บนโต๊ะมีการ์ดเชิญใบสวยวางอยู่หนึ่งใบ เธอเปิดการ์ดออกดู มันคือจดหมายเชิญจากการประชุมผู้นำระดับสูง ไมค์ผลักประตูแล้วเข้ามา เมื่อเห็นเธอถือการ์ดเชิญจึงอธิบายว่า “ถ้าเธอไม่อยากไป...” “ฉันจะไป” เธอพูดพลางเปิดกระเป๋า หยิบลิปสติกจากด้านในและเริ่มแต่งหน้า ไมค์ถอนหายใจ “เธอถูกยั่วยุแล้ว! นี่คือลิปสติกแท่งใหม่ที่เธอเพิ่งซื้อมาหรือเปล่า? สีสวยดี! เธอเคยเป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าว่าแต่หวังหว่านจือคนเดียวเลย ต่อให้หวังหว่านจือสิบคน ก็สู้เธอไม่ได้” ฉินอันอันแต่งหน้าเสร็จก็ใส่ลิปสติกและแป้งตลับกลับลงกระเป๋าไป แล้วมองเขาด้วยดวงตาเรียว “นายอยากไปกับฉันไหม?” “แน่นอน ฉันจะเป็นคนขับรถให้เธอเอง” ที่ด้านหน้างานการประชุมผู้นำประดับสูง หัวกะทิจากทุกสาขาอาชีพมารวมตัวกัน หลังจากที่ฉินอันอันมาถึงหน้างาน เธอก็ถูกคนที่รับผิดชอบเชิญไปหลังเวทีทันที “คุณฉิน ผมอยากให้คุณขึ้นไปพูดบนเวที ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที คุณต้องเตรียมคำพูดของคุณไว้ก่อนนะครับ” ฉินอันอันพยักหน้า แต่กลับพบว่าไมค์หายไป เธอไม่ได้เตรียมคำพูดไว้ล่วงหน้า และตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะเตรียมตัว ดังนั้นเ
งานประชุมผู้นำระดับสูง หลังจากทะเลาะกันเกือบยี่สิบนาทีไมค์และโจวจื่ออี้ก็รู้สึกเหนื่อย “คุณมันงี่เง่า!” โจวจื่อี้ดันแว่นตาที่ดั้งจมูกของเขาขึ้นแล้วกล่าวเสริม ไมค์หัวเราะเยาะอย่างเย็นชา “ทุกครั้งที่คุณพูดถึงเจ้านายของคุณ คุณจะเสียสติ คุณควรไตร่ตรองให้ดีนะ! เจ้านายของคุณไม่ใช่พ่อผู้ให้กำเนิดคุณเสียหน่อย แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าคุณเข้าใจเขาล่ะ?” “คนที่ควรไตร่ตรองให้ดีคือคุณต่างหากล่ะ! คุณสนใจด้วยเหรอว่าเจ้านายของผมจะลงทุนกับใคร? แม้ว่าเขาจะลงทุนกับหวังหว่านจือจริง ๆ นั่นก็หมายความว่าหวังหว่านจือมีมูลค่าด้านการค้าเท่านั้น! ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชื่นชมตัวตนของหวังหว่านจือเสียหน่อย!” โจวจื่ออี้โต้กลับ “ทีหลังอย่าเรียกผมมาดื่มอีกนะ! เพราะคุณกับหวังหว่านจือลงเรือลำเดียวกันแล้ว งั้นต่อไปก็ไม่ต้องติดต่อกันอีก! ผมเป็นคนของฉินอันอัน!” ไมค์ขีดเส้นแบ่งที่ชัดเจนกับเขา สีหน้าของโจวจื่ออี้เปลี่ยนเป็นสีแดง “ไม่ติดต่อก็อย่าได้ติดต่อกัน ตามนั้น! ใครอยากติดต่อกับคุณนักล่ะ?!” หลังจากที่ทั้งสองทะเลาะกัน พวกเขาก็ต่างออกไปตามหาเจ้านายของตัวเอง สิบนาทีต่อมา ไมค์หาฉินอันอันไม่เจอ เขาจึงไปหาโจวจื่ออ
เธอเม้มริมฝีปากแดงแล้วก้าวไปที่ประตู “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะลงทุนเงินกับหวังหว่านจือหรือเปล่า” เมื่อเธอเดินไปที่ประตู เสียงเกียจคร้านของเขาก็ดังขึ้น “ผมให้เสิ่นอวี๋ไปสองพันล้าน” ‘สองพันล้าน?’ ‘เขาให้เสิ่นอวี๋ไปสองพันล้านเลยเหรอ?’ เธอเกือบจะโพล่งออกมา “ไม่ใช่พันล้านเหรอ?” เขาหัวเราะเบา ๆ “ที่แท้คุณก็แอบสนใจเรื่องเธอกับผม ก่อนหน้านี้ผมให้เธอหนึ่งพันล้านและให้อีกหนึ่งพันล้านเมื่อวันก่อน เพราะเธอทำการผ่าตัดอิ๋นอิ๋นสองครั้ง ครั้งละหนึ่งพันล้านไง” ฉินอันอันกำหมัดแน่น! เนื่องจากการผ่าตัดทั้งสองครั้งนี้ เสิ่นอวี๋จึงได้รับเงินค่าตอบแทนจำนวนสองพันล้านบาทจากฟู่สือถิง! หลังจากที่เสิ่นอวี๋ได้รับเงินสองพันล้าน ก็ยกเงินทั้งหมดให้หวังหว่านจือ! ‘ดูถูกกันเกินไปแล้ว!’ เรื่องน่าขันที่สุดที่เธอเคยเจอมา ยังไม่ไร้สาระเท่าเรื่องนี้เลย! เพราะการผ่าตัดทั้งสองครั้งล้วนเป็นฝีมือของเธอ! กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอยกเงินให้หวังหว่านจือสองพันล้าน! หึหึ! เธออยากให้หวังหว่านจือตาย! จะให้เงินหวังหว่านจือได้ยังไง?! ฟู่สือถิงเห็นว่าร่างกายของเธอแข็งทื่อและดูเหมือนจะสั่นเล็กน้อย เขารีบแต่งตัวแล้
“แม่คะ เป็นเพราะหนูกลัวเจ็บ พี่พยาบาลเลยให้พี่เป็นตัวอย่างให้หนู” รุ่ยลาอธิบายเหตุผล “พี่ทำเพื่อหนู ให้หนูได้เจาะเลือด เขารักหนูมากเลยค่ะ” หลังจากได้ยินเหตุผลแล้ว ฉินอันอันก็ถอนหายใจ “ลูกสองคนทั้งน่ารักและมีเหตุผล แม่รักลูก ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เลย!” “แม่คะ พวกเราก็รักแม่เหมือนกันนะคะ!” ดวงตาสีดำราวกับระฆังของรุ่ยลาเต็มไปด้วยความสุข บอดี้การ์ดยืนอยู่ข้าง ๆ พลางเกาหัว “คุณฉินให้ผมไปทำอาหารไหมครับ?” ฉินอันอัน “จะเป็นการรบกวนคุณเกินไปหรือเปล่าคะ?” บอดี้การ์ดส่ายหน้า “ไม่รบกวนเลยครับ” พูดจบ บอดี้การ์ดก็เข้าไปในครัว “แม่คะ ลุงบอดี้การ์ดทำอาหารอร่อยมากเลยนะคะ! เขาบอกว่าคืนนี้จะทำปีกไก่โค้กให้เรากิน” รุ่ยลาจับมือฉินอันอันแล้วพึมพำ “ทำไมลุงไมค์ไม่กลับมาด้วยล่ะคะ?” เธอขมวดคิ้ว “เขามีธุระ เราจึงไม่ได้กลับมาด้วยกัน” หลังจากที่ฟู่สือถิงปิดโทรศัพท์ของเธอ เธอก็ไม่ได้เปิดเครื่องเลย เมื่อบ่ายวันนี้ไมค์หาเธอไม่เจอ เขาคงเป็นกังวลมาก! เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าทันทีแล้วเปิดเครื่อง เมื่อเห็นสายที่ไม่ได้รับของไมค์ เธอก็โทรกลับ ไมค์รับโทรศัพท์ทันที “ฉินอันอัน! ต่อไปถ้าเธอถูก
เสิ่นอวี๋ออกมาจากคฤหาสน์ของฟู่สือถิงและเดินกลับไปที่บ้านเดิมของตระกูลฟู่ แม่เฒ่าฟู่เข้านอนเร็วทุกคืน ฟู่ฮั่นและภรรยาของเขามักจะเที่ยวนอกบ้านจนดึกดื่นถึงจะกลับบ้าน ส่วนฟู่เย่เฉินก็อยู่บ้านทั้งวันทั้งคืน ทุกวันนี้บ้านเดิมจึงสงบสุขมาก หลังจากที่เสิ่นอวี๋กลับมาที่ห้อง เธอก็ส่งข้อความถึงฟู่เย่เฉินทันที เมื่อฟู่เย่เฉินได้รับข้อความ เขาจึงรีบไปที่ห้องของเสิ่นอวี๋ทันที “เสินอวี๋ ลูกของเราไม่อยู่แล้ว คุณตามหาผมทำไม?” ฟู่เย่เฉินยืนอยู่ที่ประตูและพูดด้วยสีหน้าเย็นชา เขารู้สึกเจ็บปวดใจเรื่องเด็กที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ ถ้าเขาไม่ต้องการ มันก็ไม่สำคัญสำหรับเขา แต่เขาต้องการเด็กคนนั้น “คุณคิดว่าฉันไม่ต้องการลูกของตัวเองเหรอ? นั่นคือเลือดเนื้อเชื้อไขของฉันเหมือนกัน! แต่ฉันเก็บไว้ไม่ได้! ถ้าเด็กคนนั้นคลอดออกมามันจะไม่เป็นผลดีกับเราทั้งคู่!” เสิ่นอวี๋ดึงเขาเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู ฟู่เย่เฉินตื่นตัวมากขึ้น “คุณต้องการให้ผมทำอะไรอีก?” เสิ่นอวี๋ “ฉันกำลังจะย้ายออก คืนนี้ฉันจะมาบอกลาคุณ” “หืม? อย่าทำเหมือนเราจะไม่ได้เจอกันอีกเลย… คุณสัญญาว่าจะรักษาอิ๋นอิ๋นต่อไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างคุณก็ร
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ฟู่สือถิงได้รับโทรศัพท์จากฟู่ฮั่นพี่ชายคนโตของเขา “สือถิง! รีบมาโรงพยาบาลเร็วเข้า! แม่หกล้มที่บ้าน ตอนนี้อาการไม่ดีเลย!” นิ้วของฟู่สือถิงที่จับโทรศัพท์บีบแน่นขึ้นทันที เขาเดินออกจากออฟฟิศแล้วมุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ โจวจื่ออี้เห็นเขามีสีหน้าเคร่งเครียด ในใจพลันเกิดเสียงสัญญาณเตือน ‘เกิดอะไรขึ้น?’ “ประธานต้องการเลื่อนประชุมที่กำลังจะมาถึงหรือไม่ครับ?” “ให้รองประธานไปแทน ส่งรายงานการประชุมหลังประชุมเสร็จให้ฉัน” ฟู่สือถิงพูดด้วยเสียงราบเรียบก่อนจะเข้าไปในลิฟต์เฉพาะของประธาน ประตูลิฟต์ค่อย ๆ ปิด! โจวจื่ออี้รู้สึกไม่สบายใจ ปกติฟู่สือถิงไม่ค่อยแสดงความกังวลใจแบบนี้ในบริษัท ที่โรงพยาบาล แม่เฒ่าฟู่ฟู่ถูกเข็ญเข้าห้องฉุกเฉิน เมื่อฟู่สือถิงมาถึง ประตูห้องฉุกเฉินก็ยังคงปิดอยู่ “เกิดอะไรขึ้น?” เขามองฟู่ฮั่นด้วยสีหน้าดุร้าย “ตอนนั้นฉันไม่อยู่บ้าน...เย่เฉินบอกว่าเขาได้ยินแม่ของเรากรีดร้อง เขาจึงรีบวิ่งออกจากห้องไปดู เห็นแม่ของเรากลิ้งลงมาที่หน้าบันได…” ฟู่สือถิงขมวดคิ้วแน่นขึ้น “เธอตกลงมาจากชั้นสองเหรอ? เธอขึ้นไปทำอะไรบนชั้นสอง?!” แม่เฒ่าฟู่แก่แล้ว ขาและเ
“ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้แม่ไม่ต้องมาเจอผมกับอิ๋นอิ๋นอีก… เราทำให้แม่ต้องทนทุกข์ทรมาน” ยังไม่มีการตอบสนอง ที่แท้เมื่อคน ๆ หนึ่งตายไป ก็ไม่เหลืออะไรแล้วจริง ๆ ความกังวล ความโกรธ ผิดหวัง ปล่อยวางไม่ได้ล้วนหยุดอยู่ที่หัวใจ จะไม่มีใครคอยบังคับให้เขาแต่งงานมีลูก จะไม่มีใครคอยกังวลว่าเขาจะมีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอหรือไม่ หรือเขาจะเหนื่อยจากการทำงานหรือไม่ ครู่หนึ่ง ฟู่เย่เฉินรีบไปโรงพยาบาล เมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของคุณย่า จู่ ๆ เขาก็ทรุดตัวลงและร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า! “ทำไมคุณย่าถึงจากไปแบบนี้? เมื่อวานเธอเพิ่งบอกให้ผมหาแฟน…” ฟู่เย่เฉินร้องไห้พลางหยิบโทรศัพท์มือถือของคุณย่าออกมา “ผมถามพี่เลี้ยงของคุณย่าแล้ว พี่เลี้ยงก็บอกว่าเหมือนคุณย่าจะได้รับโทรศัพท์ก่อนจะล้มลง...ผมก็เลยเอามือถือของคุณย่ามาด้วย...” ดวงตาของฟู่สือถิงเป็นสีแดงเข้ม เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาเปิดโทรศัพท์และกดดูที่ประวัติการโทร จู่ ๆ คำที่คุ้นเคยสามคำก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ คอของเขาเหมือนถูกบีบรัด! ฉินอันอัน! สายสุดท้ายที่แม่โทรหาก่อนที่เธอจะล้มคือกับฉินอันอัน ‘ทำไมแม่ถึงคุยโทรศัพท์กับฉินอันอัน?
คำถามของเขาทำให้เธอต้องขมวดคิ้วทันที! ‘เขากำลังพูดเรื่องอะไร?’ ‘เขาถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับแม่ของเขา?’ ‘แปลกจริง!’ ‘คำถามนี้ เขาถามแม่ตัวเองไม่ได้เหรอ?’ ‘ที่แปลกไปกว่านั้นคือ...แม่เฒ่าฟู่บอกว่าจะบอกเขาเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ?’ ‘ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว ยังไม่ได้บอกเขาอีกเหรอ?’ เธอหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบแล้วพยายามให้สงบสติอารมณ์ “ทำไมคุณไม่ถามคำถามนี้กับแม่ของคุณเองล่ะ?” ขณะที่เธอพูดประโยคนั้น ในใจมีความสงสัยอยู่ในใจแล้ว มีบางอย่างที่ทำให้แม่เฒ่าฟู่ไม่สามารถบอกความจริงกับฟู่สือถิงได้ใช่ไหม “แม่ของผมเสียชีวิตแล้ว” เขาพูดพร้อมกับสูดหายใจอย่างแรง “สายล่าสุดที่แม่โทรหาก่อนที่เธอจะเสียชีวิตคือคุณ ดังนั้นผมจึงอยากรู้ว่าพวกคุณคุยอะไรกัน” แก้วน้ำในมือสั่น! หลังจากสับสนอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็รีบวางแก้วน้ำลงและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “แม่ของคุณเสียแล้วเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?” “ตอบคำถามผมสิ! คุณคุยอะไรกับแม่?!” เขาค่อย ๆ หมดความอดทน! เดิมทีเขาคิดว่าการตายของแม่เป็นอุบัติเหตุ แต่ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยแล้ว ‘แม่อาศัยอยู่ในบ้านเดิมมาเกือบตลอดชีวิต ทำไมจู่ ๆ เธอถึงล้ม?’ ‘เธอถูกยั่วยุก
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง