือนวันรุ่งขึ้นฉินอันอันมาถึงฉินกรุ๊ปแต่เช้า พอสิบโมงเช้า ห้องประชุมก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน “สวัสดี ท่านผู้อาวุโสและทุก ๆ ท่าน ฉันคือฉินอันอัน ที่ฉันเรียกประชุมทุกท่านในวันนี้ ก็เพราะเมื่อคืนนี้ฉันถูกลักพาตัวค่ะ” สายตาของฉินอันอันกวาดตามองใบหน้าของทุกคนจนทั่ว “เป็นไปไม่ได้! อันอัน คุณไม่เป็นใช่ไหม?!” มีคนพูดด้วยความประหลาดใจ “ฉันไม่เป็
ฉินอันอันตอบ “อืม ฉันคิดว่าการที่เราอยากพัฒนาระบบรถยนต์ไร้คนขับให้สำเร็จ คงเป็นแค่เรื่องในจินตนาการเท่านั้น ระบบคอมพิวเตอร์ขั้นสูงจะทำได้ดีกว่าสมองของมนุษย์งั้นเหรอ? ตัวฉันเองก็ยังกังขาในโครงการนี้เลย ไม่ต้องพูดถึงนักลงทุนหรอก?” “อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไปสิ มีเศรษฐีตั้งเยอะที่ลงทุนในโครงการโดยที่ไม่ได้คำถึงถึงความเป็นไปได้แต่ลงทุนเพื่อสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ด้วย คืนนี้มีปาร์ตี้ คนที่ไปล้วนแต่เป็นทายาทตระกูลเศรษฐี เธอไปกับฉันไหม? เราอาจจะได้เจอคนที่ยินดีมอบเงินลงทุนใก้เธอก็ได้นะ?” ฉินอันอันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ช่างมันเถอะ! ทายาทตระกูลเศรษฐีรุ่นที่สองไม่มีประโยชน์อะไร ต้องรุ่นที่หนึ่งสิถึงทำได้” “คนพวกนั้นก็จะมาด้วยเหมือนกัน เธอไปลองเสี่ยงโชคดูเถอะน่า!” หลีเสี่ยวเถียนพูดพร้อมกับสารภาพ “ที่จริงฉันเองก็ไม่อยากไปหรอก พ่อของฉันต่างหากที่บังคับให้ฉันไป เขาจัดคู่นัดบอดไว้ให้ฉัน คืนนี้เธอไปเป็นเพื่อนฉันเถอะนะ ตกลงไหม?” ฉินอันอันไม่อาจขัดใจเธอได้ “ก็ได้” ช่วงหัวค่ำ เวลาหนึ่งทุ่ม หลีเสี่ยวเถียนขับรถพาฉินอันอันไปยังโรงแรมระดับห้าดาวที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในเมืองนี้ “อันอัน เ
สิบนาทีต่อมา เสียงโทรศัพท์ของฉินอันอันก็ดังขึ้น หลังจากที่เธอรับสาย ก็ส่งข้อความถึงหลีเสี่ยวเถียน จากนั้นรีบไปที่ทางออก เฮ่อจุนจือมองแผ่นหลังของเธอที่กำลังรีบร้อนออกไปแล้วยิ้มออกมา ฉินอันอันไปเอาความกล้ามาจากไหน? ถึงได้กล้าออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกลับหลังฟู่ซื่อถิง ฟู่ซื่อถิงดูแลเธอไม่ดีงั้นเหรอ? ข้างนอกนี่ยังมีผู้ชายคนไหนเทียบกับฟู่ซื่อถิงได้อีก? ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่า สมองของผู้หญิงคนนี้มีอะไรอยู่ข้างในหลีเสี่ยวเถียนขมวดคิ้วแล้วตอบข้อความกลับไปว่า : เธอมีธุระด่วนเหรอ? ด่วนขนาดนี้เลยเหรอ? ฉินอันอัน : ด่วนสุด ๆ เลย เจอกันครั้งหน้าค่อยว่ากัน! คนที่โทรหาฉินอันอันคือบอดี้การ์ดคนสนิทของฟู่ซื่อถิง บอดี้การ์ดขอให้เธอมารออยู่ที่หน้าประตูโรงแรม ถ้าเธอไม่เชื่อฟัง เขาจะหักขาเธอ ฉินอันอันยังคงยังคงฝังใจกับบอดี้การ์ดของฟู่ซื่อถิงอยู่ บอดี้การ์ดของเขาเหี้ยมโหดมาก ถึงแม้จะรู้ว่านี่เป็นสิทธิพิเศษที่เขามอบให้ แต่เธอก็ยังกลัวอยู่ดี หลังออกมาจากโรงแรม เธอรอไม่ถึงสิบห้านาที รถเบนท์ลีย์สีดำก็มาจอดตรงหน้าแล้วหน้าต่างรถถูกเลื่อนลง ก่อนใบหน้าที่ถมึงทึงของบอดี้การ์ดก็ปรากฏขึ้น
บางทีอาจเป็นเพราะว่าในชีวิตของฟู่ซื่อถิงเขาไม่ได้ชอบใครหลายคนมากนัก ดังนั้นพอเขาปฏิบัติกับใครด้วยความเป็นมนุษย์นิด ๆ หน่อย ๆ คนรอบข้างก็พากันนึกว่าเขาชอบคน ๆ นี้แต่ความรักที่เธอปรารถนาคือการเคารพซึ่งกันและกัน แทนที่จะเป็นการบังคับอีกฝ่ายอย่างเผด็จการ หลังจากรถขับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฟู่แล้ว บอดี้การ์ดเดินไปอยู่ตรงหน้าฟู่ซื่อถิงก่อน อาจเพราะกลัวเขาโกรธ ดังนั้นบอดี้การ์ดจึงอธิบายให้เขาฟังว่า “คุณหนูฉินเพิ่งจะบอกกับผมบนรถว่า คำพูดที่เธอพูดเมื่อคืนทั้งหมด ก็เพื่อทดสอบการทำงานของเครื่องจับเท็จครับ” ฉินอันอันเปลี่ยนรองเท้าที่ประตูอย่างไม่รีบร้อน แล้วถือโอกาสเงี่ยหูแอบฟังอย่างไม่ปิดบัง“เธอยังบอกด้วยว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะยั่วให้คุณโกรธไปดสียทุกครั้ง” บอดี้การ์ดพูดต่อ ฟู่ซื่อถิง “เธอไม่มีปากรึไง? ถึงต้องให้นายมาพูดแทน?” บอดี้การ์ดถอยออกไปด้วยความโกรธทันที และไม่ลืมส่งสายตาเตือนเธออย่างดุ ๆดูเหมือนเขากำลังพูดว่า ‘ถ้าคุณไม่ง้อเจ้านายของผม ผมก็จะบังคับให้คุณทำมันอยู่ดี!’ ฉินอันอันเดินไปหาฟู่ซื่อถิงอย่างช้า ๆ หลังจากเดินไปถึงโซฟาตรงหน้าเขา เธอก็นั่งลง รวบรวมความกล้าเตรียมเอ่ยปากพูด
ฉินอันอันคิดว่า ถ้าผู้หญิงคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ตัวเองคงเป็นเมียน้อยแล้วใช่ไหม? และหากผู้หญิงคนนั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้ว จะเท่ากับว่าเธอเป็นแค่ตัวแทนของผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง ก็ล้วนแต่เจ็บปวดไม่น้อยระหว่างที่จิตใจของฉินอันอันกำลังสับสนอยู่นั้นเอง ความคิดของฟู่ซื่อถิงก็ล่องลอยไปที่อื่นเช่นกัน “ฉินอันอัน บอกผมหน่อยสิว่าคุณชอบฟู่เย่เฉินตรงไหน!” เขาควักกล่องบุหรี่ออกมาด้วยสีหน้าอ่านยาก “ฉันไม่ได้ชอบเขาแล้ว” เสียงฉินอันอันฟังดูอู้อี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเพิ่งจะพูดคุยกับเขา บางทีเธออาจจะใช้ฟู่เย่เฉินยั่วโมโหเขาต่อไปได้ ถึงแม้ว่าพฤติกรรมแบบนี้มันจะดูไม่รู้จักโตมากก็ตาม แต่ทุกครั้ง ฟู่ซื่อถิงมักจะอารมณ์เสียใส่เธอเพราะเรื่องขี้ปะติ๋วเสมอ ถ้าเธอไม่ทำอะไรเพื่อเป็นการตอบโต้บ้าง เธอคงจะอัดอั้นตายไปเสียก่อน“พอคุณมองออกว่าเขาเป็นพวกขี้แพ้ ก็เลยเลิกชอบงั้นเหรอ?” เขาคีบบุหรี่ไว้ที่ระหว่างนิ้ว ไม่ได้จุดมัน “ในสายตาของคุณ นอกจากเงิน ก็ไม่มีเรื่องอื่นแล้วเหรอ?” ฉินอันอันถามเขา “ตอนแรก ที่ฟู่เย่เฉินตามจีบฉัน เขาเขียนบทกวีรักส่งให้ฉันทุกวัน ทุกสุดสัปดาห์เ
นิทรรศการศิลปะ? คอนเสิร์ต? เขาถูกอะไรกระตุ้นมากันแน่? ฟู่ซื่อถิง “เลือกแบบที่ผู้หญิงอายุยี่สิบต้น ๆ ชอบก็แล้วกัน” โจวจื่ออี้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว “ได้ครับประธานฟู่ ไว้ผมจองตั๋วเรียบร้อยแล้วจะส่งข้อมูลให้คุณครับ” ในเช้าวันรุ่งขึ้น ที่เอสทีกรุ๊ป วันนี้ฟู่ซื่อถิงมีธุระ จึงไม่ได้เข้าบริษัท ดังนั้นเซิ่งเป่ยและโจวจื่ออี้จึงเริ่มนินทาเขาที่บริษัทอย่างมีความสุข “ประธานฟู่เกือบพูดออกมาตรง ๆ แล้วว่าจะพาฉินอันอันไปดูนิทรรศการศิลปะหรือไม่ก็คอนเสิร์ต” โจวจื่ออี้ยิ้มและพูดว่า “ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองคน คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์จะคืบหน้าเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ฉันยังกังวลว่าพวกเขาจะหย่ากันอยู่เลย!” เซิ่งเป่ยวิเคราะห์ด้วยท่าทีสบาย ๆ “เป็นได้ว่าพวกเขานอนด้วยกันแล้ว ฟู่ซื่อถิงที่จิตใจค่อนข้างแข็งกระด้าง แต่พอเขาได้ลองลิ้มรสฉินอันอัน ถึงแม้ในใจเขาจะเกลียดเธอแทบตาย แต่ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้” โจวจื่ออี้ “ถ้าถังเฉียนรู้เรื่องนี้เข้า เธอต้องอาละวาดแน่” “อย่าบอกถังเฉียนเด็ดขาด หลายวันมานี้เธอดื่มจนเมามายทุกคืน เพราะคิดว่าฟู่ซื่อถิงจะสงสารเธอ” เซิ่งเป่ยถอนหายใจ “ค
เกิดเสียงดังโครมคราม ตอนที่บอดี้การ์ดดึงฉินอันอันออกมา คนในห้องทำงานจึงเงยหน้ามองมาที่ประตูเมื่อฟู่ซื่อถิงเห็นร่างเพรียวบางของฉินอันอัน เขาก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ “ฉินอันอัน คุณมาทำอะไรที่นี่?” ฉินอันอันสะบัดแขนบอดี้การ์ดออกทันที หลังจากจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้ว ก็เดินเข้าไปในห้อง“ฉันมาหาศาสตราจารย์หู” เธอเดินมาที่ด้านหน้าฟู่ซื่อถิง มองเขาด้วยใบหน้าสงสัย “คุณเองก็มาหาศาสตราจารย์หูเหมือนกันเหรอ?” ศาสตราจารย์หูชิงมองไปที่พวกเขาสองคนแล้วดันแว่นตาบนจมูก “พวกคุณสองคนสนิทกันเหรอ?” ฉินอันอันอยากจะพูดว่า “ไม่สนิท” แต่ฟูซื่อถิงกลีบเอ่ยปากเสียก่อน “ศาสตราจารย์หูครับ ธุระของผม โปรดเก็บไว้เป็นความลับด้วยนะครับ” ศาสตราจารย์หู “วางใจได้ ก่อนเป็นแพทย์ต้องเรียนรู้ที่จะมีจรรยาบรรณเสียก่อน” ฟู่ซื่อถิงตอบกลับ “ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับ” ศาสตราจารย์หูชิงพยักหน้า ฟู่ซื่อถิงก้าวมาด้านหน้าด้วยขายาว ๆ ของเขา ตอนที่เขาเดินผ่านฉินอันอัน เขาก้เหลือบมองเธอโดยไม่พูดอะไร เธอรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ทำไมเขาไม่ตอบคำถามของเธอ? อีกอย่าง คำพูดที่เขาพูดกับศาสตราจารย์หูชิงนั้นก็ทำให้เรื่องยิ่งดูลึกล
ฉินอันอันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “หาคนมาดามใจอะไรล่ะ…ฉันถูกบังคับต่างหาก ก่อนหน้านี้ครอบครัวฉันขาดแคลนเงินทุน แม่เลี้ยงของฉันก็เลยให้ฉันแต่งงานเพื่อเงินสินสอด แถมตอนนี้ก็ยังไม่ได้หย่าเลย!” หลีเสี่ยวเถียน “บ้าจรง! แม่เลี้ยงของเธอยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า? อันอัน! ทำไมก่อนหน้านี้เธอไม่บอกฉัน! พวกเราไปแจ้งตำรวจกันเถิะ!” ฉินอันอันรั้งเธอเอาไว้ “เรื่องไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เธอคิดหรอก ฉันกับเขาต่างกันมาก เราหย่ากันได้ทุกเมื่อ” หลีเสี่ยวเถียนยังคงตื่นเต้นไม่หาย “เธอแอบบอกฉันได้ไหมว่าเขาเป็นใคร? สามีของเธอน่ะ…สามีของเธอเนี่ยนะ! ทำไมฉันถึงรู้สึกอึดอัดขนาดนี้!” “มันก็ค่อนข้างอึดอัดจริง ๆ นั่นแหละ รอฉันหย่ากับเขาแล้วฉันจะบอกเธอว่าเขาเป็นใครก็แล้วกัน” “ไม่ได้! เธอบอกฉันมาตอนนี้เลย! ฉันจะช่วยเธอออกหน้าเอง!” ฉินอันอันรู้จักความอารมณ์ร้อนของหลีเสี่ยวเถียนดี ถ้าบอกเธอ เธอจะต้องไปหาฟู่ซื่อถิงแน่นอน เดิมทีความสัมพันธ์ของเธอกับฟู่ซื่อถิงก็ไม่ราบรื่นอยู่แล้ว นี่จะไม่ทำให้เรื่องแย่ลงใช่ไหม? “เถียนเถียน เธอช่วยฉันตรวจสอบดูว่าเฮ่อจุนจือคือใครก่อนเถอะ! ถึงตอนนั้นฉันบอกเธอแน่ว่าสามีของฉันคือใคร” ฉิ