รอยยิ้มบนใบหน้าของถังเฉียนเลือนหายไป “สายตาของคุณไม่เคยมองมาที่ฉันเลย” ฟู่ซื่อถิง “ไปหาคนที่มองคุณเถอะ” ถังเฉียนหันหลังเดินจากไป ……ตอนเย็น ถังเฉียนรู้สึกหดหู่ จึงมาหาถังเฉียวเซินเพื่อดื่มไวน์ถังเฉียวเซินมองท่าทางหมดอาลัยตายอยากของเธอแล้วก็พูดอย่างไม่เกรงใจว่า “เธอเป็นแบบนี้ ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบเธอหรอกนะ” ถังเฉียนโกรธจนตาแดง “ฉันอยู่ข้างนอกก็เหนื่อยพอแล้ว! ตอนนี้ฉันอยู่บ้านตัวเองยังต้องเสแสร้งอีกเหรอ?!” ถังเฉียวเซินเทไวน์ให้เธอ “ถังเฉียน พวกเราสองคนพี่น้องยังทำงานเป็นทีมเดียวกันไม่พอ เธอต้องฟังที่ฉันพูดแล้วเธอจะได้ทุกอย่าง” “แล้วฉันจะได้ฟู่ซื่อถิงหรือเปล่าล่ะ?” ถังเฉียนดื่มไวน์รวดเดียวจนหมด ถามเขาด้วยดวงตาแดงก่ำแขนยาวของถังเฉียวเซินโอบรอบตัวเธอ แล้วโน้มไปกระซิบข้างหูเธอ “เธอไม่ได้เขาที่มีชีวิต แต่ถ้าเขาตายแล้ว ฉันจะเอาเถ้ากระดูกเขาให้เธอก็ได้ แบบนี้เธอก็ได้ครอบครองเขาทางอ้อมแล้ว ว่ายังไงล่ะ?” ทันใดนั้นสีหน้าของถังเฉียนเปลี่ยนไปอย่างแรง เธอผลักเขาออก! “ถังเฉียวเซิน! พี่บ้าไปแล้วเหรอ? ถ้าพี่กล้าแตะต้องฟู่ซื่อถิง ก็ถือว่าพี่ก็เป็นศัตรูของฉัน!” มีเสียง ‘ปึง’ ดังขึ้น
ถังเฉียน “!!!” เธอปรับจิตใจให้ยอมรับมาได้ตลอดช่วงเช้า ไม่ให้ตัวเองต้องเดือดดาลเพราะเรื่องของฉินอันอันตอนที่พบกับฟู่ซื่อถิง แต่ตอนนี้กำแพงในจิตใจของเธอพังทลายลงแล้ว! เธออดกลั้นต่อความเจ็บปวด แล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยงไป ห่างไปไม่ไกล ถังเฉียวเซินมองดูน้องสาวตัวเองถูกฟู่ซื่อถิงปฏิเสธอีกครั้งแล้วยังเป็นที่บ้านของตัวเอง หากบอกว่าไม่เจ็บปวดใจ คงจะเป็นการโกหกและถ้าบอกว่าไม่อาย ก็คงโกหกเช่นกัน ช่วงเวลาสิบปีแห่งความเยาว์วัยของถังเฉียนที่ต้องเสียไปกับฟู่ซื่อถิงและความทุกข์ทรมานที่เธอได้รับ ถังเฉียวเซินต้องการให้เขาชดใช้ทุกอย่างในคืนนี้! หลังมื้อกลางวัน ฟู่ซื่อถิงไปที่ห้องพัก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอันอันจะยังมาไม่ถึงจริง ๆ ‘เธอบอกว่าอยู่กับถังเฉียวเซินแล้วสบายใจไม่ใช่เหรอ?’ ‘เธอโกหกเหรอ?’ หลังจากมาถึงห้องพัก เขาก็ไม่ได้เอนตัวลงนอนพักเลย เขาไม่ได้ง่วงมากนัก ที่มาห้องพักเพียงแค่เพราะไม่อยากเข้าสังคม เขาส่งข้อความถึงบอดี้การ์ด : ฉินอันอันมาถึงเมื่อไหร่บอกฉันด้วย ส่งข้อความเสร็จ เขาก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ เขาหยิบหนังสือจากชั้นหนังสือข้าง ๆ ประมาณสี่โมงเย็น มีเสี
“คุณฟู่ กรุณาหยุดด้วยครับ” บอดี้การ์ดตระกูลถังห้ามฟู่ซื่อถิงไว้ ฟู่ซื่อถิงพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ฉันจะเข้าไป! ภรรยาของฉันอยู่ในนั้น” บอดี้การ์ดตระกูลถัง “คุณหมายถึงคุณฉินหรือเปล่าครับ? เธอไปปีนเขากับคุณถังแล้วครับ” ฟู่ซื่อถิงเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาเผยให้เห็นความเย็นชา บอดี้การ์ดตระกูลถังชี้ไปยังยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล “พวกเขาขึ้นไปทางนั้นครับ แต่ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วและทางขึ้นเขาค่อนข้างชัน คุณไม่คุ้นเคยเส้นทาง ผมขอแนะนำให้คุณไปรอที่ห้องจัดเลี้ยงดีกว่าครับ เดี๋ยวพวกเขาคงกลับมาแล้ว” ฟู่ซื่อถิงกำหมัดเล็กน้อยพลางเหยียดขายาวออกแล้วก้าวขาขึ้นไปบนภูเขา ...... ห้องรับแขกทิศใต้ ฉินอันอันไม่สามารถนั่งนิ่งได้หลังจากฟังพ่อของถังเฉียวเซินพูดเรื่องประวัติการก่อตั้งกิจการและมุมมองของเขาเกี่ยวกับฉินกรุ๊ปเป็นเวลาสองชั่วโมง “คุณลุง ขอบคุณนะคะที่ชวนหนูคุย วันนี้เป็นวันเกิดของคุณลุง สุขสันต์วันเกิดนะคะ ส่วนเรื่องงาน หนูจะคุยกับถังเฉียวเซินด้วยตัวเองค่ะ” หากวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของอีกฝ่ายที่อายุเยอะกว่า ฉินอันอันก็คงไม่นั่งอยู่ที่นั่นได้นานขนาดนี้ “คุณพ่อพักผ่อนเถอะ ผมจะพาอันอันไปทานอาหารเย็น”
ถังเฉียวเซินตบแขนเสื้อที่มีรอยย่นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถังเฉียน! ฉันไม่ใช่บอดี้การ์ดของเขา ฉันไม่มีเวลาช่วยเธอไปจับตาดูเขาหรอก! ถ้าเธออยากเจอ ก็ไปหาเขาเองสิ!” ถังเฉียนยกกำปั้นขึ้นแล้วต่อยถังเฉียวเซินที่หน้าอก “ฉันโทรหาเขาไม่ติด! แล้วก็หาเขาไม่เจอ! บอดี้การ์ดของเขาก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน! พี่ไม่ต้องมาเสแสร้งเลยนะ! พี่จงใจติดตั้งเครื่องสกัดสัญญาณไว้ที่บ้าน! พี่วางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว!” ถังเฉียนเซินปิดปากของเธอด้วยมือข้างหนึ่งแล้วอุ้มเธอขึ้นด้วยมืออีกข้าง “ถังเฉียน! ตอนนี้ฉันต้องขังเธอไว้ในห้อง! หลังจากคืนนี้ เธอจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป!”…… ในห้องจัดเลี้ยง ฉินอันอันผุดกายยืนขึ้น ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยอยู่รอบกาย ภายในใจรู้สึกไม่สบายใจขึ้นทีละน้อย เมื่อเปิดโทรศัพท์ เธอเห็นสายที่ไม่ได้รับและข้อความจากฟู่ซื่อถิงในตอนบ่าย ข้อความที่เขาส่งให้เธอคือ : มาหาผมทันทีหลังจากเห็นข้อความ! ผมจะรอคุณในห้องจัดเลี้ยง! ตอนนี้เธออยู่ในห้องจัดเลี้ยง แต่เขาไปไหน? เธอโทรหาเขา แต่ปลายสายตัดสัญญาณอัตโนมัติหลังจากที่โทรออก และมีข้อความแจ้งว่าไม่มีสัญญาณมีแค่เฉพาะฝั่งใต้ไม่ใช่เหรือที่ไม่มี
คฤหาสน์ตั้งอยู่บนไหล่เขา เส้นทางจากเชิงเขาถึงไหล่เขาค่อนข้างเรียบ สามารถขับรถตรงไปที่คฤหาสน์ได้ แต่จากคฤหาสน์ไม่มีถนนสายหลัก ตอนที่ฟู่ซื่อถิงปีนขึ้นไปถึงฟ้าก็มืดแล้ว เขาเปิดไฟฉายในโทรศัพท์แล้วเดินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เขากังวลเรื่องความปลอดภัยของฉินอันอัน ถังเฉียวเซินมีเจตนาไม่ดีต่อเธอ เขากลัวว่าถ้าเขาไปช้าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ ถ้ารู้ว่าถังเฉียวเซินมีวิธีการร้ายกาจ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้เธอมาคนเดียว หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง เขาหายใจเร็วขึ้นและปัญหาที่ยิ่งไปกว่านั้นคือขาของเขา หมอบอกเขาว่าห้ามออกกำลังกายหนัก ๆ หกเดือน เขาสามารถเดินได้ตามปกติแต่ไม่อาจเดินมากเกินไปได้ กีฬาที่ทำให้เข่าเสื่อมเช่นการปีนเขา ยิ่งต้องห้าม ไม่อย่างนั้นจะมีความเสี่ยงสูงมาก ในความมืด ลมหนาวพัดแรง ต้นไม้เสียดสีมีเสียงกรอบแกรบ เขาหยุดเมื่อร่างกายส่งสัญญาณเจ็บปวด เขาเปิดรายชื่อและพยายามโทรหาบอดี้การ์ด แต่มือถือไม่มีสัญญาณ เขาสามารถลงจากเขาได้ ด้วยความแข็งแรงของร่างกายที่มีสามารถพาเขาลงจากภูเขาได้ แต่เขากลับไม่มีความคิดนั้นเลยแม้แต่เสี้ยววินาที เขาอดทนต่อความเจ็บปวดและปีนต่อไป
จู่ ๆ ดวงตาของเธอก็ถูกดึงดูดด้วยลำแสงที่อยู่ไม่ไกล! เธอหันไฟฉายโทรศัพท์ไปทางลำแสงนั้น ในหุบเขาที่รกร้างนั้น มีร่างสูงโปร่งนอนอยู่! “ฟู่ซื่อถิง!” โทนเสียงของเธอต่ำลง เธอรีบวางมือลงบนพื้นแล้วปีนขึ้นไปบนหุบเขาสูงชัน “ฟู่ซื่อถิง ฉันอยู่นี่แล้ว! ไม่ต้องกลัวนะ! ไม่เป็นไร คุณจะไม่เป็นไร!” บอดี้การ์ดได้ยินเสียงกรีดร้องของเธอ จึงตะโกนจากที่สูง “ฉินอันอัน! คุณเจอเจ้านายแล้วใช่ไหม?!” “...เจอแล้ว! เขาตกลงมา! หน้าเขามีเลือดเต็มเลย!” ฉินอันอันระงับอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้และขอความช่วยเหลือจากเขา “คุณรีบมาทางนี้เร็วเข้า!” หลังจากพูดจบ เธอสูดหายใจและกระโดดไปทางที่ฟู่ซื่อถิงอยู่ เท้าของเธอแพลง เธอเจ็บจนแทบจะหายใจไม่ออก จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา เธอรีบคลานไปหาฟู่ซื่อถิงและกอดเขาไว้แน่น! “ฟู่ซื่อถิง! ตื่นสิ! อย่าหลับ! อย่าหลับนะ!” เธอจับใบหน้าที่เย็นเฉียบของเขาด้วยมือทั้งสองข้างพลางโน้มศีรษะลงและผายปอดให้เขา บนภูเขาไม่มีสัญญาณ พวกเขาไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้ บอดี้การ์ดแบกฟู่ซื่อถิงไว้บนหลังแล้วลงจากภูเขาไป มือของฉินอันอันจับกิ่งไม้พลางร้องไห้ขณะลงจากภูเขา ‘เกิดเรื่อ
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเอ หลังจากที่ฉินอันอันทานอาหารเย็นที่มหาวิทยาลัยเสร็จ เธอก็อยู่อ่านหนังสือต่อที่นี่ ขณะที่เธอกำลังตั้งใจอ่าน จู่ ๆ ก็เกิดเสียงโห่ดังมาจากรอบตัว! “หิมะตกแล้ว! นี่เป็นหิมะแรกของปีนี้! ตกหนักมากเลย! ไปเล่นหิมะกันเถอะพวกเรา!” “ได้! ฉันอยากออกไปถ่ายรูป!” ...... คนในห้องสมุดส่วนใหญ่รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ฉินอันอันอดไม่ได้ที่จะเดินไปดูหิมะที่กำลังตกหนักริมหน้าต่าง ‘หิมะตกหนักมาก สวยจัง!’ ไม่แปลกใจเลยที่ในอินเทอร์เน็ตบอกว่าการสารภาพรักในช่วงหิมะแรกจะประสบความสำเร็จ เพราะสิ่งสวยงามทำให้คนมีความสุข “เธอ มีคนโทรมา!” มีคนเดินเข้ามาด้านหลังของฉินอันอันและตบไหล่ของเธอ เธอได้สติและได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอ “ขอบคุณนะ!” เธอเดินกะโผลกกะเผลกจากหน้าต่างกลับไปยังที่นั่งของเธอครั้งก่อนที่เธอเท้าแพลงบนภูเขา เธอไปหาหมอช้าไปหน่อยเท้าของเธอบวมมากและยังไม่หายดีแต่สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเธอ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย ไม่รู้ว่าปลายสายพูดว่าอะไร แต่จู่ ๆ หางตาและคิ้วของเธอก็ยกขึ้น ดวงตาของเธอเป็นประกาย หลังจากวางสายแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของ
“ผมคิดว่าพี่ซื่อถิงไม่ได้โกรธเธอจนไม่อยากเจอหน้าหรอก...ผมถามบอดี้การ์ดของเขาแล้ว บอดี้การ์ดบอกว่าหน้าของเขาถูกกิ่งไม้ข่วน เขาเป็นคนที่รักหน้ายิ่งชีพ เมื่อใบหน้ามีบาดแผล ย่อมไม่อยากพบใคร” “อย่างนี้นี่เอง! ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกอันอันตอนนี้เลย! ไม่อย่างนั้นเธอคงคิดฟุ้งซ่านไปเองต่าง ๆ นานาแน่!” หลีเสี่ยวเถียนส่งข้อความถึงฉินอันอันเรื่องที่เฮ่อจุนจือพูด ฉินอันอันส่งหน้ายิ้มกลับมา หลีเสี่ยวเถียนยังคงส่งข้อความถึงเธอต่อ : อีกครึ่งเดือนก็ถึงวันเกิดของฟู่ซื่อถิงแล้ว เธอคิดหรือยังว่าจะให้ของขวัญอะไรเขา? ฉินอันอัน : ยังเลย ฉันไม่รู้จะให้อะไรเขาดี หลีเสี่ยวเถียน : อากาศหนาวแบบนี้ เธอก็ถักเสื้อกันหนาวให้เขาสิ! ฉินอันอัน : ถามจริง? สมัยนี้ใครเขาใส่เสื้อกันหนาวถักกันล่ะ? หลีเสี่ยวเถียน : บอกให้ถักก็ถักเถอะ ชายแท้เขาชอบใส่แบบนี้กัน ฉินอันอัน : ปัญหาคือฉันถักไม่เป็นน่ะสิ! หลีเสี่ยวเถียน : คนขายถักจะสอนเธอเอง! ถ้ายังทำไม่เป็นอีกก็ดูวิดีโอในอินเทอร์เน็ตสิ! เธอฉลาดจะตาย เรียนรู้แป๊บเดียวก็ทำได้แล้ว! ฉินอันอัน : ทำไมเธอถึงคะยั้นคะยอจะให้ฉันถักเสื้อกันหนาวให้ได้ล่ะ? หลีเสี่ยวเถียน :
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง