หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ลืมตาขึ้นแล้วเป่าเทียน ม่านเปิดออกและมีแสงจากหน้าต่างส่องเข้ามา “ซื่อถิง นายอธิษฐานว่าอะไรเหรอ?” เซิ่งเป่ยถามเขาด้วยรอยยิ้ม ฟู่ซื่อถิงถามกลับ “แล้วนายบอกคำอธิษฐานวันเกิดต่อหน้าทุกคนทุกปีหรือเปล่าล่ะ?” ทุกคนหัวเราะ ฟู่ซื่อถิงหยิบมีดขึ้นมาตัดเค้กชิ้นหนึ่งแล้ววางไว้ตรงหน้าฉินอันอัน “คุณกินชิ้นแรก” ฉินอันอันผลักเค้กไปตรงหน้าเขา “ผมกินไม่เยอะขนาดนั้นหรอก” เขาวางมีดตัดเค้กแล้วหยิบส้อมตักเค้กขึ้นมากัดเล็กน้อย ก่อนจะยื่นเค้กให้เธออีกครั้ง ดูเหมือนหัวใจสีชมพูขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองและแยกพวกเขาสองคนออกจากคนอื่น ๆ ทุกคนหัวเราะและส่งเสียงเชียร์ “ตอนนี้เราเรียกคุณฉินว่านายหญิงได้หรือยังนะ?” “หรือจะเรียกตอนนี้ดี? ฉันคิดว่าคุณฟู่คงไม่ว่าอะไรหรอก!” “ฮ่าฮ่าฮ่า! คุณฉินจะไม่ปฏิเสธใช่ไหม?” ...... ใบหน้าของฉินอันอันเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเขินอาย เธอกระสับกระส่าย แม้แต่ผิวหนังที่คอของเธอก็แดง “พวกนายพอได้แล้ว” ฟู่ซื่อถิงกล่าว “ได้ได้...กินเค้ก! กินเค้ก!” ทุกคนนำเค้กที่เหลือมาแบ่งกันคนละชิ้น หลังจากกินเค้กแล้ว มื้อเที่ยงก็ได้เริ่มต้น
ฉินอันอันพูดกับฟู่ซื่อถิง “ให้ฉันไปส่งคุณที่ห้องรับรองไหมคะ?! หลังจากที่ฉันส่งคุณแล้วค่อยกลับมานอนที่นี่ ตื่นแล้วฉันจะไปหาคุณ” ฟู่ซื่อถิงตรงเข้าไปในห้องรับแขก “ผมก็ง่วงเหมือนกัน” ฉินอันอันตกตะลึง “แต่คุณยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ! คุณไปกินข้าวก่อนดีกว่า...” “คุณไปนอนเถอะ ไม่ต้องเป็นสนใจผมหรอก” ฉินอันอันจะไม่สนใจเขาได้ยังไง? วันนี้เป็นวันเกิดของเขา ถ้าปล่อยให้เขาหิว เธอเองก็ไม่สบายใจ เธอเดินไปที่ห้อรับรองอย่างรวดเร็วและจัดกับข้าวให้เขา ทุกคนดูเธอตักกับข้าวด้วยความกระตือรือร้น “คุณฉิน เพิ่มเนื้ออีกนิด! อย่าลืมดูแลให้คุณฟู่ทานให้หมดด้วยนะครับ! เขาน้ำหนักลดลงมากหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ” “คุณฉิน พวกเรายกเจ้านายให้คุณแล้ว! คุณต้องดูแลเขาให้ดีนะคะ!” “คุณฉิน หลังทานอาหารพวกคุณควรพักผ่อนให้เต็มที่ พวกเราจะไม่ไปรบกวนคุณแน่!” ...... ฉินอันอันหน้าแดงพลางยกอาหารบรรจุกล่องกลับไปที่ห้องพัก ฟู่ซื่อถิงถือโทรศัพท์มือถือและไม่รู้ว่าจะส่งข้อความถึงใคร เธอหยิบอาหารออกจากถุงแล้ววางไว้ตรงหน้าเขา “ถอดเสื้อกันหนาวออกไหม? ฉันเห็นคุณเหงื่อออกแล้ว” ฉินอันอันพูดกับตัวเอง “ถ้ารู้อย่างนี้คงไม
มีเสียงดังสนั่น! หลังจากนั้นก็มีเสียงยางรถยนต์เสียดสีกับพื้นดังกึกก้อง! รู้สึกราวกับเสียงนั้นจะทำให้แก้วหูจะระเบิด! ฉินอันอันกอดฟู่ซื่อถิงที่อยู่บนรถเข็นแน่น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา ร่างกายของเธอสั่นอย่างรุนแรง รถเก๋งสีดำยางแตกหักเลี้ยวผ่านไปชนเข้ากับร้านสายไหมฝั่งตรงข้าม! ฟู่ซื่อถิงจับร่างของเธอด้วยมือทั้งสองข้างพลางมองรถคันสีดำข้าง ๆ ด้วยหางตาเย็นชา มีคนอยากฆ่าเขา แต่ไม่สำเร็จ ครั้งที่สองมีเสียงปืนดังขึ้น! คราวนี้กระสุนโดนเบาะคนขับรถสีดำ! เสียงกรีดร้องดังไปทั่ว ผู้คนต่างกระจัดกระจายกันจ้าละหวั่น อุณหภูมิร่างกายของฉินอันอันเริ่มเย็นลง ฟู่ซือถิงจับหน้าเธอไว้ในมือพลางมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่หวาดกลัวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรแล้ว” หน้าอกของเธอขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอสั่นคลอนแต่เธอมองหน้าเขาตลอดเวลา “ฟู่ซื่อถิง… ฟู่ซื่อถิง...” เธอมีเรื่องจะพูดมากมาย แต่เมื่อเธอเอ่ยปาก เธอกลับได้แต่พึมพำชื่อของเขา “ฉินอันอัน ผมไม่เป็นอะไร” เขาจับมือเธอมาแตะแก้มของตัวเอง “ยังอุ่นอยู่ใช่ไหมล่ะ?” เธอพยักหน้า น้ำตาไหลช้า ๆ “ฉันกลัวมาก...กลัวว่
ฉินอันอันวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ตอนนี้ปากเธอแห้งผาก เธอเลยหยิบซุปเนื้อแกะที่เซิ่งเป่ยเอามาให้ขึ้นมากินเซิ่งเป่ยเคาะนิ้วบนโต๊ะและพูดอย่างไม่พอใจว่า “นี่ พวกนายสองคนคิดว่าเราไม่รู้หรือไงว่าพวกนายส่งข้อความหากันน่ะ?”ฉินอันอันกลัวว่าฟู่ซื่อถิงจะพูดอะไรที่น่าตกใจออกมา เธอก็เลยพูดว่า “ฉันอิ่มแล้ว เขาก็เหมือนกัน เพราะงั้นเราขอกลับก่อนนะคะ”เซิ่งเป่ยล้อ “ก็ได้ เราเองก็อิ่มเหมือนกัน กินอาหารหมาเข้าไปขนาดนี้ก็คงต้องอิ่มแล้ว”…… ที่ตระกูลฟู่เรื่องการสังหารฟู่ซื่อถิงเข้าหูแม่เฒ่าฟู่แล้วหญิงชรามาที่นั่นภายในคืนนั้นเมื่อเห็นว่าฉินอันอันก็อยู่ด้วย สีหน้าของหญิงชราก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา“คืนนี้ตอนที่เจ้านายเกือบโดนรถชน คุณฉินก็พุ่งเข้ามากอดปกป้องเจ้านายเอาไว้ครับ” บอดี้การ์ดนั้นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เขาจึงรู้สึกว่าตนจำเป็นจะต้องบอกเรื่องนี้ให้หญิงชรารู้ “หากว่าผมยิงออกไปไม่ทันเวลาจนยางรถของฝ่ายตรงข้ามระเบิด รถก็จะพุ่งตรงเข้าไปชนแน่ คุณฉินเองก็จะต้องโดนชน แล้วก็ตายแน่นอน เพราะว่าเธอปกป้องเจ้านายไว้ เขาก็เลยยังรอดมาได้”หลังจากที่ฟังคำอธิบายจากบอดี้การ์ด ในหัวแม่เฒ่าฟู่ก็มีภาพโชกเลือดผุดขึ้นมา
“ผมก็จัดการตัวเอง” เขาตอบอย่างมั่นใจ “หากว่าคุณกังวล ก็ช่วยผมอยู่ข้าง ๆ ก็ได้”ฉินอันอันรู้สึกเหมือนเธอขุดหลุมฝังตัวเองแน่นอนว่าเธอกังวลว่าเขาจะต้องอาบน้ำด้วยตัวเองแต่การที่จะให้เธออาบน้ำให้เขา เมื่อเทียบกับให้เธอยืนดูเขาอาบน้ำมันต่างกันตรงไหน?หลังจากเข้ามาในห้องนอน เธอก็ปิดประตู“เอาไม้ค้ำมาให้ผมหน่อย” เขาพูดเสียงทุ้มต่ำเธอกำลังจะถามว่าไม้ค้ำอยู่ที่ไหน แต่เธอก็เห็นมันในอึดใจต่อมาเธอเอาไม้ค้ำไปให้เขาฉินอันอันยืนมองเขาลุกขึ้นจากรถเข็นด้วยไม้ค้ำในมือฉินอันอันรู้สึกหวาดกลัว “นี่จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”“ไม่เป็นไรหรอก ช่วงสองสามวันมานี่ผมก็อาบน้ำเอง” เสียงเขาเจือรอยยิ้ม “ผมทำคุณกลัวเหรอ?”เธอหน้าแดงอย่างเขินอาย “เมื่อกี้คุณตั้งใจจะล้อฉันเล่นหรือยังไง?”“ใช่ ดูสิท่าทางคุณตอนนี้สิเป็นยังไง?” เขาเดินไปทางห้องน้ำทีละก้าวด้วยไม้ค้ำเธอกังวลและตามเขาไปติด ๆ“คุณอยากดูผมอาบน้ำเหรอ?” เขาหยุดและถามเธอตอนที่เดินไปถึงห้องน้ำเธอส่ายหน้า ก่อนจะพยักหน้าอย่างตระหนก “ฉันค่อนข้างกังวลน่ะ… คุณจะถอดกางเกงยังไง? มันจะโดนแผลรึเปล่า?”“ผมใส่แค่กางเกงตัวนอก” เขาอธิบาย “กางเกงนี่ทั้งหลวมแล้วก
หลังจากเอากล่องพยาบาลแล้วขึ้นไปด้านบน เธอก็นั่งย่อตัวลงข้าง ๆ ขาของเขาและแกะผ้าพันแผลออกให้บาดแผลของเขารุนแรงกว่าที่เธอคิดไว้เสียอีกผิวบริเวณกว้างหลุดหายออกไปจากขา และเผยให้เห็นเนื้อสีแดงสด…‘นี่ต้องเจ็บมากขนาดไหนกัน?’แต่เขาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วด้วยซ้ำเธอใส่ยาให้เขาและรีบพันแผลให้เขาอย่างรวดเร็วเขาได้ยินเสียงหายใจของเธอหนักหน่วงขึ้น ดังนั้นเขาเลยพูดเพื่อทำลายความเงียบ “ฉินอันอัน แผลมันดูน่ากลัวแต่ว่าไม่ได้เจ็บอะไรหรอก”เขาอยากจะปลอบเธอแต่เธอไม่ต้องการคำปลอบใจลวง ๆ ของเขาเธอเอานิ้วจิ้มแผลเขาอย่างแรงคราวนี้เขาไม่ได้ทันตั้งตัวจึงสูดปากด้วยความเจ็บปวด“ไหนบอกฉันอีกทีสิ เจ็บหรือเปล่า?” เธอจ้องเขาตาแดงก่ำเขาเอามือไพล่หลังแล้วหรี่ตาเล็กน้อยก่อนพูดเสียงแข็ง “ไม่เจ็บ”เขาเดาว่าเธอไม่กล้าจิ้มแผลเขาอีกทีแน่เพราะเขาเจ็บและหัวใจเธอจะเจ็บยิ่งกว่า“นอนลงแล้วพักผ่อนซะ คุณต้องนอนบนเตียงไปอีกอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ เลิกวิ่งไปวิ่งมาได้แล้ว”เธอพูดอย่างมีโทสะ จากนั้นก็หันหลังเข้าห้องน้ำไปเขานั่งพิงหัวเตียงและหยิบมือถือที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาเขากดหมายเลขและถามเสียงเย็น “ตรวจส
ข่าวเรื่องการตายของฉินเค่อเคอมาถึงในตอนเจ็ดโมงเช้าเธอกระโดดออกจากหน้าต่างห้องของเธอในโรงแรมและตายคาที่ตำรวจติดต่อฉินอันอันผ่านข้อมูลส่วนตัวที่ฉินเค่อเคอทิ้งไว้ในโรงแรมฉินเจี๋ยนั้นตายไปแล้วและหวังหว่านจือก็อยู่ต่างประเทศ คนเดียวที่จะไปรับศพฉินเค่อเคอได้ก็คือฉินอันอันฉินอันอันยังไม่ตื่นดีในตอนที่เธอได้รับโทรศัพท์หลังจากที่รับสายเธอก็คิดว่าตัวเองแค่ฝันไปเมื่อเธอได้สติตื่นเต็มตา เธอก็ดูประวัติการโทรในมือถือและพบว่าเธอไม่ได้ฝันไปเธอรีบลุกขึ้นและไปยังโรงแรมที่เกิดเหตุโดยที่ไม่ได้มีเวลากินอาหารเช้าด้วยซ้ำ……“เจ้านาย เธอกระโดดออกไปเองครับ เราเปิดประตูเข้าไปในห้องเธอ แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร เธอก็หนีไปทางหน้าต่างและกระโดดออกไป เห็นได้ชัดว่าเธอน่าจะรู้สึกผิดอยู่”ลูกน้องรายงานให้ฟู่ซื่อถิงฟังฟู่ซื่อถิงจิบกาแฟและพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ไปเฝ้าดูฟู่เย่เฉินไว้”ฉินเค่อเคอกับฟู่เย่เฉินนั้นเป็นพวกเดียวกันฉินเค่อเคออยากจะฆ่าเขา ก็แปลว่าฟู่เย่เฉินเองก็ต้องคิดเหมือนกันอีกอย่างไม่แน่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องคราวนี้อาจจะไม่ใช่ฉินเค่อเคอเธออาจจะแค่โดนใช้เป็นแพะรับบาปเท่านั้นแต่เธอก็
เมื่อคิดเรื่องนี้ เธอก็กดเบอร์โทรหาฟู่เย่เฉินโทรศัพท์ดังอยู่สักพักก่อนที่จะมีคนรับสาย “อันอัน คุณโทรหาผมมีอะไรเหรอ?”“ฟู่เย่เฉิน ฉินเค่อเคอตายแล้ว คุณรู้เรื่องนี้หรือยัง?”“อะไรนะ? เธอตายแล้วเหรอ? ผมไม่รู้เลย ตอนนี้ผมกำลังเปลี่ยนชุดอยู่ในโรงพยาบาล… เมื่อวานผมคุยโทรศัพท์กับเธอทุกอย่างก็ดูปกติดี…”“คุณไม่ได้ทะเลาะกับเธองั้นเหรอ?”“เปล่า” น้ำเสียงของฟู่เย่เฉินลื่นไหลเป็นธรรมชาติ หลังผ่านไปอึดใจ เขาก็ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “ผมจำได้ว่าครั้งก่อนที่อาผมกลับมาจากมื้อเย็น เค่อเคอเองก็อยู่ด้วย พวกเขาสองคนดูไม่ค่อยพอใจกันเท่าไหร่ อาผมบอกว่าเธอคงจะอายุไม่ยืน แล้วเธอก็ดูกลัวมากเลยเพราะเรื่องนี้…”ฉินอันอันเปลี่ยนสีหน้าทันที “เป็นไปไม่ได้ เมื่อวานกับวันนี้ฉันอยู่กับฟู่ซื่อถิง เขาไม่ได้ทำอะไรเลย”ฟู่เย่เฉินถอนใจ “อันอัน ทำไมเวลาที่พูดถึงอาผมคุณถึงต้องสติแตกด้วย? ผมก็แค่บอกเรื่องที่ผมรู้ แล้วผมก็กล้าบอกแค่คุณ หากว่าตำรวจมาถามผม ผมไม่มีทางจะแฉอาของผมแน่นอน…”ฉินอันอันตอบรับ “ฟู่เย่เฉิน ให้แน่ใจก่อนเถอะว่าการตายของฉินเค่อเคอไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ ตำรวจต้องขุดเรื่องนี้ไปจนถึงที่สุดแน่”น้ำเ
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง