”แม่ครับ ผมเอง” ฟู่ซื่อถิงบอกฉินอันอันสำลักออกมาทันทีเขาเรียกแม่ของเธอว่าแม่จริง ๆ“แม่ครับคืออย่างนี้ อันอันบอกว่าเธออยากกินอาหารฝีมือแม่ แต่เพราะขาผมไม่ดีเราเลยไปที่นั่นไม่ได้ ดังนั้นผมก็เลยจะหาร้านอาหารข้างนอก แม่จะสะดวกไหมครับถ้าออกมาทำอาหารให้สักหน่อย?”เสียงของฟู่ซื่อถิงอ่อนโยนและสงบนิ่งจางหยุน “ได้สิ ส่งที่อยู่มาแล้วฉันจะไปทันที”ฟู่ซื่อถิง “ขอบคุณที่ยอมลำบากนะครับ”หลังจากที่วางสาย เขาก็ส่งที่อยู่ไปให้จางหยุนฉินอันอันมองสิ่งที่เขาทำอย่างอึ้ง ๆ “ฟู่ซื่อถิง นี่คุณบ้าหรือเปล่า? ฉันก็แค่พูดไปส่ง ๆ เท่านั้น… คุณถึงกับโทรหาแม่ฉันให้แม่ออกมาทำอาหารจริง ๆ” ฉินอันอันว่าเขา “ฉันไม่เคยเห็นคุณถือเรื่องที่ฉันพูดเป็นจริงเป็นจังมาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับคุณกัน?”“จากนี้ไปก็ไม่ต้องห่วงแล้ว” ลูกกระเดือกเขาขยับ แววตาและน้ำเสียงของเขาฟังดูจริงจังเหมือนจะมีคลื่นความร้อนโถมเข้าใส่เธอพวงแก้มของเธอแดงก่ำทันที ราวกับจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นกระหน่ำ“ไม่เอา” เธอปฏิเสธ “หากว่าคราวหน้าฉันทะเลาะกับคุณแล้วฉันบอกว่าอยากตีคุณให้ตายล่ะ คุณจะตีตัวเองจนตายหรือไง?”ฟู่ซื่อถิง “ฉินอันอัน คุณเลิกคิดเ
ที่ห้องอาหารจางหยุนนำอาหารที่ทำเสร็จแล้วมาที่โต๊ะอาหาร“อันอัน มานี่สิ” จางหยุนพูดกับลูกสาวฉินอันอันเดินตามแม่ของเธอและเดินไปที่ห้องน้ำ“ลูกทะเลาะกับฟู่ซื่อถิงอีกแล้วเหรอ?” จางหยุนถาม“เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอคะแม่?” ใบหน้าฉินอันอันไม่แสดงอารมณ์ใดบางทีอาจจะเพราะว่าเธอผิดหวังมาหลายครั้งจนหัวใจด้านชา“ใช่ ลูกสองคนดูเหมือนคู่แต่งงานที่ความสัมพันธ์จบสิ้น และพร้อมจะหย่าทุกเมื่อ” จางหยุนอธิบาย “ตอนที่แม่ไปที่ว่าการอำเภอกับพ่อเพื่อหย่ากัน ตอนนี้ลูกสองคนก็ดูเหมือนพวกเราในตอนนั้นเลย”ฉินอันอันอดหัวเราะไม่ได้ “แม่คะ หนูกับเขาไม่ได้คุยกันเรื่องหย่าหรอก ก็ยังคงเป็นเรื่องลูกน่ะ… เราตกลงกันไม่ได้”“อ๋อ เขายังไม่อยากจะมีลูกใช่ไหม? ลูกบอกเหตุผลเขาไปหรือเปล่า?”ฉินอันอันส่ายหน้า “เขาเป็นซึมเศร้าค่ะ พอหนูคิดเรื่องที่เขาไม่สบาย หนูก็บอกตัวเองว่าต้องใจกว้างเข้าไว้”“น่าสงสารจริง” จางหยุนถอนใจ “มีเงินเยอะไปแล้วช่วยอะไรได้? สุขภาพต่างหากที่สำคัญที่สุด แม่คิดว่าเราร่ำรวยกว่าเขาอีกนะ”“นั้นเพราะว่าแม่ไม่รู้ว่าเขารวยแค่ไหนน่ะสิคะ” ฉินอันอันยกยิ้มและจับมือแม่ไว้ด้วยมือเล็ก ๆ ของเธอ “แม่ ขอบคุณที่คื
ขาของเขาหายดีขึ้นมาและเขาก็สามารถเดินได้มากขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยไม่ค้ำหลังลุกออกจากเตียง เขาก็ไปที่ห้องแต่งตัวและเลือกชุดที่เขาจะสวมวันนี้ออกมาจากตู้เสื้อผ้าเสื้อผ้าเขาส่วนใหญ่เป็นสีเข้มเขานิ่วหน้าเล็กน้อยเสื้อผ้าสีเข้ม ๆ พวกนี้มันดูหม่นหมองเกินไปเขาเลือกเสื้อผ้าที่พอใจไม่ได้ ก็เลยเดินออกมาจากห้องแต่งตัวและโทรหาโจวจื่ออี้“จื่ออี้ ฉันอยากได้เสื้อผ้าสีอ่อน ๆ”โจวจื่ออี้ “ได้ครับคุณฟู่ คุณอยากได้เสื้อผ้าแบบสบาย ๆ หรือแบบเป็นทางการครับ”“แบบสบาย ๆ”“ได้ครับ ผมจะไปซื้อเดี๋ยวนี้” โจวจื่ออี้บอก “อีกอย่างนักออกแบบเครื่องประดับที่คุณบอกให้ผมติดต่อให้ ร่างแบบเสร็จแล้วนะครับ ผมส่งภาพไปให้คุณทางอีเมลแล้ว คุณตกลงเมื่อไหร่เราก็ลงมือทำได้ทันที”ฟู่ซื่อถิง “ได้”หลังจากวางสาย เขาก็ไปที่ห้องทำงานและเปิดคอมพิวเตอร์ตรุษจีนปีนี้จะเป็นปีแรกของเขากับฉินอันอันเขาอยากจะให้ของขวัญเธอเขากดที่กล่องข้อความและกดดูที่อีเมลล่าสุดภาพร่างของแหวนเพชรก็ปรากฏขึ้นต่อหน้านักออกแบบได้ทำตามแบบที่เขาต้องการเขารู้สึกว่าฉินอันอันนั้นบริสุทธิ์และสะอาดเหมือนเกล็ดหิมะ ดังนั้นแหวนเพชรจึงออกแบบมาในรูปแบบขอ
ฉินอันอันไม่ได้เถียงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฟู่ซื่อถิงมันน่าเบื่อจริง ๆอย่างเช่นอาทิตย์ก่อน พวกเขาสองคนก็อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปไหนเลยเขานั้นไม่ทำงานอยู่ในห้อง ก็อ่านหนังสือในห้องนั่งเล่นเธอเองก็เขียนวิทยานิพนธ์ ไม่ก็อ่านหนังสือไปกับเขาในห้องนั่งเล่นเขาอ่านหนังสือภาษาอื่นที่เธอไม่แม้แต่จะเข้าใจชื่อหนังสือแต่เธอเชื่อว่าเขาเองก็คงไม่ได้เข้าใจหนังสือประสาทวิทยาที่เป็นภาษาอังกฤษซึ่งเขียนโดยศาสตราจารย์หูชิงหรอกดังนั้นเธอก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า“อันอัน เธอว่าสร้อยคอฉันเป็นยังไง?” จู่ ๆ หลีเสี่ยวเถียนก็ถอดจี้สร้อยคอที่ใส่ไว้ออกมาอวดฉินอันอัน“สวยมากเลย แฟนเธอให้เป็นของขวัญมาเหรอ?”“ใช่แล้ว เขาให้ของขวัญปีใหม่กับฉัน บนนี้มีชื่อฉันสลักไว้ด้วย”“เสี่ยวเถียน เธอก็เข้าแอพพลิเคชั่นซื้อของออนไลน์แล้วซื้อมาสักสิบกว่าอันเป็นยังไง แถมเขาก็แกะสลักให้ฟรีด้วย” ฉินอันอันพูดตรง ๆ “เวลามีความรักเธอต้องตั้งสติไว้หน่อยนะ”เสี่ยวเถียนไม่สนใจ “ประเด็นไม่ได้อยู่ที่มันแกะสลัก แต่ว่ามันเป็นของขวัญที่เขาให้ฉัน ฉันมีความสุขมาก หากสักวันเขาไม่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว เราก็คงต้องใกล้จะเ
ผมเธอมัดเป็นหางม้า และเธอก็ใส่เสื้อถักสีฟ้าพร้อมกระโปรงสีขาวตัวหลวม เธอถือกีตาร์และนั่งลงตรงกลางเวทีเธอปรับความสูงของไมโครโฟนจากนั้นแสงไฟก็หรี่ลงและสปอตไลท์ก็สาดตรงไปที่เธอเสียงกีตาร์ไพเราะเริ่มบรรเลง ตามมาด้วยเสียงกระจ่างฟังเสนาะหูของเธอท่ามกลางผู้ชมฉินอันอันไม่ได้มองไปที่คนผู้นั้นเป็นพิเศษแต่เธอรู้สึกได้ว่าสายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่ที่เธอเพื่อทำให้เข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้มากขึ้น เธอจึงหลับตาลงหลังผ่านไปครู่หนึ่ง ไฟบนเวทีก็สว่างขึ้นมีกลีบดอกไม้หลากสีปลิวลงมาจากด้านบนเหล่าคนดูต่างก็ร้องกรี๊ดกร๊าดกันอย่างบ้าคลั่งฉินอันอันลืมตาขึ้นและแพขนตาเธอก็ขยับไหวกลีบดอกไม้กลีบหนึ่งหล่นจากเปลือกตาเธอ และใบหน้าเธอก็ฉายแววประหลาดใจไม่มีใครบอกเธอว่าระหว่างการแสดงจะมีการโปรยกลีบดอกไม้นี่เป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยคิดขึ้นมาปุบปับรึเปล่า?แก้มของเธอร้อนฉ่า และเธอก็ยังคงเล่นดนตรีและร้องเพลงต่อ…ทันใดนั้นก็มีโดรนบินมาที่กลางเวทีบนโดรนนั้นมีช่อดอกไม้อยู่ภาพตรงหน้าทำให้เกิดเสียงฮือฮาอีกครั้งเสียงกรี๊ดดังไม่หยุด และหัวใจฉินอันอันก็สับสนหลีเสี่ยวเถียนตะโกนมาจากหลังเวที “ฉันไ
ฉินอันอันรู้สึกถึงชายที่ยืนอยู่ข้างกาย และเธอก็รู้สึกว่าร่างแข็งทื่อขึ้นมาทันทีเสื้อผ้าที่เขาใส่มาวันนี้ทำให้เขาดูเด็กลงมากแต่เขาก็ยังถูกปฏิบัติเหมือนเป็นคนอายุมากกว่า ซึ่งนั่นน่าจะกวนใจเขาไม่น้อยเลย“ผมเป็นคนของฉินอันอัน…” ฟู่ซื่อถิงพูด“ฉันไม่รู้จักเพื่อนร่วมชั้นชายคนนี้นะ” ฉินอันอันฉวยโอกาสคว้ามือใหญ่ของฟู่ซื่อถิงมากุมไว้และอธิบายกับเขา “ข้างนอกนี่หนาวมาก เราเข้าไปในรถกันดีกว่า”เวลาเดียวกันหลีเสี่ยวเถียนก็ดึงถึงเพื่อนร่วมชั้นชายคนนั้นออกไปหลังจากที่ฉินอันอันมองหลีเสี่ยวเถียนอย่างขอบคุณแล้ว เธอก็ช่วยพยุงฟู่ซื่อถิงเดินกลับไปที่รถโรลสลอยส์คันสีดำ“ฟู่ซื่อถิง ขาคุณยังไม่หายดี คุณเลยเดินไม่ถนัดนัก” ฉินอันอันพูดอย่างกังวล“มันไม่ได้เจ็บแล้ว” สายตาเขาชำเลืองมองช่อดอกไม้ในมือของเธอ และน้ำเสียงเขาก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ในช่อดอกไม้มีของขวัญอยู่ด้วย”“คะ?” เธอมองเขางง ๆ “คุณเตรียมของขวัญไว้ให้ฉันด้วยเหรอ? แต่ฉันไม่ได้เตรียมอะไรให้คุณเลย”มีความรู้สึกเขินอายเจืออยู่ในอากาศอาทิตย์ที่ผ่านมาพวกเขาทั้งสองคนก็อยู่แต่ที่บ้านและไม่ได้ออกไปซื้อของ ก็เลยไม่มีเวลาเตรียมของขวัญฟู่ซื่อถ
เซิ่งเป่ย : ‘ภรรยาคุณร้องเพลงเพราะมาก เสียดายที่ไม่ได้ไปเป็นนักร้อง’เธออดไม่ได้ที่จะกดอ่านข้อความเธอไม่คิดว่าตัวเองจะเปิดมือถือของเขาได้หากว่ามือถือของเขาล็อกหน้าจอไว้ เธอก็เปิดไม่ได้แต่ว่าเธอก็กดไปแล้วเซิ่งเป่ยส่งข้อความดังกล่าวมาพร้อมกับวิดีโอเป็นวิดิโอที่เธอทำการแสดงและร้องเพลงในงานปาร์ตี้หลีเสี่ยวเถียนเองก็เพิ่งส่งวิดีโอนี่มาให้เธอเหมือนกันหล่อนบอกเธอว่าตอนนี้เธอโด่งดังมากในหน้าเพจของมหาวิทยาลัยเธอกดปุ่มกลับและวางมือถือเขาลงตอนที่เธอกำลังวางมือถือลง นิ้วก็บังเอิญไปแตะที่คลังภาพในมือถือและรูปในนั้นก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าต่อตาของเธอ…… ตอนที่ฟู่ซื่อถิงออกมาจากห้องน้ำ ฉินอันอันก็กวักมือเรียกเขาเขารีบมาที่เตียงและนั่งลง“จู่ ๆ ฉันก็สนใจเรื่องทำอาหารขึ้นมา ครั้งหน้าฉันทำอาหารให้คุณกินดีไหมคะ?” เธอปรึกษาเขาเขามองเธองง ๆ “คุณพูดจริงจังเหรอ?”“จริงสิ แต่ฉันรับประกันไม่ได้หรอกนะว่าที่ฉันทำจะอร่อย เพราะว่าฉันไม่เคยทำมาก่อน” ดวงตาเธอฉายแววตื่นเต้นกับสิ่งใหม่“งั้นพรุ่งนี้คุณก็ลองดู”“โอเคค่ะ” เธอมองชุดนอนสีเทาที่เขาสวมอยู่และแนะนำเขาว่า “คุณใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ๆ แล
ช่วงบ่ายพวกเขาก็กลับบ้านพักผ่อนเพราะคืนนี้พวกเขาต้องอดนอนข้ามปีหลังจากที่ฟู่ซื่อถิงหลับ ฉินอันอันก็ลืมตาขึ้นมาเธอมองหน้าเขา แต่มองยังไงก็ยังไม่พอเสียดายที่เวลาหยุดอยู่แค่นี้ไม่ได้ ถ้าหยุดไว้ได้ก็คงจะดี!ฟู่ซื่อถิงตื่นขึ้นสี่โมงเย็น แต่ไม่เจอฉินอันอันเขาลุกขึ้นและลงไปหาเธอที่ชั้นล่าง“ตื่นแล้วเหรอคะ?!” ฉินอันอันกำลังเตรียมอาหารเย็น “เย็นนี้ฉันว่าจะทำอาหารยุโรป คุณว่าไงคะ?”ฟู่ซื่อถิงเดินไปที่ประตูห้องครัวและเห็นว่าเธอกำลังยุ่ง จึงรู้สึกโล่งใจ“งั้นผมทำให้” เขาพูด“คุณทำเป็นเหรอ?” ฉินอันอันมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ถ้าคุณทำเป็น คุณก็ทำเลย! ฉันยังไม่เคยกินอาหารฝีมือคุณเลย!”เธอถอดผ้ากันเปื้อนออก“ถึงผมจะไม่เคยทำ แต่ผมก็ทำตามสูตรได้” เขาหยิบผ้ากันเปื้อนจากมือเธอ “คุณไปรอที่ห้องนั่งเล่นเถอะ”“ฉันขอดูคุณทำได้ไหมคะ?” เธอพูดพลางยิ้มแน่นอนว่าเขาไม่ปฏิเสธเขาเดินไปเอาเก้าอี้ให้เธอนั่งเธอนั่งบนเก้าอี้และดูเขาทำอาหารเย็นอย่างเพลิดเพลินไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็มักจะดูเชี่ยวชาญในสายตาคนอื่นเสมอตอนเย็นฉินอันนันกินสเต็กที่เขาทำและชมว่า “อร่อยกว่าร้านอาหารอีกค่ะ”ฟู่ซื่อถิง “ร้าน
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง