บนโต๊ะมีการ์ดเชิญใบสวยวางอยู่หนึ่งใบ เธอเปิดการ์ดออกดู มันคือจดหมายเชิญจากการประชุมผู้นำระดับสูง ไมค์ผลักประตูแล้วเข้ามา เมื่อเห็นเธอถือการ์ดเชิญจึงอธิบายว่า “ถ้าเธอไม่อยากไป...” “ฉันจะไป” เธอพูดพลางเปิดกระเป๋า หยิบลิปสติกจากด้านในและเริ่มแต่งหน้า ไมค์ถอนหายใจ “เธอถูกยั่วยุแล้ว! นี่คือลิปสติกแท่งใหม่ที่เธอเพิ่งซื้อมาหรือเปล่า? สีสวยดี! เธอเคยเป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าว่าแต่หวังหว่านจือคนเดียวเลย ต่อให้หวังหว่านจือสิบคน ก็สู้เธอไม่ได้” ฉินอันอันแต่งหน้าเสร็จก็ใส่ลิปสติกและแป้งตลับกลับลงกระเป๋าไป แล้วมองเขาด้วยดวงตาเรียว “นายอยากไปกับฉันไหม?” “แน่นอน ฉันจะเป็นคนขับรถให้เธอเอง” ที่ด้านหน้างานการประชุมผู้นำประดับสูง หัวกะทิจากทุกสาขาอาชีพมารวมตัวกัน หลังจากที่ฉินอันอันมาถึงหน้างาน เธอก็ถูกคนที่รับผิดชอบเชิญไปหลังเวทีทันที “คุณฉิน ผมอยากให้คุณขึ้นไปพูดบนเวที ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที คุณต้องเตรียมคำพูดของคุณไว้ก่อนนะครับ” ฉินอันอันพยักหน้า แต่กลับพบว่าไมค์หายไป เธอไม่ได้เตรียมคำพูดไว้ล่วงหน้า และตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะเตรียมตัว ดังนั้นเ
งานประชุมผู้นำระดับสูง หลังจากทะเลาะกันเกือบยี่สิบนาทีไมค์และโจวจื่ออี้ก็รู้สึกเหนื่อย “คุณมันงี่เง่า!” โจวจื่อี้ดันแว่นตาที่ดั้งจมูกของเขาขึ้นแล้วกล่าวเสริม ไมค์หัวเราะเยาะอย่างเย็นชา “ทุกครั้งที่คุณพูดถึงเจ้านายของคุณ คุณจะเสียสติ คุณควรไตร่ตรองให้ดีนะ! เจ้านายของคุณไม่ใช่พ่อผู้ให้กำเนิดคุณเสียหน่อย แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าคุณเข้าใจเขาล่ะ?” “คนที่ควรไตร่ตรองให้ดีคือคุณต่างหากล่ะ! คุณสนใจด้วยเหรอว่าเจ้านายของผมจะลงทุนกับใคร? แม้ว่าเขาจะลงทุนกับหวังหว่านจือจริง ๆ นั่นก็หมายความว่าหวังหว่านจือมีมูลค่าด้านการค้าเท่านั้น! ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชื่นชมตัวตนของหวังหว่านจือเสียหน่อย!” โจวจื่ออี้โต้กลับ “ทีหลังอย่าเรียกผมมาดื่มอีกนะ! เพราะคุณกับหวังหว่านจือลงเรือลำเดียวกันแล้ว งั้นต่อไปก็ไม่ต้องติดต่อกันอีก! ผมเป็นคนของฉินอันอัน!” ไมค์ขีดเส้นแบ่งที่ชัดเจนกับเขา สีหน้าของโจวจื่ออี้เปลี่ยนเป็นสีแดง “ไม่ติดต่อก็อย่าได้ติดต่อกัน ตามนั้น! ใครอยากติดต่อกับคุณนักล่ะ?!” หลังจากที่ทั้งสองทะเลาะกัน พวกเขาก็ต่างออกไปตามหาเจ้านายของตัวเอง สิบนาทีต่อมา ไมค์หาฉินอันอันไม่เจอ เขาจึงไปหาโจวจื่ออ
เธอเม้มริมฝีปากแดงแล้วก้าวไปที่ประตู “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะลงทุนเงินกับหวังหว่านจือหรือเปล่า” เมื่อเธอเดินไปที่ประตู เสียงเกียจคร้านของเขาก็ดังขึ้น “ผมให้เสิ่นอวี๋ไปสองพันล้าน” ‘สองพันล้าน?’ ‘เขาให้เสิ่นอวี๋ไปสองพันล้านเลยเหรอ?’ เธอเกือบจะโพล่งออกมา “ไม่ใช่พันล้านเหรอ?” เขาหัวเราะเบา ๆ “ที่แท้คุณก็แอบสนใจเรื่องเธอกับผม ก่อนหน้านี้ผมให้เธอหนึ่งพันล้านและให้อีกหนึ่งพันล้านเมื่อวันก่อน เพราะเธอทำการผ่าตัดอิ๋นอิ๋นสองครั้ง ครั้งละหนึ่งพันล้านไง” ฉินอันอันกำหมัดแน่น! เนื่องจากการผ่าตัดทั้งสองครั้งนี้ เสิ่นอวี๋จึงได้รับเงินค่าตอบแทนจำนวนสองพันล้านบาทจากฟู่สือถิง! หลังจากที่เสิ่นอวี๋ได้รับเงินสองพันล้าน ก็ยกเงินทั้งหมดให้หวังหว่านจือ! ‘ดูถูกกันเกินไปแล้ว!’ เรื่องน่าขันที่สุดที่เธอเคยเจอมา ยังไม่ไร้สาระเท่าเรื่องนี้เลย! เพราะการผ่าตัดทั้งสองครั้งล้วนเป็นฝีมือของเธอ! กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอยกเงินให้หวังหว่านจือสองพันล้าน! หึหึ! เธออยากให้หวังหว่านจือตาย! จะให้เงินหวังหว่านจือได้ยังไง?! ฟู่สือถิงเห็นว่าร่างกายของเธอแข็งทื่อและดูเหมือนจะสั่นเล็กน้อย เขารีบแต่งตัวแล้
“แม่คะ เป็นเพราะหนูกลัวเจ็บ พี่พยาบาลเลยให้พี่เป็นตัวอย่างให้หนู” รุ่ยลาอธิบายเหตุผล “พี่ทำเพื่อหนู ให้หนูได้เจาะเลือด เขารักหนูมากเลยค่ะ” หลังจากได้ยินเหตุผลแล้ว ฉินอันอันก็ถอนหายใจ “ลูกสองคนทั้งน่ารักและมีเหตุผล แม่รักลูก ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เลย!” “แม่คะ พวกเราก็รักแม่เหมือนกันนะคะ!” ดวงตาสีดำราวกับระฆังของรุ่ยลาเต็มไปด้วยความสุข บอดี้การ์ดยืนอยู่ข้าง ๆ พลางเกาหัว “คุณฉินให้ผมไปทำอาหารไหมครับ?” ฉินอันอัน “จะเป็นการรบกวนคุณเกินไปหรือเปล่าคะ?” บอดี้การ์ดส่ายหน้า “ไม่รบกวนเลยครับ” พูดจบ บอดี้การ์ดก็เข้าไปในครัว “แม่คะ ลุงบอดี้การ์ดทำอาหารอร่อยมากเลยนะคะ! เขาบอกว่าคืนนี้จะทำปีกไก่โค้กให้เรากิน” รุ่ยลาจับมือฉินอันอันแล้วพึมพำ “ทำไมลุงไมค์ไม่กลับมาด้วยล่ะคะ?” เธอขมวดคิ้ว “เขามีธุระ เราจึงไม่ได้กลับมาด้วยกัน” หลังจากที่ฟู่สือถิงปิดโทรศัพท์ของเธอ เธอก็ไม่ได้เปิดเครื่องเลย เมื่อบ่ายวันนี้ไมค์หาเธอไม่เจอ เขาคงเป็นกังวลมาก! เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าทันทีแล้วเปิดเครื่อง เมื่อเห็นสายที่ไม่ได้รับของไมค์ เธอก็โทรกลับ ไมค์รับโทรศัพท์ทันที “ฉินอันอัน! ต่อไปถ้าเธอถูก
เสิ่นอวี๋ออกมาจากคฤหาสน์ของฟู่สือถิงและเดินกลับไปที่บ้านเดิมของตระกูลฟู่ แม่เฒ่าฟู่เข้านอนเร็วทุกคืน ฟู่ฮั่นและภรรยาของเขามักจะเที่ยวนอกบ้านจนดึกดื่นถึงจะกลับบ้าน ส่วนฟู่เย่เฉินก็อยู่บ้านทั้งวันทั้งคืน ทุกวันนี้บ้านเดิมจึงสงบสุขมาก หลังจากที่เสิ่นอวี๋กลับมาที่ห้อง เธอก็ส่งข้อความถึงฟู่เย่เฉินทันที เมื่อฟู่เย่เฉินได้รับข้อความ เขาจึงรีบไปที่ห้องของเสิ่นอวี๋ทันที “เสินอวี๋ ลูกของเราไม่อยู่แล้ว คุณตามหาผมทำไม?” ฟู่เย่เฉินยืนอยู่ที่ประตูและพูดด้วยสีหน้าเย็นชา เขารู้สึกเจ็บปวดใจเรื่องเด็กที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ ถ้าเขาไม่ต้องการ มันก็ไม่สำคัญสำหรับเขา แต่เขาต้องการเด็กคนนั้น “คุณคิดว่าฉันไม่ต้องการลูกของตัวเองเหรอ? นั่นคือเลือดเนื้อเชื้อไขของฉันเหมือนกัน! แต่ฉันเก็บไว้ไม่ได้! ถ้าเด็กคนนั้นคลอดออกมามันจะไม่เป็นผลดีกับเราทั้งคู่!” เสิ่นอวี๋ดึงเขาเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู ฟู่เย่เฉินตื่นตัวมากขึ้น “คุณต้องการให้ผมทำอะไรอีก?” เสิ่นอวี๋ “ฉันกำลังจะย้ายออก คืนนี้ฉันจะมาบอกลาคุณ” “หืม? อย่าทำเหมือนเราจะไม่ได้เจอกันอีกเลย… คุณสัญญาว่าจะรักษาอิ๋นอิ๋นต่อไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างคุณก็ร
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ฟู่สือถิงได้รับโทรศัพท์จากฟู่ฮั่นพี่ชายคนโตของเขา “สือถิง! รีบมาโรงพยาบาลเร็วเข้า! แม่หกล้มที่บ้าน ตอนนี้อาการไม่ดีเลย!” นิ้วของฟู่สือถิงที่จับโทรศัพท์บีบแน่นขึ้นทันที เขาเดินออกจากออฟฟิศแล้วมุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ โจวจื่ออี้เห็นเขามีสีหน้าเคร่งเครียด ในใจพลันเกิดเสียงสัญญาณเตือน ‘เกิดอะไรขึ้น?’ “ประธานต้องการเลื่อนประชุมที่กำลังจะมาถึงหรือไม่ครับ?” “ให้รองประธานไปแทน ส่งรายงานการประชุมหลังประชุมเสร็จให้ฉัน” ฟู่สือถิงพูดด้วยเสียงราบเรียบก่อนจะเข้าไปในลิฟต์เฉพาะของประธาน ประตูลิฟต์ค่อย ๆ ปิด! โจวจื่ออี้รู้สึกไม่สบายใจ ปกติฟู่สือถิงไม่ค่อยแสดงความกังวลใจแบบนี้ในบริษัท ที่โรงพยาบาล แม่เฒ่าฟู่ฟู่ถูกเข็ญเข้าห้องฉุกเฉิน เมื่อฟู่สือถิงมาถึง ประตูห้องฉุกเฉินก็ยังคงปิดอยู่ “เกิดอะไรขึ้น?” เขามองฟู่ฮั่นด้วยสีหน้าดุร้าย “ตอนนั้นฉันไม่อยู่บ้าน...เย่เฉินบอกว่าเขาได้ยินแม่ของเรากรีดร้อง เขาจึงรีบวิ่งออกจากห้องไปดู เห็นแม่ของเรากลิ้งลงมาที่หน้าบันได…” ฟู่สือถิงขมวดคิ้วแน่นขึ้น “เธอตกลงมาจากชั้นสองเหรอ? เธอขึ้นไปทำอะไรบนชั้นสอง?!” แม่เฒ่าฟู่แก่แล้ว ขาและเ
“ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้แม่ไม่ต้องมาเจอผมกับอิ๋นอิ๋นอีก… เราทำให้แม่ต้องทนทุกข์ทรมาน” ยังไม่มีการตอบสนอง ที่แท้เมื่อคน ๆ หนึ่งตายไป ก็ไม่เหลืออะไรแล้วจริง ๆ ความกังวล ความโกรธ ผิดหวัง ปล่อยวางไม่ได้ล้วนหยุดอยู่ที่หัวใจ จะไม่มีใครคอยบังคับให้เขาแต่งงานมีลูก จะไม่มีใครคอยกังวลว่าเขาจะมีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอหรือไม่ หรือเขาจะเหนื่อยจากการทำงานหรือไม่ ครู่หนึ่ง ฟู่เย่เฉินรีบไปโรงพยาบาล เมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของคุณย่า จู่ ๆ เขาก็ทรุดตัวลงและร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า! “ทำไมคุณย่าถึงจากไปแบบนี้? เมื่อวานเธอเพิ่งบอกให้ผมหาแฟน…” ฟู่เย่เฉินร้องไห้พลางหยิบโทรศัพท์มือถือของคุณย่าออกมา “ผมถามพี่เลี้ยงของคุณย่าแล้ว พี่เลี้ยงก็บอกว่าเหมือนคุณย่าจะได้รับโทรศัพท์ก่อนจะล้มลง...ผมก็เลยเอามือถือของคุณย่ามาด้วย...” ดวงตาของฟู่สือถิงเป็นสีแดงเข้ม เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาเปิดโทรศัพท์และกดดูที่ประวัติการโทร จู่ ๆ คำที่คุ้นเคยสามคำก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ คอของเขาเหมือนถูกบีบรัด! ฉินอันอัน! สายสุดท้ายที่แม่โทรหาก่อนที่เธอจะล้มคือกับฉินอันอัน ‘ทำไมแม่ถึงคุยโทรศัพท์กับฉินอันอัน?
คำถามของเขาทำให้เธอต้องขมวดคิ้วทันที! ‘เขากำลังพูดเรื่องอะไร?’ ‘เขาถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับแม่ของเขา?’ ‘แปลกจริง!’ ‘คำถามนี้ เขาถามแม่ตัวเองไม่ได้เหรอ?’ ‘ที่แปลกไปกว่านั้นคือ...แม่เฒ่าฟู่บอกว่าจะบอกเขาเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ?’ ‘ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว ยังไม่ได้บอกเขาอีกเหรอ?’ เธอหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบแล้วพยายามให้สงบสติอารมณ์ “ทำไมคุณไม่ถามคำถามนี้กับแม่ของคุณเองล่ะ?” ขณะที่เธอพูดประโยคนั้น ในใจมีความสงสัยอยู่ในใจแล้ว มีบางอย่างที่ทำให้แม่เฒ่าฟู่ไม่สามารถบอกความจริงกับฟู่สือถิงได้ใช่ไหม “แม่ของผมเสียชีวิตแล้ว” เขาพูดพร้อมกับสูดหายใจอย่างแรง “สายล่าสุดที่แม่โทรหาก่อนที่เธอจะเสียชีวิตคือคุณ ดังนั้นผมจึงอยากรู้ว่าพวกคุณคุยอะไรกัน” แก้วน้ำในมือสั่น! หลังจากสับสนอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็รีบวางแก้วน้ำลงและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “แม่ของคุณเสียแล้วเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?” “ตอบคำถามผมสิ! คุณคุยอะไรกับแม่?!” เขาค่อย ๆ หมดความอดทน! เดิมทีเขาคิดว่าการตายของแม่เป็นอุบัติเหตุ แต่ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยแล้ว ‘แม่อาศัยอยู่ในบ้านเดิมมาเกือบตลอดชีวิต ทำไมจู่ ๆ เธอถึงล้ม?’ ‘เธอถูกยั่วยุก