“ไม่เป็นไร...กูแค่ลืมของเอาไว้ที่บ้านคนรู้จัก เลยจะแวะไปถามดูว่าของยังอยู่หรือเปล่า”
คนบนเก้าอี้ฝั่งผู้โดยสารบอกพลางดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ ทำให้คนนั่งหลังพวงมาลัยรถถึงกับหันขวับไปมอง “กูตั้งใจจะไม่ยุ่งเรื่องของมึง แต่มึงก็พูดเป็นปริศนาอยู่ได้ ทำให้กูสงสัยอีกแล้วเนี่ย” เกริกวิทย์บ่นก่อนจะสตาร์ตรถ แล้วเคลื่อนรถออกไปจากอาคารท่าอากาศยานเพื่อพาเพื่อนไปส่งยังโรงแรมตามที่เจ้าตัวต้องการ “มึงรู้...” อาณัติเปรย ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างรู้ทัน ส่วนเกริกวิทย์ก็ไม่รักษาท่าที เมื่อเจ้าตัวแย้มมา เขาก็รุกถามอย่างไม่ให้เสียเวลาเช่นกัน “มึงมีธุระกับใคร คนพี่...หรือคนน้อง” “คนน้องเกี่ยวอะไรด้วย” “กูก็ถามไปอย่างนั้น” ปากก็พูดไป แต่สายตาชำเลืองมองอาณัติไปด้วย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เขาก็พูดถึงคนพี่อย่างจริงจัง “แน่ใจหรือว่าพี่ป้องยังอยู่บ้านเดิม ไม่ใช่ว่าหนีหนี้หายไปแล้วนะ” “เขาติดหนี้ใครอีก” “กูไม่รู้หรอก ได้ยินแต่รุ่นพี่เขาพูดกัน แต่มันน่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะถ้าหลอกเงินมึงไปได้หลายแสน คนอื่นก็คงหลงเป็นเหยื่อได้เหมือนกัน” “ตอนนั้นกูโง่” “มึงไม่โง่หรอก กูเชื่อว่าถ้าเป็นคนอื่น มึงก็ต้องระแวงบ้างละ แต่ที่มึงยอมช่วยเขาหลายครั้ง คงเพราะเห็นว่าเขาเป็น...เป็นพี่ป้องนั่นแหละ” “เรียกว่าใจดีจนเสียสติ” “แล้วคราวนี้มึงจะไปบ้านเขาทำไม ทวงเงินเหรอ...แต่ก็น่าสนอยู่นะ กว่ามึงจะหาเงินก้อนนั้นมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ทำงานเหนื่อยเหมือนกันนะโว้ย” เกริกวิทย์รู้ดีว่าอาณัติทำงานหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี กระทั่งไปเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศด้วยกัน ใครจะเชื่อว่าลูกเศรษฐีอย่างเพื่อนเขานั้นทำงานรับจ้างส่งเสียตัวเองเรียนโดยไม่ใช้เงินจากทางบ้านเลย…แถมเรียนจบกลับมาก็ยังมีเงินติดตัวอีกตั้งหลายแสน แต่สุดท้ายปกป้องก็หลอกเอาไปจนสิ้น ซึ่งเป็นเหตุให้อาณัติตัดสินใจกลับไปทำงานที่อเมริกาต่อ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาตั้งใจกลับมาปักหลักที่เมืองไทยแล้วด้วยซ้ำ “กูคิดว่า...กูควรไปเป็นเพื่อนมึงด้วย” หลังจากปล่อยให้ความเงียบคั่นกลางนานหลายนาที เกริกวิทย์ก็พูดขึ้น แต่พอเห็นอาณัติมองมา เขาก็รีบออกตัว “อ้ะๆ อย่าคิดว่ากูไปเสือก แต่มึงไปทวงเงินเขา มันเสี่ยง เรื่องพวกนี้ไม่เข้าใครออกใคร กูไม่ไว้ใจลูกหนี้ของมึง” “กูไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” “งั้นพรุ่งนี้กี่โมง บอกมา กูจะขับรถไปให้” เกริกวิทย์บอกเสียงจริงจัง เขาให้ใจเพื่อนคนนี้เสมอ ส่วนอาณัติก็เข้าใจความห่วงของเพื่อนเป็นอย่างดี แต่อย่างที่บอก...เขาเลิกทำตัวไร้สติมานานแล้ว “อย่าเลย พรุ่งนี้วันหยุด มึงอยู่กับแฟนเถอะ” “ห่างกันแล้ว” คนพูดจาขึงขังเมื่อสักครู่เปลี่ยนน้ำเสียงฉับพลัน “เสียใจด้วยนะ” “ไม่เป็นไร...ช่างมันเถอะ” เกริกวิทย์ไหวไหล่ สลัดดวงหน้าของคนที่เข้ามาซ่อนอยู่ในความคิดเนืองๆ ให้หลุดไป และเขาก็ทำได้ไม่ยากเสียด้วยห้องสวีตของโรงแรมซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสนามบินดอนเมืองเป็นที่พักของอาณัติในค่ำคืนนี้ หลังจากเข้าไปในห้องพัก เขาก็อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วติดต่อไปหาคุณนายอรอร แต่พอรู้ว่าแม่กำลังคุยอยู่กับว่าที่พี่สะใภ้ ชายหนุ่มก็วางสาย...เพราะตั้งใจจะบอกให้แม่รู้แค่ว่าตอนนี้เขาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว
ความที่ห่างบ้านไปนาน อาณัติรู้ว่าแม่เป็นห่วง แม่ไม่เคยรู้เหตุผลว่าทำไมเขาต้องกลับไปทำงานที่อเมริกา ทั้งที่สัญญากับแม่แล้วว่าเมื่อเรียนจบปริญญาโท เขาก็จะกลับมาช่วยแม่ทำงาน ในเวลานั้น ถึงเขาจะบอกแม่ อาณัติก็ไม่มั่นใจว่าแม่จะเข้าใจเขาหรือเปล่า เขาจึงตัดสินใจปิดปากเงียบ ไม่บอกแม้กระทั่งพี่ชายทั้งสองคน ซึ่งเรื่องนี้นอกจากตัวเขาเองแล้ว ก็มีเพียงเกริกวิทย์เพื่อนสนิทที่รู้เหตุผลและความเป็นมาเป็นไป ‘พวกเขาทำให้กูเสียความเชื่อมั่น ทำให้กูเสียความภูมิใจในตัวเอง กูแค่อยากสร้างศรัทธาให้ตัวเองใหม่’ คนที่นั่งไหล่ลู่ในร้านอาหารกึ่งผับมาหลายสิบนาทีในเวลานั้นบอกเพื่อนร่วมโต๊ะที่มีเพียงหนึ่งเดียวให้รู้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่อาณัติจะพูดคำนี้ออกมาได้ เขาทบทวนอยู่หลายวันถึงยอมรับว่าตัวเองพ่ายและพลาดไปแล้ว เขาอยากกอบกู้สิ่งที่สูญหายไปให้กลับคืนมา เขาไม่อยากกลายเป็นคนที่สูญเสียศรัทธาในตัวเองและคนรอบข้างไปเพียงเพราะการกระทำของพี่น้องคู่นั้น‘กูเข้าใจมึง ไปเถอะ แล้วยังไงก็ติดต่อกลับมาหากูด้วย ถ้ามึงมีปัญหา อยากให้กูไปหาที่นั่นก็ย่อมได้เสมอ แค่บอกมา ถึงกูไม่มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบิน กูก็จะไปไถเงินเสี่ยยศเพื่อมึง’แม้เป็นการพูดติดตลก แต่อาณัติรู้ดีว่าถ้าถึงคราวจำเป็น เกริกวิทย์สามารถทำให้มันเป็นเรื่องจริงได้ในที่สุดเขาก็ผ่านช่วงเวลาย่ำแย่นั้นมาได้ เขาสมัครเข้าทำงานด้วยวุฒิที่เรียนจบในอเมริกา ผ่านช่วงเรียนรู้งานในเวลาสั้นๆ จากนั้นชีวิตคนทำงานในต่างแดนของเขาก็อยู่ตัว ในหลายขณะ อาณัติคิดจะปักหลักอยู่ที่อเมริกา แต่เป็นเพราะเขายังติดค้างสัญญากับแม่ว่าจะกลับมาช่วยทำงาน ชายหนุ่มจึงตัดใจ เวลาสี่ปีมันนานเพียงพอสำหรับเขาแล้ว...นานพอที่จะสร้างเขาคนใหม่ และนานพอที่ทำให้เขาไม่เจ็บปวดหัวใจเมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้น ‘พี่ของแกจะแต่งงาน’ตอนที่เปิดโทรศัพท์มือถือมาเห็นข้อความของแม่ อาณัติก็ยิ้มอย่างดีใจและเกิดความโล่งใจขึ้นอย่างประหลาด...รู้ทันทีว่าถึงเวลาที่เขาควรกลับบ้านแล้ว เวลาสี่ปีไม่ทำให้สภาพแวดล้อมของหมู่บ้านนี้เปลี่ยนไป อาณัติเดินเตร็ดเตร่เข้าไปในซอย หลังจากบอกแท็กซี่ให้จอดส่งเขาที่ริมถนนใหญ่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านบ้านเดี่ยวชั้นเดียว
“พ่อเราหนีไป ไม่อยู่เลี้ยงเราใช่ไหม”เพิ่งรู้ตัวว่าตนใจร้ายเกินไปก็ตอนที่เห็นดวงหน้าเล็กนั้นเบ้ ทำท่าจะร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่ได้ไหลออกมา เพราะเจ้าตัวฮึบไว้ได้ทัน ก่อนจะมองแรงมายังเขา ทั้งที่น้ำใสๆ ยังรื้นหน่วยตา“อชิโป้งคุณลุง ไม่ให้คุณลุงมาบ้านอชิ”อาณัติเองก็จังงังไปเลย คำพูดของเขาแรงไปสำหรับเด็กชาย เขาไม่ควรตั้งป้อมกับเด็ก เพราะมันเป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ ไม่ว่าพ่อเจ้าเด็กคนนี้ทำอะไรกับเขาไว้ แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับคนเป็นลูก“ฉันขอโทษแล้วกันนะ”“อชิโกรธ อชิจะฟ้องคุณตาด้วย”เออวะ ขอโทษแล้วไง ทำไมไม่หายโกรธอีก เป็นครั้งแรกที่อาณัติจนมุม ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร เขาไม่คุ้นกับเด็ก ด้วยความที่เป็นลูกคนเล็กในบ้าน เขาจึงไม่ต้องเอาใจใคร และตั้งแต่จำความได้ เขาจะได้รับการปกป้องจากแม่และพี่ชายทั้งสองคนเสมอ คนเหล่านี้ดูแลเขาปานไข่ในหิน คงเป็นเพราะพ่อของเขาจากไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็กมาก แม่กับพี่ชายจึงพยายามทำหน้าที่นั้นแทนและจะว่าไป ถ้าเด็กคนนี้เป็นลูกชายของปกป้อง ความที่พ่อหนีไปไม่ได้เลี้ยงดู หนูน้อยก็ถือเป็นเด็กที่น่าสงสารเหมือนกัน“เราจะฟ้องใครก็ตามใจ แต่ลุงสัญญาว่าจะไม่พูดไม่ดีกับเราอีก โอเค
“ได้ยินว่าพี่ป้องย้ายไปอยู่ทางใต้ แล้วเขาก็มีแฟนที่นั่น กูไม่รู้ว่าเด็กที่มึงเห็นเป็นลูกจากแฟนคนนี้หรือเปล่า”“ถ้าเขากับแฟนไม่มีปัญหากัน แล้วจะเอาลูกมาทิ้งไว้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นทำไม มันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่จะเลี้ยงเด็กสักคนให้โตขึ้นมา...ถ้ากูมีลูก กูไม่ปล่อยลูกกูไว้แบบนั้นแน่”“มึงก็พูดง่ายไป คนมีทางเลือกดีๆ ก็ไม่มีใครอยากอยู่ในที่ที่ไม่ดีหรอก...ว่าแต่สิ่งแวดล้อมที่พูดถึง มันเป็นยังไงวะ”“คล้ายชุมชนเข้าไปทุกที” อาณัติให้นิยามสั้นๆ หากมองอีกมุมก็คล้ายหมู่บ้านร้างในหนังสยองขวัญไม่ผิดเพี้ยน เงียบและเก่าโทรม ไร้การดูแล แม้แต่หน้าบ้านหลังเป้าหมายที่เขาไปในวันนี้ ประตูรั้วยังมีสนิมเกรอะจนเขาแทบไม่กล้าแตะเพราะกลัวบาดทะยักชายหนุ่มกำลังคิดขำๆ สมองของเขามีแต่บรรยากาศรอบๆ บ้านหลังที่แวะเวียนไปหากับเด็กชายแก้มกลมหัวหย็องคนนั้น“น้องกุ๊บกิ๊บล่ะ เจอเขาหรือเปล่า”มันห้ามไม่ให้เขาหยุดชะงักไม่ได้ มือที่กำลังหยิบแก้วเหล้าของอาณัติค้างกลางอากาศ…“เมื่อกี้มึงถามถึงคนบ้านนั้นเอง กูก็เลยพูดถึงน้องเขาด้วย”“กูไม่ได้ว่าอะไร” อาณัติไหวไหล่เมื่อตั้งตัวได้ “กูไม่เจอเขา แล้วมึงรู้เรื่องของเขาบ้างไหม”“ไม่รู้
ไปรยาเห็นดวงหน้าเล็กกลมโผล่มามองจากกรอบประตูบ้าน…ชะรอยเจ้าตัวน้อยจะรู้ว่าตนได้ทำบางสิ่งที่สร้างความไม่สบายใจให้กับแม่แล้วหญิงสาวหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ไม้หน้าบ้าน ซึ่งปกติมันเป็นที่นั่งเล่นชั้นดีของลูกชาย แล้วเรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน“อชิ มาหาแม่มาลูก” อชิระเดินไปหาแม่ตามคำเรียก แล้วเบียดกายเล็กเข้าไปหาด้วยท่าทีประจบ จนหัวใจของคนเป็นแม่อ่อนยวบ ไปรยาไม่เคยโกรธหรือโทษลูกสักที ไม่ว่าลูกทำสิ่งใดลงไป เพราะหล่อนถือเป็นความรับผิดชอบของตัวเองทั้งสิ้น หญิงสาวลูบใบหน้าชื้นเหงื่อของลูกอย่างแสนรัก เพ่งพิศดวงหน้าเล็กด้วยหัวใจไหววูบ“เมื่อวานตอนที่แม่ไม่อยู่ มีคนมาที่บ้านเราหรือจ๊ะ”“ครับ”“อชิรู้จักเขาไหม”เด็กชายส่ายหน้าหวือ หากประกายบางอย่างในดวงตากลมทำให้ไปรยาต้องเอียงคอมอง แล้วถามนำทาง“มีอะไรจะเล่าให้แม่ฟังไหม” “อชิโป้งคุณลุง”“เขาทำให้ลูกโกรธหรือจ๊ะ”อชิระพยักหน้าหงึกๆ แล้วมุ่นคิ้วคิด ด้วยกำลังเรียบเรียงเหตุผลเพื่อบอกแม่“อชิจะเข้าบ้าน แล้วคุณลุงมาขวาง...ไม่ให้อชิเข้าครับ”“แล้วลูก เอ่อ...คุยกับเขาด้วยไหม”“คุยเยอะแยะเลยครับ” บอกแม่ว่าคุยเยอะแยะ แต่เจ้าตัวเล็กก็ต้องใช้ความคิดอีกนั่นแหละว่
ไปรยาไม่รู้ว่าของที่อาณัติพูดถึงเป็นอะไร เขาหมายถึงเงินที่ปกป้องยืมไปทุ่มในร้านอาหารกึ่งผับที่เปิดข้างมหาวิทยาลัยแล้วขาดทุนจนทุนจมหาย หรือยังมีของชิ้นอื่นที่พี่ชายของหล่อนเอาไปอีกกันแน่“ถ้าถามจากพี่ป้อง รายนั้นคงบอกความจริงไม่หมดอยู่ดี”ช่วงแรกไปรยายังต้องรับมือกับบรรดาเจ้าหนี้ของพี่ชาย ส่วนคนต้นเหตุนั้นหนีหายตั้งแต่รู้ตัวว่าไม่สามารถกอบกู้ร้านอาหารมาได้แล้ว ปกป้องบอกหล่อนว่าจะไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้ ไปรยาจึงสนับสนุน แต่นานไปถึงรู้ว่าพี่ชายจงใจหนี เขาตัดช่องทางติดต่อกับครอบครัว หล่อนจึงต้องรับหน้ากับเจ้าหนี้ของเขาตามลำพัง...ในเวลานั้นไปรยาไม่กล้าบอกให้พ่อรู้ แต่นั่นแหละ สุดท้ายหล่อนก็ปิดความลับนี้ไม่ได้พ่อผิดหวังในตัวปกป้อง แต่หล่อนก็ไม่ได้ดีไปกว่าพี่ชาย เพราะในวันเดียวกัน พ่อยังต้องมารับรู้ว่าลูกสาวคนเดียวกำลังตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กอีกด้วยสีหน้าเจ็บปวดและผิดหวังของพ่อยังตราอยู่ในใจ ไปรยาร้องไห้ ความอ่อนแอและสิ้นหวังจู่โจมเข้ามาอย่างถึงที่สุด ในบางค่ำคืนเมื่อหลับตานอน ไปรยาเคยภาวนาว่าขอให้พรุ่งนี้ตนไม่ต้องตื่นมาอีกเลยความทุกข์ของหญิงสาวไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของพ่อ พ่อ
อชิระเป็นเด็กว่าง่ายกับแม่ ตั้งแต่รู้ความมาก็แทบไม่ดื้อและไม่ค้านอะไรทั้งสิ้น สองแม่ลูกเดินมาถึงหน้าหมู่บ้าน แล้วจึงหยุดอยู่ริมถนน มือน้อยๆ ของลูกชายก็กระตุกมือของแม่เมื่อเจ้าตัวเห็นรถคันใหญ่แล่นผ่านหน้าไป“อชินั่งรถเมล์ไปรับพี่เลโอได้ครับ” ดวงตากลมของลูกที่แหงนมองมานั้นทำให้น้ำตาของคนเป็นแม่แทบคลอหน่วยตา...พลังใจจากลูกทำให้หล่อนมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นอีกมากโข“ไม่เป็นไรครับ วันนี้เรานั่งแท็กซี่ไปดีกว่า อชิกับแม่จะได้นั่งสบาย”“ได้ครับ แม่กุ๊บกิ๊บจะได้ไม่เหนื่อยด้วยครับ”เด็กชายยิ้มแฉ่ง มือเรียวนุ่มของแม่จึงลูบแก้มกลมๆ อย่างอดใจไม่ได้ ซึ่งเป็นจังหวะที่รถแท็กซี่แล่นมาจอดเทียบพอดีกว่าจะจัดการธุระสำคัญเสร็จ รถยนต์คู่ใจของไปรยาที่มีอายุมากกว่าสิบห้าปีก็มาจอดในที่ประจำเมื่อเวลาผ่านเก้านาฬิกาไปแล้วเมื่อเปิดประตูรถออกมา ไปรยาก็เร่งสาวเท้าลัดเลาะไปตามทางเดินริมสวนเพื่อไปยังจุดนัดหมาย แม้รู้ว่าตัวเองสาย แต่หล่อนก็พยายามไปให้ถึงเร็วที่สุดร่างของหญิงสาวในเครื่องแต่งกายด้วยเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำสวมรองเท้าผ้าใบลำลองนั้นอยู่ในสายตาของผู้ชายคนหนึ่ง เขามองหล่อนตั้งแต่วิ่งออกมาจากลานจอดรถ ก
“นั่นสิ...แต่กิ๊บก็ยังงงว่าพี่ยุ้ยขอบคุณกิ๊บทำไม” “ตอนแรกเขาจองสามวัน แต่พอเห็นกุ๊บกิ๊บเมื่อเช้า เขาก็เปลี่ยนใจจองยาวเป็นเดือนเลย ดูท่าจะกระเป๋าหนักน่าดู”“จริงหรือคะ แล้วเขาเป็นใครกัน” อารมณ์ดีใจที่โรงแรมมีลูกค้ารายใหญ่เข้ามาตั้งแต่เช้าค่อยๆ คลาย คุณแม่ลูกหนึ่งกะพริบตาปริบๆ สีหน้าระแวดระวังขึ้นมาทันใด การทำงานเป็นพนักงานอยู่ในโรงแรม แม้เป็นโรงแรมระดับดี แต่มักมีพวกเสี่ยใหญ่ที่ชอบหลอกล่อทีเล่นทีจริง แถมบางคนพอรู้ว่าหล่อนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความกระหาย“อยากรู้ชื่อลูกค้าหรือเปล่า” “ไม่เอาดีกว่าค่ะ ไม่ต้องบอก”ไปรยาปฏิเสธรัวเร็ว ขอไม่รู้ไม่เห็นและไม่เกี่ยวข้องไว้ก่อน เพราะดูท่าจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว ก่อนหล่อนจะจ้ำเท้าไปยังพื้นที่รับประทานอาหารมื้อเช้าของแขกที่เข้าพักในโรงแรมหญิงสาวเป็นพนักงานในสำนักงานส่วนหน้า วันนี้หล่อนเข้าทำงานสาย แม้จะบอกผู้จัดการไว้ก่อนแล้ว แต่หล่อนก็อยากชดเชยด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เต็มขีดภายในเวลาที่จำกัด และเมื่อถึงเวลาเลิกงานของตัวเอง หล่อนจึงแทบทรุดเพราะหมดแรง“ขอโทษนะคะที่วันนี้มาสายแล้วยังกลับเร็วอีก พรุ่งนี้สัญญาว่าจะเข้างานตั้ง
“เย่ๆ แม่กุ๊บกิ๊บมารับอชิแล้ว”แค่เปิดประตูรถออกมาหลังจากนำรถไปจอดหน้าประตูรั้วเตี้ยๆ หน้าบ้านพักครูประจำชั้นของลูกชาย ไปรยาก็ได้ยินเสียงใสๆ ดังขึ้น หัวใจที่เต้นระส่ำมาตลอดทางถูกปลอบประโลมด้วยรอยยิ้มของลูกอชิระกำลังยิ้มแป้น ดวงตาเรียวยิบหยี ก่อนเจ้าตัวน้อยจะหันไปบอกคุณครูที่ออกมาดูด้วยตัวเอง“คุณครูคร้าบ แม่อชิมาแล้วครับ”ท่าทางของเด็กชายนั้นสดใสร่าเริง หากไปรยาไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่หล่อนจะมาถึงนั้น อชิระเป็นอย่างไรบ้าง“สวัสดีค่ะ กิ๊บมารับอชิช้า ต้องรบกวนคุณครูให้ช่วยดูแล ขอโทษด้วยนะคะ”“ไม่เป็นไรค่ะ อชิบอกครูไว้แล้วว่าสงสัยวันนี้เลโอจะเกเร แม่กุ๊บกิ๊บเลยมารับช้า” คุณครูบอกอย่างเอ็นดู ไปรยาก็อดที่จะยิ้มอย่างภูมิใจในตัวลูกชายไม่ได้ ลูกชายเชื่อมั่นในตัวเธอ อชิระพยายามทำตัวเข้มแข็งเสมอ แต่ไปรยาก็รู้ว่าเจ้าตัวทำได้ดีในระดับที่เด็กสามขวบจะทำได้เท่านั้น หล่อนจึงพยายามไม่ผิดเวลานัด เพราะไม่อยากให้ลูกรู้สึกโดดเดี่ยวจนเกิดเป็นความไม่มั่นคงขึ้นในจิตใจ...ทว่าหลายครั้งก็ยังมีเหตุที่หล่อนไม่อาจควบคุมได้“งั้นอชิเข้าไปเอากระเป๋า แล้วลาคุณครูปุ้ย เราจะกลับบ้านกันค่ะ” เพียงแค่แม่บอก อชิระก็วิ่งปรู
เป็นเวลานานกว่าสองสัปดาห์แล้วที่อาณัติรับหน้าที่ไปรับอชิระกลับจากโรงเรียน โดยไปรยาได้แจ้งกับทางโรงเรียนไว้ล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากช่วงนี้สถานการณ์ของโรงแรมดีขึ้น ลูกค้าเข้ามาพักมากกว่าเดิม หัวหน้าแผนกจึงขอให้หล่อนยืดเวลาเลิกงานเป็นห้าโมงเย็นเหมือนกับพนักงานคนอื่นหลังจากเลิกเรียน อชิระจึงต้องอยู่กับพ่อ เพื่อรอแม่เลิกงานแล้วกลับบ้านไปพร้อมกัน ระหว่างนั้นเด็กชายจะอยู่ในห้องพักของพ่อในโรงแรม แต่บางวันพ่อก็จะพามาที่บ้านหลังใหม่ที่เพิ่งซื้อได้ไม่นาน ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ในโครงการหรูที่อชิระเคยมาดูพร้อมพ่อและแม่นั่นเอง และตอนนี้บ้านหลังนี้ก็อยู่ในระหว่างการตกแต่ง“พ่อครับ อชิเอาปลาหางปายูนมาอยู่กับปลาคาร์ปได้ไหมครับ”อชิระถามขึ้นเมื่อเกาะผนังกระจกในห้องพักผ่อนแล้วมองออกไปข้างนอก เห็นคนงานกำลังสร้างบ่อปลาคาร์ปภายในพื้นที่สวน เด็กชายเห็นว่าบ่อมีขนาดใหญ่ ถ้าหากจะให้ปลาหางนกยูงของตนมาอยู่ด้วยก็คงน่าสนใจไม่น้อย“ปล่อยให้ปลาหางนกยูงอยู่ในอ่างบัวนั่นแหละดีแล้ว มันอยู่ตรงนั้นสบายแล้วนะ”อาณัติเกรงว่าถ้าปล่อยให้ปลาทั้งสองชนิดมาอยู่ร่วมกัน ปลาหางนกยูงอาจ
ไปรยาออกมาจากห้องนอนหลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้ว เสียงโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นยังคงดังมาให้ได้ยิน หญิงสาวจึงเดินไปดูลูกชายที่นอนปิกนิกที่หล่อนปูไว้ให้นั้นว่างเปล่า แต่มีรอยยับย่นของผ้าปูนอนซึ่งบอกให้ว่าเจ้าตัวคงเพิ่งลุกไปไหนสักที่ และไม่ต้องมองหานาน หญิงสาวก็เห็นร่างเล็กยืนขยุกขยิกข้างโต๊ะไม้ตรงมุมห้อง ซึ่งบนโต๊ะนั้นมีช่อดอกไม้วางอยู่“อชิทำอะไรคะ” ไปรยาถาม หลังจากมองลูกอยู่หลายวินาที แล้วเด็กชายก็หันมาตอบ“อชิดูดอกไม้ครับ”“อชิชอบหรือคะ แม่ยกให้เอาไหม”“ไม่เอาครับ ดอกไม้ของแม่กุ๊บกิ๊บ พ่ออู๋ให้ดอกไม้สวยๆ แม่กุ๊บกิ๊บต้องเก็บไว้ดีๆ นะครับ”“หือ...อะไรเนี่ย ลูกชายของแม่”ไปรยานึกขันคนเจ้ากี้เจ้าการ ตั้งแต่เป็นธุระจัดการนำดอกไม้มาให้หล่อน กระทั่งบอกให้หล่อนเก็บดอกไม้ช่อนี้ไว้ดีๆ“งั้นแม่จะเอาดอกไม้ใส่แจกันไว้ก็แล้วกันนะคะ”ไปรยาตอบสนองคำพูดของลูกชาย เพราะเห็นว่าดอกไม้ช่อนี้คงมีราคาไม่น้อย หากปล่อยให้เหี่ยวเฉาเร็วเกินไปก็น่าเสียดาย
กว่าครอบครัวเล็กซึ่งประกอบด้วยพ่อแม่และลูกชายตามสายตาของพนักงานขายบ้านโครงการหรูจะเสร็จสิ้นจากการดูบ้านและขับรถออกจากโครงการก็เป็นเวลาใกล้หกโมงเย็น หากพวกเธอยินดีให้บริการ เพราะสัมผัสได้ว่าลูกค้ามีกำลังซื้อ อีกทั้งเขาสนใจที่จะซื้อบ้านอย่างจริงจังอาณัติพาไปรยาและอชิระไปรับประทานอาหาร เขาเลือกร้านอาหารที่อยู่ใกล้โครงการบ้านจัดสรรแห่งนั้น เพราะเห็นว่าเลยเวลาอาหารเย็นของเด็กชายไปพอสมควร แต่เจ้าตัวเล็กก็ไม่บ่นว่าหิวสักคำ เพราะได้กินทั้งนมและขนมไปจนอิ่มแปล้แล้วดังนั้นกว่ารถคันสีดำจะแล่นไปจอดหน้าบ้านชั้นเดียวหลังสีฟ้าได้ก็เป็นเวลาหัวค่ำ อาณัติลงจากรถแล้วไปเปิดประตูให้ลูกชายลงมา ขณะที่ไปรยากำลังไขกุญแจประตูรั้วบ้าน“อชิหยิบดอกไม้ของพ่อมาด้วย”ดอกไม้ช่อใหญ่ที่วางบนเบาะหลังข้างเก้าอี้ที่นั่งของอชิระยังคงงดงามดี แม้มันจะไม่สดเหมือนกับตอนที่ร้านมาส่ง เด็กชายหอบดอกไม้ช่อนั้นแทบไม่ไหว จนพ่อต้องยื่นมือไปช่วยอีกแรงไปรยาหันไปมองสองพ่อลูกที่ช่วยกันหอบดอกไม้ทั้งช่ออย่างแปลกใจ พวกเขาเดินผ่านประตูรั้วที่หล่อนเปิดกว้างไว้ให้เข้ามาในเขตบ้าน หล่อนนึกสงสัยว่าทั้งสองคน
“แม่ว่ายังไงครับ หลังนี้เป็นบ้านตัวอย่างนะ แต่จะมีอีกหลังที่คล้ายกัน อยู่ด้านหลังของโครงการ หลังนั้นไม่มีสระว่ายน้ำ อชิน่าจะชอบครับ เพราะรอบบ้านเป็นสนามหญ้าทั้งหมด”อาณัติกำลังวิดีโอคอลกับคุณนายอรอร ไปรยาเห็นเข้าก็ดึงลูกชายออกมาห่างๆ เพราะหล่อนไม่รู้ว่าแม่ของเขาคิดกับอชิระอย่างไร อีกทั้งหล่อนเองก็ยังไม่รู้จักแม่ของเขา รู้แต่ว่าท่านเป็นเศรษฐินีที่มีชื่อในระดับจังหวัด และหล่อนก็รู้เรื่องนี้หลังจากเลิกรากับอาณัติไปแล้ว‘ไอ้อู๋มันทิ้งกุ๊บกิ๊บไปเมืองนอก เพราะเงินไม่กี่แสนเนี่ยนะ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ไม่เข้าใจจริงๆ เป็นลูกเศรษฐีประสาอะไร...คิดเล็กคิดน้อยไม่เข้าท่า’ปกป้องต่อว่าอาณัติลับหลัง ไปรยาได้ฟังก็น้ำตาตกใน เวลานั้นหล่อนสับสน ทุกข์ใจ และหดหู่ ได้แต่รับรู้การตัดสินใจของพี่ชายว่าเขาจะออกไปจากบ้านด้วย แล้วสุดท้ายก็เหลือเพียงหล่อนคนเดียว กระทั่งพ่อเข้ามาจัดการจนทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ซึ่งทำให้ไปรยาลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าได้อีกครั้ง“กำลังคิดอะไร หน้าเศร้าอีกแล้ว”เสียงนุ่มทุ้มดังอยู่ใกล้ๆ ไปรยารู้สึกตัวก็ต
จุดหมายปลายทางของอาณัติเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่มีจำนวนบ้านไม่กี่หลัง หากแต่ละหลังนั้นเรียกว่าราคาไม่น้อย จากป้ายหน้าโครงการบอกว่าราคาเริ่มต้นอยู่ที่ยี่สิบล้านแล้วไปรยามุ่นคิ้ว แล้วหันไปถามเขา“คุณมาที่นี่ทำไมคะ”“พี่มีนัดกับอชิว่าจะมาเที่ยวที่นี่ ใช่ไหมครับอชิ”อาณัติตอบหญิงสาว ก่อนจะหาแรงสนับสนุนจากลูกชายซึ่งกำลังมองออกไปนอกรถอย่างสนใจ หากเจ้าตัวเล็กก็ไม่ลืมหันกลับมาพยักพเยิดกับพ่อ“ใช่ครับ พ่อพาอชิมาเที่ยว”ชะรอยว่าคำตอบของสองพ่อลูกจะไม่เป็นที่ถูกใจของคนเป็นแม่ หล่อนปั้นหน้าตูมพลางยกสองมือขึ้นมากอดอก เพราะรู้สึกว่าถูกลูกชายเอาใจออกห่างเรื่อยๆ แล้ว...แถมผู้ชายอีกคนก็เจ้าเล่ห์เหลือเกิน“พี่มาดูบ้าน ตัดสินใจปุบปับไปหน่อย เลยไม่ได้บอกกุ๊บกิ๊บไว้ก่อน เพื่อนพี่แนะนำโครงการนี้ให้ พี่โทร.มานัดกับเซลล์ไว้แล้ว เลยตั้งใจแวะมาดู”“ถ้าคุณจะซื้อบ้าน คุณไม่ต้องบอกฉันก็ได้ค่ะ” ไปรยารีบออกตัว อาการน้อยใจหายไปทันที เหลือแต่สีหน้าเก้อเขิน“พี่ไม่ได้ซื้อเองหรอก แม่เพิ่งบอกให้หาบ้านสักหลั
เมื่อรถคันสีดำแล่นไปถึงโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ไม่ห่างจากโรงแรมนัก ผู้ปกครองของเด็กชายอชิระก็พบว่าพวกเขามาถึงก่อนเวลาและมาถึงก่อนใคร เพราะในบริเวณลานจอดรถสำหรับผู้ปกครองนั้นยังไม่มีรถคันอื่นเลยสักคันอาณัติไม่เดือดร้อน เขากลับชอบเสียอีก เพราะอยากมีเวลาส่วนตัวกับไปรยาอยู่แล้ว หากหญิงสาวกลับรู้สึกตรงกันข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิงเพียงแค่รถจอดสนิท ไปรยาก็คิดอยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอก ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น การออกไปสัมผัสสายลมอ่อนๆ ที่พัดรินก็คงดีกว่าอยู่ภายในรถกับเขาหากแค่ยื่นมือไปแตะประตูรถเพื่อจะเปิดออก มืออีกข้างกลับถูกเขายึดไว้ สัมผัสจากมือหนาและร้อนผ่าวนั้นทำให้ไปรยาสะดุ้ง ซึ่งอาณัติก็ปล่อยทันที เพราะไม่อยากให้หล่อนตกใจหรืออึดอัดใจ“พี่อยากเริ่มต้นใหม่กับกุ๊บกิ๊บ”เมื่อได้เริ่มแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่อยากถอย อีกทั้งความห่วงใยในตัวหญิงสาวก็ทำให้เขาตัดสินใจเดินหน้า...หากเหมือนว่าเขารุกหล่อนเร็วเกินไป“ไม่ได้ค่ะ ฉันไม่สะดวก”ไปรยาตอบกลับทันควัน ปากคอสั่นทีเดียว เพราะไม่นึกว่าเขาจะพูดคำนี้ออกมา หล่อนตั้งตัวไม่ทัน และคำตอบ
อาณัติตัดสินใจบอกแม่ว่าตนยังไม่กลับบ้านในเร็วๆ นี้ โชคดีที่ผู้จัดการแผนกที่เขาทำงานอยู่นั้นส่งงานให้เขาทำทางไกลได้ ชายหนุ่มคิดจะใช้ห้องพักในโรงแรมทำงานไปยาวๆ...เพราะที่แห่งนี้เขาจะได้อยู่ใกล้ไปรยา อีกทั้งยังไปรับไปส่งลูกชายที่โรงเรียนได้ แล้วคำพูดของแม่ที่พ่วงตำแหน่งนายจ้างก็ทำให้หัวใจของชายหนุ่มเบิกบาน...หลังจากหงุดหงิดมาครึ่งค่อนวัน“เงินเดือนของแกทั้งเดือนยังไม่พอจ่ายค่าที่พัก ยังหวังจะดูแลลูกเมียอีกนะ”“งั้นผมพาลูกเมียไปเกาะแม่กินก็แล้วกัน แม่จะว่ายังไงครับ”“อย่าดีแต่ปากพูด พามาให้ได้เถอะ ถึงแกจะมีลูกเป็นโหล ฉันก็มีเงินพอให้แกเลี้ยงลูก...ว่าแต่แน่ใจนะว่าเมียของแกยังไม่มีคนอื่น”“กุ๊บกิ๊บไม่มีใครหรอก นอกจากผม แค่มองตาเขา ผมก็รู้แล้วแม่ แล้วเมื่อเช้าผมก็ไปนั่งกินข้าวในบ้านของเขามาแล้วด้วย ลูกชายของผมจัดการให้ผมเอง”“ดูท่าลูกแกจะฉลาดนะ”จู่ๆ ก็มีก้อนแข็งๆ ตีตื้นถึงลำคอ ไม่คิดว่าชีวิตนี้เขาจะรักใครได้มากขนาดนี้ในระยะเวลาไม่กี่วัน“ผมอยากให้แม่เจออชิ”“พามาบ้าน
เมื่อรถคันสีดำมาจอดหน้าโรงเรียนอนุบาลซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้าน อชิระปีนลงจากเก้าอี้เมื่อแม่เปิดประตูรถให้ แล้วเด็กชายก็จูงมือแม่เดินไปหาคุณครูที่รอรับอยู่หน้าประตูรั้วโรงเรียน“สวัสดีครับคุณครู อชิมาแล้วครับ”“สวัสดีค่ะอชิ สวัสดีค่ะคุณแม่”คุณครูที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีทักทายอชิระและแม่ของเจ้าตัว และดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันพิเศษของเด็กชายอีกด้วย“พ่ออู๋มาส่งอชิด้วยนะครับ”อชิระบอกอย่างมีความสุข ซึ่งไปรยาก็นึกไม่ถึงว่าลูกจะพูดออกมา แถมยังชี้ให้คุณครูดูพ่อของตัวเองที่ยืนอยู่ข้างรถอีกด้วยไปรยายืนส่งลูกอยู่ที่หน้าประตูรั้ว จนเห็นว่าลูกเข้าไปในห้องเรียน หล่อนจึงวางใจแล้วเดินออกมา พลันนึกได้ว่าตัวเองไม่มีรถมาด้วยนี่นะดวงหน้าสวยเงยขึ้นมา แล้วสบตากับคนที่ยืนเอียงคอมองอยู่ก่อนแล้ว“เชิญครับคุณแม่ของอชิ”อาณัติคงได้ยินคำพูดของลูกเมื่อสักครู่ รอยยิ้มกริ่มจึงเกลื่อนทั่วใบหน้า“หมดธุระของคุณแล้ว คุณก็กลับไปได้แล้วค่ะ ฉันจะไปรถรับจ้าง”“พูดเป็นเล่นน่า พี่จะกล
จากที่คิดว่าวันนี้มีเวลาเหลือเฟือ เพราะไม่มีธุระที่อื่น นอกจากไปส่งลูกชายที่โรงเรียนแล้วขับรถไปที่ทำงาน แต่กลับกลายเป็นเช้าของวันที่วุ่นวาย และดูท่าหล่อนจะต้องเร่งรีบเข้างานให้ทันเวลาไม่ต่างจากทุกวันไปรยาถอนหายใจ หลังจากที่หล่อนยอมตามใจผู้ชายต่างวัยทั้งสองคน ยอมแม้กระทั่งจอดรถของตัวเองไว้ที่บ้าน แล้วเข้าไปนั่งในรถของอาณัติเพื่อไปส่งอชิระที่โรงเรียน...แต่เรื่องยังไม่จบเท่านี้ เพราะพวกเขายังสร้างเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก“อชินั่งข้างหลังคนเดียวได้ไหมครับ”ผู้ใหญ่ที่นั่งประจำที่คนขับมานานนับนาที แต่ไม่ยอมเคลื่อนรถออกไป มองสองแม่ลูกที่นั่งข้างกันทางตอนหลัง แล้วถามเด็กชาย“อชิอยากให้แม่กุ๊บกิ๊บนั่งด้วย” อชิระรู้ทัน คว้าหมับที่ต้นแขนของแม่ไว้ แต่พ่อก็ยังต่อรอง“พ่อขอแม่กุ๊บกิ๊บมานั่งข้างๆ พ่อสักวันได้ไหมลูก เดี๋ยวพ่อคืนให้”อชิระมุ่นคิ้วคิด เจ้าตัวเล็กอยากให้แม่นั่งกับตัวเอง แต่พอคิดว่าแลกกับการให้พ่อไปส่งที่โรงเรียนในวันนี้...เด็กชายก็พอจะตัดใจให้แม่ไปนั่งข้างพ่อได้“ก็ได้ครับ แต่อชิให้พ่อยืมนะครับ” บอกให