คฤหาสน์ตั้งอยู่บนไหล่เขา เส้นทางจากเชิงเขาถึงไหล่เขาค่อนข้างเรียบ สามารถขับรถตรงไปที่คฤหาสน์ได้ แต่จากคฤหาสน์ไม่มีถนนสายหลัก ตอนที่ฟู่ซื่อถิงปีนขึ้นไปถึงฟ้าก็มืดแล้ว เขาเปิดไฟฉายในโทรศัพท์แล้วเดินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เขากังวลเรื่องความปลอดภัยของฉินอันอัน ถังเฉียวเซินมีเจตนาไม่ดีต่อเธอ เขากลัวว่าถ้าเขาไปช้าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ ถ้ารู้ว่าถังเฉียวเซินมีวิธีการร้ายกาจ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้เธอมาคนเดียว หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง เขาหายใจเร็วขึ้นและปัญหาที่ยิ่งไปกว่านั้นคือขาของเขา หมอบอกเขาว่าห้ามออกกำลังกายหนัก ๆ หกเดือน เขาสามารถเดินได้ตามปกติแต่ไม่อาจเดินมากเกินไปได้ กีฬาที่ทำให้เข่าเสื่อมเช่นการปีนเขา ยิ่งต้องห้าม ไม่อย่างนั้นจะมีความเสี่ยงสูงมาก ในความมืด ลมหนาวพัดแรง ต้นไม้เสียดสีมีเสียงกรอบแกรบ เขาหยุดเมื่อร่างกายส่งสัญญาณเจ็บปวด เขาเปิดรายชื่อและพยายามโทรหาบอดี้การ์ด แต่มือถือไม่มีสัญญาณ เขาสามารถลงจากเขาได้ ด้วยความแข็งแรงของร่างกายที่มีสามารถพาเขาลงจากภูเขาได้ แต่เขากลับไม่มีความคิดนั้นเลยแม้แต่เสี้ยววินาที เขาอดทนต่อความเจ็บปวดและปีนต่อไป
จู่ ๆ ดวงตาของเธอก็ถูกดึงดูดด้วยลำแสงที่อยู่ไม่ไกล! เธอหันไฟฉายโทรศัพท์ไปทางลำแสงนั้น ในหุบเขาที่รกร้างนั้น มีร่างสูงโปร่งนอนอยู่! “ฟู่ซื่อถิง!” โทนเสียงของเธอต่ำลง เธอรีบวางมือลงบนพื้นแล้วปีนขึ้นไปบนหุบเขาสูงชัน “ฟู่ซื่อถิง ฉันอยู่นี่แล้ว! ไม่ต้องกลัวนะ! ไม่เป็นไร คุณจะไม่เป็นไร!” บอดี้การ์ดได้ยินเสียงกรีดร้องของเธอ จึงตะโกนจากที่สูง “ฉินอันอัน! คุณเจอเจ้านายแล้วใช่ไหม?!” “...เจอแล้ว! เขาตกลงมา! หน้าเขามีเลือดเต็มเลย!” ฉินอันอันระงับอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้และขอความช่วยเหลือจากเขา “คุณรีบมาทางนี้เร็วเข้า!” หลังจากพูดจบ เธอสูดหายใจและกระโดดไปทางที่ฟู่ซื่อถิงอยู่ เท้าของเธอแพลง เธอเจ็บจนแทบจะหายใจไม่ออก จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา เธอรีบคลานไปหาฟู่ซื่อถิงและกอดเขาไว้แน่น! “ฟู่ซื่อถิง! ตื่นสิ! อย่าหลับ! อย่าหลับนะ!” เธอจับใบหน้าที่เย็นเฉียบของเขาด้วยมือทั้งสองข้างพลางโน้มศีรษะลงและผายปอดให้เขา บนภูเขาไม่มีสัญญาณ พวกเขาไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้ บอดี้การ์ดแบกฟู่ซื่อถิงไว้บนหลังแล้วลงจากภูเขาไป มือของฉินอันอันจับกิ่งไม้พลางร้องไห้ขณะลงจากภูเขา ‘เกิดเรื่อ
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเอ หลังจากที่ฉินอันอันทานอาหารเย็นที่มหาวิทยาลัยเสร็จ เธอก็อยู่อ่านหนังสือต่อที่นี่ ขณะที่เธอกำลังตั้งใจอ่าน จู่ ๆ ก็เกิดเสียงโห่ดังมาจากรอบตัว! “หิมะตกแล้ว! นี่เป็นหิมะแรกของปีนี้! ตกหนักมากเลย! ไปเล่นหิมะกันเถอะพวกเรา!” “ได้! ฉันอยากออกไปถ่ายรูป!” ...... คนในห้องสมุดส่วนใหญ่รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ฉินอันอันอดไม่ได้ที่จะเดินไปดูหิมะที่กำลังตกหนักริมหน้าต่าง ‘หิมะตกหนักมาก สวยจัง!’ ไม่แปลกใจเลยที่ในอินเทอร์เน็ตบอกว่าการสารภาพรักในช่วงหิมะแรกจะประสบความสำเร็จ เพราะสิ่งสวยงามทำให้คนมีความสุข “เธอ มีคนโทรมา!” มีคนเดินเข้ามาด้านหลังของฉินอันอันและตบไหล่ของเธอ เธอได้สติและได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอ “ขอบคุณนะ!” เธอเดินกะโผลกกะเผลกจากหน้าต่างกลับไปยังที่นั่งของเธอครั้งก่อนที่เธอเท้าแพลงบนภูเขา เธอไปหาหมอช้าไปหน่อยเท้าของเธอบวมมากและยังไม่หายดีแต่สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเธอ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย ไม่รู้ว่าปลายสายพูดว่าอะไร แต่จู่ ๆ หางตาและคิ้วของเธอก็ยกขึ้น ดวงตาของเธอเป็นประกาย หลังจากวางสายแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของ
“ผมคิดว่าพี่ซื่อถิงไม่ได้โกรธเธอจนไม่อยากเจอหน้าหรอก...ผมถามบอดี้การ์ดของเขาแล้ว บอดี้การ์ดบอกว่าหน้าของเขาถูกกิ่งไม้ข่วน เขาเป็นคนที่รักหน้ายิ่งชีพ เมื่อใบหน้ามีบาดแผล ย่อมไม่อยากพบใคร” “อย่างนี้นี่เอง! ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกอันอันตอนนี้เลย! ไม่อย่างนั้นเธอคงคิดฟุ้งซ่านไปเองต่าง ๆ นานาแน่!” หลีเสี่ยวเถียนส่งข้อความถึงฉินอันอันเรื่องที่เฮ่อจุนจือพูด ฉินอันอันส่งหน้ายิ้มกลับมา หลีเสี่ยวเถียนยังคงส่งข้อความถึงเธอต่อ : อีกครึ่งเดือนก็ถึงวันเกิดของฟู่ซื่อถิงแล้ว เธอคิดหรือยังว่าจะให้ของขวัญอะไรเขา? ฉินอันอัน : ยังเลย ฉันไม่รู้จะให้อะไรเขาดี หลีเสี่ยวเถียน : อากาศหนาวแบบนี้ เธอก็ถักเสื้อกันหนาวให้เขาสิ! ฉินอันอัน : ถามจริง? สมัยนี้ใครเขาใส่เสื้อกันหนาวถักกันล่ะ? หลีเสี่ยวเถียน : บอกให้ถักก็ถักเถอะ ชายแท้เขาชอบใส่แบบนี้กัน ฉินอันอัน : ปัญหาคือฉันถักไม่เป็นน่ะสิ! หลีเสี่ยวเถียน : คนขายถักจะสอนเธอเอง! ถ้ายังทำไม่เป็นอีกก็ดูวิดีโอในอินเทอร์เน็ตสิ! เธอฉลาดจะตาย เรียนรู้แป๊บเดียวก็ทำได้แล้ว! ฉินอันอัน : ทำไมเธอถึงคะยั้นคะยอจะให้ฉันถักเสื้อกันหนาวให้ได้ล่ะ? หลีเสี่ยวเถียน :
“ผมให้ยารักษาโรคซึมเศร้าไปเมื่อเช้านี้ แต่เขาไม่ยอมกิน” หมอขมวดคิ้ว “ถ้าไม่กินก็ไม่หายนะครับ!” แม่เฒ่าฟู่ “พรุ่งนี้ฉันจะลองคุยกับเขาดู” หมอ “ผมได้ยินมาว่าเขาฟังฉินอันอันมากกว่า ถ้าอย่างนั้น...” “ไม่! เธอเป็นคนที่ทำให้ลูกชายของฉันเป็นแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้มีแต่จะนำโชคร้ายมาให้ลูกชายของฉัน!” แม่เฒ่าฟู่พูดด้วยอารมณ์ หมอหยุดแสดงความคิดเห็น เขามีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะสภาพร่างกายของฟู่ซื่อถิงเท่านั้น “ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจจะพูดแทนฉินอันอัน...พรุ่งนี้ค่อยคุยกันดีกว่า! มาดูกันว่าเขาจะเชื่อฟังฉันไหม” แม่เฒ่าฟู่รีบกล่าวประนีประนอม ขอแค่ให้ลูกชายหายดีขึ้นในเร็ววัน อย่างอื่นเธอไม่สนใจแล้ว ...... หลังจากฉินอันอันอาบน้ำเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปดูหิมะที่ข้างนอกหน้าต่าง พื้นดินกลายเป็นสีขาว ค่ำคืนอันมืดมิดสว่างขึ้นเล็กน้อย ในหัวใจเริ่มมีแรงกระตุ้นมากขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานึกอยากโทรหาฟู่ซื่อถิง อยากได้ยินเสียงของเขา หลังจากคิดอยู่นานเธอก็กลัวว่าเขาจะไม่รับสาย เธอจึงส่งข้อความเสียงถึงเขาแทน แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยินเสียงของเขา แต่ก็เป็นการดีกว่าถ้าให้เขาได้ยินเสียงของเธอและให้เขา
โจวจื่ออี้ “ครับ” หลังจากนั้นไม่นาน กาแฟหนึ่งแก้วก็ถูกนำมาให้ฟู่ซื่อถิง โจวจื่ออี้ออกมาจากออฟฟิศและบังเอิญเจอถังเฉียนพอดี ถังเฉียนไม่ได้แต่งหน้า ใบหน้าของเธอจึงดูซีดเซียวเป็นพิเศษ โจวจื่ออี้เดินไปหาเธอ และลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่พูดออกมา ถังเฉียนเดินเข้าไปในสำนักงานและปิดประตู “ซื่อถิง ฉันขอโทษ” เธอเดินเข้าไปหาเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ทุกอย่างเป็นแผนการของพี่ชายฉัน เขารู้ว่าขาของคุณไม่ดี เขาจึงจงใจหลอกให้คุณขึ้นไปบนภูเขา ภูเขาลูกนั้นสูงชันมาก ปกติเราไม่เคยปีนขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น เขาต้องการจะฆ่าคุณ” ฟู่ซื่อถิงมองไปที่ใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ฉันรู้แล้ว” “ฉันขอโทษ เขาคงไม่ได้มาขอโทษคุณ เขาหนีไปต่างประเทศแล้ว” ถังเฉียนพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ซื่อถิง ได้โปรดปล่อยตระกูลถังไปเถอะ พ่อของฉันอายุมากแล้ว ฉันกลัวว่าเขาจะทนต่อความเปลี่ยนแปลงของตระกูลเราไม่ไหว ถ้าจะลงโทษก็ลงโทษฉันเลย ฉันยอม” ฟู่ซื่อถิงมองเธออย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าเขาเพิ่งเห็นใบหน้าของเธอชัด ๆ เป็นครั้งแรก เมื่อก่อนเธอแต่งหน้าสวยสดและแสดงตัวต่อหน้าเขาในสภาพที่ดีที่สุดเ
สายตาของเขาหลอกเซิ่งเป่ยไม่ได้ พวกเขารู้จักกันมาหลายปีแล้ว แต่เซิ่งเป่ยไม่เคยเห็นเขาใส่เสื้อกันหนาวมาก่อน! อย่างไรก็ตาม เสื้อกันหนาวที่ฉินอันอันถักให้เขามีความหมายที่แตกต่างจากเสื้อกันหนาวที่เขาซื้อมา “ซื่อถิง คุณป้าโทรมาหาฉัน บอกว่าหลานชายออกจากโรงพยาบาลแล้วและอยากให้นายกลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านเก่า” เซิ่งเป่ยพูด ฟู่ซื่อถิง “เธอบอกฉันด้วยตัวเองก็ได้นี่” เซิ่งเป่ย “คุณป้าเคยทำให้นายโกรธมาก่อนหรือเปล่า? เธอค่อนข้างระวังตัวเวลาคุยกับฉัน ชื่อถิง นายอย่าโกรธคุณป้าเลย ในโลกนี้ก็มีแต่แม่เท่านั้นแหละที่รักลูกตัวเองมากที่สุด...” ฟู่ซื่อถิง “ฉันขอร้องเถอะ หยุดพูดสักที” เซิ่งเป่ยหัวเราะเสียงดัง “หรือจะชวนฉินอันอันกลับไปทานอาหารเย็นด้วยกันเลย?” ฟู่ซื่อถิงฉุกคิด “นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเธอยุ่งอยู่กับการถักเสื้อกันหนาว?” “ก็ใช่น่ะสิ! เหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เดียว ไม่รู้ว่าเธอถักไปถึงไหนแล้ว” ...... ตกกลางคืน ฟู่ซื่อถิงกลับไปที่บ้านเก่าของเขา แม่เฒ่าฟู่ดีใจมาก ในขณะที่คนอื่น ๆ มีสีหน้ายับยั้งชั่งใจในระดับที่แตกต่างกัน ฟู่ซื่อถิงจ้องไปที่หน้าของฉินเค่อเคอด้วยสายตาเย็นชา เขา
แต่หนี้การพนันครั้งล่าสุดของฟู่เย่เฉินทำให้ฟู่หานสาหัสมาก “ในเมื่อซื่อถิงให้ งั้นก็รับไว้แล้วกัน!” ภรรยาของฟู่หานกล่าว “ยังไงเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องทำตัวเหินห่างกับซื่อถิงมากนักหรอก” ฟู่หานหน้าแดงและรับเช็คไป “ซื่อถิง ต่อไปไม่ต้องให้แล้วนะ” ฟู่ซื่อถิง “ผมอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ” แม่เฒ่าฟู่ลุกขึ้นออกไปส่งเขาด้วยตัวเอง หลังจากที่พวกเขาออกไป ฟู่เย่เฉินก็ขว้างช้อนลงกับพื้น! “พ่อ! ทำไมพ่อถึงรับเงินของเขาล่ะ?!” ฟู่เย่เฉินรู้สึกละอายใจ รับไม่ได้กับความรู้สึกที่ดูเหมือนพวกเขาเป็นขอทาน “คนไม่ได้เรื่องได้ราวอย่างแก! ยังมีหน้ามาพูดอีก! ถ้าแกมีปัญญานักก็ใช้หนี้พนันยี่สิบล้านให้ฉันก่อนสิ!” ฟู่หานตะโกนด้วยความโกรธ แม่ฟู่เข้าข้างสามีในการกล่าวโทษลูกชายครั้งนี้ “เย่เฉิน ถึงอาจะดูถูกเรา แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเรื่องเงิน! แกรู้ไหมว่าเขาให้มาเท่าไหร่? ห้าล้านเชียวนะ! กำไรต่อปีของบริษัทพ่อแกยังไม่เยอะเท่านี้เลย!” ดวงตาของฟู่เย่เฉินเป็นสีแดง “ตอนนี้ครอบครัวของเรายากจนข้นแค้นขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” “แล้วแกคิดว่าไงล่ะ? ลูกค้าของบริษัทเราส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือกับเราเพร