เสียงข้อความดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่ตรงระเบียงเรือนพักของรีสอร์ตริมทะเลต้องหยุดตัวเอง เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะข้างประตูขึ้นมาอ่าน
คุณนายอรอร : อยู่ที่ไหน จะกลับบ้านเมื่อไร อาณัติเผลอยิ้ม แม้เป็นข้อความตัวอักษร แต่ให้ตายเถอะ เขาอ่านเป็นเสียงของแม่ไปได้อย่างไร อาณัติ : อยู่ที่ภูเก็ตครับ วันนี้จะกลับกรุงเทพฯ มะรืนนี้อย่าลืมให้คนขับรถมารับผมที่โรงแรมด้วยนะครับ แค่กดส่งข้อความไปไม่กี่วินาที ยังไม่ทันวางโทรศัพท์มือถือลงที่เดิม เสียงสายเรียกเข้าก็ดังขึ้น และแน่นอนว่าเป็นคนที่เขาคาดไว้นั่นแหละที่โทร.เข้ามา “ว่าอย่างไรครับแม่” ลูกชายคนเล็กของคุณนายอรอรส่งเสียงรื่นเริงทักทาย และคนปลายสายก็เข้าเรื่องอย่างไม่ยอมให้เสียเวลา “แกกลับมาเมืองไทยตั้งหลายวันแล้ว ป่านนี้ยังกลับไม่ถึงบ้าน พี่ชายแกจะแต่งงานทั้งที ฉันอุตส่าห์บอกเนิ่นๆ ให้แกมีเวลาเตรียมตัว แกจะได้ไม่ฉุกละหุก แต่ดูสิ แทนที่จะกลับบ้านเลย แกกลับแวะรายทางตั้งแต่ใต้จดเหนือ...แล้วอยู่ที่นั่นมากี่วันแล้วล่ะ” “เจ็ดวันพอดีครับ เช็กเอาต์วันนี้ บ่ายๆ ผมก็ขึ้นเครื่องไปกรุงเทพฯ” รอยยิ้มเกลื่อนบนใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มคร้ามแดด ก่อนเขาจะหยอกแม่ “ผมอยากจะพักสักเดือนด้วยซ้ำ เสียแต่ว่าค่าที่พักแพงไปหน่อย ขืนอยู่ยาว กระเป๋าผมแห้งพอดี เดี๋ยวจะไม่มีเงินรับขวัญหลานคนแรกของคุณนายอรอร” “ยังดีที่คิดได้ อีกหกเดือนพี่สะใภ้แกก็คลอดลูก พี่ชายแกจะเป็นพ่อคน ส่วนแกก็เป็นอา แกกำลังจะมีหลานเป็นตัวเป็นตนแล้วนะ” แม้ไม่ใช่วาจาอ่อนหวาน แต่อาณัติสัมผัสได้ว่าเสียงของแม่เจือความปลาบปลื้มอยู่ไม่น้อย...นึกไป มันก็เป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดในครอบครัวของเขา แต่ชายหนุ่มก็อดที่จะแปลกใจกับพี่ชายคนโตไม่ได้ “ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับพี่อั๋น ทำไมถึงปุบปับรับโชค เฮียเล่นซะไม่ให้ผมเตรียมใจกันเลย ทีเมื่อก่อนทำเสียงแข็งว่าจะไม่มีลูกเมีย แม่พูดเรื่องพวกนี้ทีไร ผมเห็นพี่อั๋นโบ้ยให้ผมกับพี่โอ๊ตรับไปทุกที” “จะเกิดอะไร...” คุณนายขึ้นเสียงสูง คราวนี้น้ำเสียงเจือความหมั่นไส้อยู่เต็มร้อย “พี่แกแค่คิดได้ว่าถึงเวลามีเมียมีลูก อายุอานามก็ปูนนี้กันแล้ว จะทำตัวล่องลอยเหมือนบางคนอยู่ได้ยังไง” อาณัติหัวเราะ...รู้ทันว่าถูกแม่แซะเข้าให้แล้ว “ถ้าผมเกิดปุบปับเหมือนพี่อั๋นขึ้นมาบ้าง แม่จะว่ายังไง” “รับรองว่าฉันไม่หัวใจวาย แกก็เถอะ อย่าดีแต่ปาก ทำให้มันจริง” เอากับคุณนายอรอรสิ เมื่อกี้เขาแกล้งแหย่ไปเท่านั้นเอง...รู้ซึ้งเลยว่าถ้าไม่แน่จริง ไม่มั่นใจว่าทำได้ ก็อย่าไปท้าแม่ของเขา “งั้นขอเวลาหน่อยนะ เพราะผมทำแต่งานมาหลายปี กลับไปที่อเมริการอบนี้ ผมเดตสาวไม่กี่ครั้งเอง ยากละที่โชคจะมาถึงตัวเหมือนพี่อั๋น” “พูดดีไปเถอะ ใครจะไปรู้เรื่องของแก แกร่อนไปทั่วทั้งไทยและต่างประเทศอยู่ตั้งหลายปี ถ้าจู่ๆ มีเด็กโผล่มาเรียกฉันว่าย่าอีกคน ฉันก็ไม่ตกใจ” อยากบอกแม่ว่าไม่มีทาง เพราะตลอดสี่ปีที่อยู่ในอเมริกา เขาใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ เรียกได้ว่าสติอยู่กับตัวตลอดเวลา...ชดเชยกับความก้าวพลาดที่ผ่านมา หากอาณัติก็ไม่ค้านแม่ เขาได้แต่ยิ้มรับ ก่อนที่จะขอวางสายเพื่อเก็บกระเป๋าเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในบ่ายวันนี้ เขามีเรื่องต้องจัดการที่นั่น บางสิ่งยังคาราคาซังอยู่เครื่องบินโดยสารภายในประเทศที่ออกจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตแตะรันเวย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลาเย็น ชายหนุ่มร่างสูงวัยใกล้สามสิบปีเดินปะปนมากับผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกัน และคนที่ยืนรอรับก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณเมื่อเห็นเขา
อาณัติเดินไปหาผู้ชายร่างสูงไล่เลี่ยกับเขา หลังจากทักทายตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่เจอกันหลายปี ฝ่ายนั้นก็ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเขามีกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบกับเป้ใส่สัมภาระอีกใบเท่านั้น “ของมีเท่านี้หรือวะ กูอุตส่าห์เอารถใหญ่ที่บ้านมา กะว่าจะได้ขนของให้มึงได้สะดวก” “มีเท่านี้แหละ กระเป๋าส่วนใหญ่ส่งกลับบ้านไปก่อนแล้ว” “อ๋อ! ถึงว่าสิ...งั้นกลับกันเลย กูจองโรงแรมไว้ให้แล้ว ความจริงมึงพักที่คอนโดกูก็ได้ ไม่เข้าใจเลยว่าจะให้กูหาโรงแรมแถวนั้นทำไม มึงก็ไม่ได้นั่งเครื่องบินกลับบ้านไม่ใช่เหรอ” มันน่าสงสัยที่อาณัติบอกให้จองโรงแรมแถวดอนเมือง เพราะรู้ว่าเจ้าตัวให้รถที่บ้านมารับในวันมะรืน ไม่ใช่จะนั่งเครื่องบินจากสนามบินดอนเมืองกลับบ้านที่ต่างจังหวัดสักหน่อย...อีกทั้งระยะทางจากที่ตรงนี้ไปยังโรงแรมที่จองไว้ก็เรียกว่าขับรถข้ามฟากเมืองกันทีเดียว “กูมีธุระแถวนั้น” “ธุระอะไร” คนปากไวถามต่อ แต่ฉุกคิดได้ทัน “ขอโทษที ลืมตัว ถามซอกแซกไปหน่อย” อาณัติไม่ได้ตอบในทันที จนทั้งสองคนเดินไปถึงรถคันใหญ่ที่จอดไว้ หลังจากนำข้าวของไปวางบนเบาะหลังเสร็จเรียบร้อย พวกเขาจึงเปิดประตูรถเข้าไปนั่งทางตอนหน้า“ไม่เป็นไร...กูแค่ลืมของเอาไว้ที่บ้านคนรู้จัก เลยจะแวะไปถามดูว่าของยังอยู่หรือเปล่า” คนบนเก้าอี้ฝั่งผู้โดยสารบอกพลางดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ ทำให้คนนั่งหลังพวงมาลัยรถถึงกับหันขวับไปมอง “กูตั้งใจจะไม่ยุ่งเรื่องของมึง แต่มึงก็พูดเป็นปริศนาอยู่ได้ ทำให้กูสงสัยอีกแล้วเนี่ย” เกริกวิทย์บ่นก่อนจะสตาร์ตรถ แล้วเคลื่อนรถออกไปจากอาคารท่าอากาศยานเพื่อพาเพื่อนไปส่งยังโรงแรมตามที่เจ้าตัวต้องการ “มึงรู้...” อาณัติเปรย ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างรู้ทัน ส่วนเกริกวิทย์ก็ไม่รักษาท่าที เมื่อเจ้าตัวแย้มมา เขาก็รุกถามอย่างไม่ให้เสียเวลาเช่นกัน“มึงมีธุระกับใคร คนพี่...หรือคนน้อง”“คนน้องเกี่ยวอะไรด้วย”“กูก็ถามไปอย่างนั้น” ปากก็พูดไป แต่สายตาชำเลืองมองอาณัติไปด้วย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เขาก็พูดถึงคนพี่อย่างจริงจัง “แน่ใจหรือว่าพี่ป้องยังอยู่บ้านเดิม ไม่ใช่ว่าหนีหนี้หายไปแล้วนะ”“เขาติดหนี้ใครอีก”“กูไม่รู้หรอก ได้ยินแต่รุ่นพี่เขาพูดกัน แต่มันน่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะถ้าหลอกเงินมึงไปได้หลายแสน คนอื่นก็คงหลงเป็นเหยื่อได้เหมือนกัน”“ตอนนั้นกูโง่”“มึงไม่โง่หรอก กูเชื่อว่าถ้าเ
‘กูเข้าใจมึง ไปเถอะ แล้วยังไงก็ติดต่อกลับมาหากูด้วย ถ้ามึงมีปัญหา อยากให้กูไปหาที่นั่นก็ย่อมได้เสมอ แค่บอกมา ถึงกูไม่มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบิน กูก็จะไปไถเงินเสี่ยยศเพื่อมึง’แม้เป็นการพูดติดตลก แต่อาณัติรู้ดีว่าถ้าถึงคราวจำเป็น เกริกวิทย์สามารถทำให้มันเป็นเรื่องจริงได้ในที่สุดเขาก็ผ่านช่วงเวลาย่ำแย่นั้นมาได้ เขาสมัครเข้าทำงานด้วยวุฒิที่เรียนจบในอเมริกา ผ่านช่วงเรียนรู้งานในเวลาสั้นๆ จากนั้นชีวิตคนทำงานในต่างแดนของเขาก็อยู่ตัว ในหลายขณะ อาณัติคิดจะปักหลักอยู่ที่อเมริกา แต่เป็นเพราะเขายังติดค้างสัญญากับแม่ว่าจะกลับมาช่วยทำงาน ชายหนุ่มจึงตัดใจ เวลาสี่ปีมันนานเพียงพอสำหรับเขาแล้ว...นานพอที่จะสร้างเขาคนใหม่ และนานพอที่ทำให้เขาไม่เจ็บปวดหัวใจเมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้น ‘พี่ของแกจะแต่งงาน’ตอนที่เปิดโทรศัพท์มือถือมาเห็นข้อความของแม่ อาณัติก็ยิ้มอย่างดีใจและเกิดความโล่งใจขึ้นอย่างประหลาด...รู้ทันทีว่าถึงเวลาที่เขาควรกลับบ้านแล้ว เวลาสี่ปีไม่ทำให้สภาพแวดล้อมของหมู่บ้านนี้เปลี่ยนไป อาณัติเดินเตร็ดเตร่เข้าไปในซอย หลังจากบอกแท็กซี่ให้จอดส่งเขาที่ริมถนนใหญ่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านบ้านเดี่ยวชั้นเดียว
“พ่อเราหนีไป ไม่อยู่เลี้ยงเราใช่ไหม”เพิ่งรู้ตัวว่าตนใจร้ายเกินไปก็ตอนที่เห็นดวงหน้าเล็กนั้นเบ้ ทำท่าจะร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่ได้ไหลออกมา เพราะเจ้าตัวฮึบไว้ได้ทัน ก่อนจะมองแรงมายังเขา ทั้งที่น้ำใสๆ ยังรื้นหน่วยตา“อชิโป้งคุณลุง ไม่ให้คุณลุงมาบ้านอชิ”อาณัติเองก็จังงังไปเลย คำพูดของเขาแรงไปสำหรับเด็กชาย เขาไม่ควรตั้งป้อมกับเด็ก เพราะมันเป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ ไม่ว่าพ่อเจ้าเด็กคนนี้ทำอะไรกับเขาไว้ แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับคนเป็นลูก“ฉันขอโทษแล้วกันนะ”“อชิโกรธ อชิจะฟ้องคุณตาด้วย”เออวะ ขอโทษแล้วไง ทำไมไม่หายโกรธอีก เป็นครั้งแรกที่อาณัติจนมุม ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร เขาไม่คุ้นกับเด็ก ด้วยความที่เป็นลูกคนเล็กในบ้าน เขาจึงไม่ต้องเอาใจใคร และตั้งแต่จำความได้ เขาจะได้รับการปกป้องจากแม่และพี่ชายทั้งสองคนเสมอ คนเหล่านี้ดูแลเขาปานไข่ในหิน คงเป็นเพราะพ่อของเขาจากไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็กมาก แม่กับพี่ชายจึงพยายามทำหน้าที่นั้นแทนและจะว่าไป ถ้าเด็กคนนี้เป็นลูกชายของปกป้อง ความที่พ่อหนีไปไม่ได้เลี้ยงดู หนูน้อยก็ถือเป็นเด็กที่น่าสงสารเหมือนกัน“เราจะฟ้องใครก็ตามใจ แต่ลุงสัญญาว่าจะไม่พูดไม่ดีกับเราอีก โอเค
“ได้ยินว่าพี่ป้องย้ายไปอยู่ทางใต้ แล้วเขาก็มีแฟนที่นั่น กูไม่รู้ว่าเด็กที่มึงเห็นเป็นลูกจากแฟนคนนี้หรือเปล่า”“ถ้าเขากับแฟนไม่มีปัญหากัน แล้วจะเอาลูกมาทิ้งไว้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นทำไม มันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่จะเลี้ยงเด็กสักคนให้โตขึ้นมา...ถ้ากูมีลูก กูไม่ปล่อยลูกกูไว้แบบนั้นแน่”“มึงก็พูดง่ายไป คนมีทางเลือกดีๆ ก็ไม่มีใครอยากอยู่ในที่ที่ไม่ดีหรอก...ว่าแต่สิ่งแวดล้อมที่พูดถึง มันเป็นยังไงวะ”“คล้ายชุมชนเข้าไปทุกที” อาณัติให้นิยามสั้นๆ หากมองอีกมุมก็คล้ายหมู่บ้านร้างในหนังสยองขวัญไม่ผิดเพี้ยน เงียบและเก่าโทรม ไร้การดูแล แม้แต่หน้าบ้านหลังเป้าหมายที่เขาไปในวันนี้ ประตูรั้วยังมีสนิมเกรอะจนเขาแทบไม่กล้าแตะเพราะกลัวบาดทะยักชายหนุ่มกำลังคิดขำๆ สมองของเขามีแต่บรรยากาศรอบๆ บ้านหลังที่แวะเวียนไปหากับเด็กชายแก้มกลมหัวหย็องคนนั้น“น้องกุ๊บกิ๊บล่ะ เจอเขาหรือเปล่า”มันห้ามไม่ให้เขาหยุดชะงักไม่ได้ มือที่กำลังหยิบแก้วเหล้าของอาณัติค้างกลางอากาศ…“เมื่อกี้มึงถามถึงคนบ้านนั้นเอง กูก็เลยพูดถึงน้องเขาด้วย”“กูไม่ได้ว่าอะไร” อาณัติไหวไหล่เมื่อตั้งตัวได้ “กูไม่เจอเขา แล้วมึงรู้เรื่องของเขาบ้างไหม”“ไม่รู้
ไปรยาเห็นดวงหน้าเล็กกลมโผล่มามองจากกรอบประตูบ้าน…ชะรอยเจ้าตัวน้อยจะรู้ว่าตนได้ทำบางสิ่งที่สร้างความไม่สบายใจให้กับแม่แล้วหญิงสาวหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ไม้หน้าบ้าน ซึ่งปกติมันเป็นที่นั่งเล่นชั้นดีของลูกชาย แล้วเรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน“อชิ มาหาแม่มาลูก” อชิระเดินไปหาแม่ตามคำเรียก แล้วเบียดกายเล็กเข้าไปหาด้วยท่าทีประจบ จนหัวใจของคนเป็นแม่อ่อนยวบ ไปรยาไม่เคยโกรธหรือโทษลูกสักที ไม่ว่าลูกทำสิ่งใดลงไป เพราะหล่อนถือเป็นความรับผิดชอบของตัวเองทั้งสิ้น หญิงสาวลูบใบหน้าชื้นเหงื่อของลูกอย่างแสนรัก เพ่งพิศดวงหน้าเล็กด้วยหัวใจไหววูบ“เมื่อวานตอนที่แม่ไม่อยู่ มีคนมาที่บ้านเราหรือจ๊ะ”“ครับ”“อชิรู้จักเขาไหม”เด็กชายส่ายหน้าหวือ หากประกายบางอย่างในดวงตากลมทำให้ไปรยาต้องเอียงคอมอง แล้วถามนำทาง“มีอะไรจะเล่าให้แม่ฟังไหม” “อชิโป้งคุณลุง”“เขาทำให้ลูกโกรธหรือจ๊ะ”อชิระพยักหน้าหงึกๆ แล้วมุ่นคิ้วคิด ด้วยกำลังเรียบเรียงเหตุผลเพื่อบอกแม่“อชิจะเข้าบ้าน แล้วคุณลุงมาขวาง...ไม่ให้อชิเข้าครับ”“แล้วลูก เอ่อ...คุยกับเขาด้วยไหม”“คุยเยอะแยะเลยครับ” บอกแม่ว่าคุยเยอะแยะ แต่เจ้าตัวเล็กก็ต้องใช้ความคิดอีกนั่นแหละว่
ไปรยาไม่รู้ว่าของที่อาณัติพูดถึงเป็นอะไร เขาหมายถึงเงินที่ปกป้องยืมไปทุ่มในร้านอาหารกึ่งผับที่เปิดข้างมหาวิทยาลัยแล้วขาดทุนจนทุนจมหาย หรือยังมีของชิ้นอื่นที่พี่ชายของหล่อนเอาไปอีกกันแน่“ถ้าถามจากพี่ป้อง รายนั้นคงบอกความจริงไม่หมดอยู่ดี”ช่วงแรกไปรยายังต้องรับมือกับบรรดาเจ้าหนี้ของพี่ชาย ส่วนคนต้นเหตุนั้นหนีหายตั้งแต่รู้ตัวว่าไม่สามารถกอบกู้ร้านอาหารมาได้แล้ว ปกป้องบอกหล่อนว่าจะไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้ ไปรยาจึงสนับสนุน แต่นานไปถึงรู้ว่าพี่ชายจงใจหนี เขาตัดช่องทางติดต่อกับครอบครัว หล่อนจึงต้องรับหน้ากับเจ้าหนี้ของเขาตามลำพัง...ในเวลานั้นไปรยาไม่กล้าบอกให้พ่อรู้ แต่นั่นแหละ สุดท้ายหล่อนก็ปิดความลับนี้ไม่ได้พ่อผิดหวังในตัวปกป้อง แต่หล่อนก็ไม่ได้ดีไปกว่าพี่ชาย เพราะในวันเดียวกัน พ่อยังต้องมารับรู้ว่าลูกสาวคนเดียวกำลังตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กอีกด้วยสีหน้าเจ็บปวดและผิดหวังของพ่อยังตราอยู่ในใจ ไปรยาร้องไห้ ความอ่อนแอและสิ้นหวังจู่โจมเข้ามาอย่างถึงที่สุด ในบางค่ำคืนเมื่อหลับตานอน ไปรยาเคยภาวนาว่าขอให้พรุ่งนี้ตนไม่ต้องตื่นมาอีกเลยความทุกข์ของหญิงสาวไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของพ่อ พ่อ
อชิระเป็นเด็กว่าง่ายกับแม่ ตั้งแต่รู้ความมาก็แทบไม่ดื้อและไม่ค้านอะไรทั้งสิ้น สองแม่ลูกเดินมาถึงหน้าหมู่บ้าน แล้วจึงหยุดอยู่ริมถนน มือน้อยๆ ของลูกชายก็กระตุกมือของแม่เมื่อเจ้าตัวเห็นรถคันใหญ่แล่นผ่านหน้าไป“อชินั่งรถเมล์ไปรับพี่เลโอได้ครับ” ดวงตากลมของลูกที่แหงนมองมานั้นทำให้น้ำตาของคนเป็นแม่แทบคลอหน่วยตา...พลังใจจากลูกทำให้หล่อนมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นอีกมากโข“ไม่เป็นไรครับ วันนี้เรานั่งแท็กซี่ไปดีกว่า อชิกับแม่จะได้นั่งสบาย”“ได้ครับ แม่กุ๊บกิ๊บจะได้ไม่เหนื่อยด้วยครับ”เด็กชายยิ้มแฉ่ง มือเรียวนุ่มของแม่จึงลูบแก้มกลมๆ อย่างอดใจไม่ได้ ซึ่งเป็นจังหวะที่รถแท็กซี่แล่นมาจอดเทียบพอดีกว่าจะจัดการธุระสำคัญเสร็จ รถยนต์คู่ใจของไปรยาที่มีอายุมากกว่าสิบห้าปีก็มาจอดในที่ประจำเมื่อเวลาผ่านเก้านาฬิกาไปแล้วเมื่อเปิดประตูรถออกมา ไปรยาก็เร่งสาวเท้าลัดเลาะไปตามทางเดินริมสวนเพื่อไปยังจุดนัดหมาย แม้รู้ว่าตัวเองสาย แต่หล่อนก็พยายามไปให้ถึงเร็วที่สุดร่างของหญิงสาวในเครื่องแต่งกายด้วยเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำสวมรองเท้าผ้าใบลำลองนั้นอยู่ในสายตาของผู้ชายคนหนึ่ง เขามองหล่อนตั้งแต่วิ่งออกมาจากลานจอดรถ ก
“นั่นสิ...แต่กิ๊บก็ยังงงว่าพี่ยุ้ยขอบคุณกิ๊บทำไม” “ตอนแรกเขาจองสามวัน แต่พอเห็นกุ๊บกิ๊บเมื่อเช้า เขาก็เปลี่ยนใจจองยาวเป็นเดือนเลย ดูท่าจะกระเป๋าหนักน่าดู”“จริงหรือคะ แล้วเขาเป็นใครกัน” อารมณ์ดีใจที่โรงแรมมีลูกค้ารายใหญ่เข้ามาตั้งแต่เช้าค่อยๆ คลาย คุณแม่ลูกหนึ่งกะพริบตาปริบๆ สีหน้าระแวดระวังขึ้นมาทันใด การทำงานเป็นพนักงานอยู่ในโรงแรม แม้เป็นโรงแรมระดับดี แต่มักมีพวกเสี่ยใหญ่ที่ชอบหลอกล่อทีเล่นทีจริง แถมบางคนพอรู้ว่าหล่อนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความกระหาย“อยากรู้ชื่อลูกค้าหรือเปล่า” “ไม่เอาดีกว่าค่ะ ไม่ต้องบอก”ไปรยาปฏิเสธรัวเร็ว ขอไม่รู้ไม่เห็นและไม่เกี่ยวข้องไว้ก่อน เพราะดูท่าจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว ก่อนหล่อนจะจ้ำเท้าไปยังพื้นที่รับประทานอาหารมื้อเช้าของแขกที่เข้าพักในโรงแรมหญิงสาวเป็นพนักงานในสำนักงานส่วนหน้า วันนี้หล่อนเข้าทำงานสาย แม้จะบอกผู้จัดการไว้ก่อนแล้ว แต่หล่อนก็อยากชดเชยด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เต็มขีดภายในเวลาที่จำกัด และเมื่อถึงเวลาเลิกงานของตัวเอง หล่อนจึงแทบทรุดเพราะหมดแรง“ขอโทษนะคะที่วันนี้มาสายแล้วยังกลับเร็วอีก พรุ่งนี้สัญญาว่าจะเข้างานตั้ง
เป็นเวลานานกว่าสองสัปดาห์แล้วที่อาณัติรับหน้าที่ไปรับอชิระกลับจากโรงเรียน โดยไปรยาได้แจ้งกับทางโรงเรียนไว้ล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากช่วงนี้สถานการณ์ของโรงแรมดีขึ้น ลูกค้าเข้ามาพักมากกว่าเดิม หัวหน้าแผนกจึงขอให้หล่อนยืดเวลาเลิกงานเป็นห้าโมงเย็นเหมือนกับพนักงานคนอื่นหลังจากเลิกเรียน อชิระจึงต้องอยู่กับพ่อ เพื่อรอแม่เลิกงานแล้วกลับบ้านไปพร้อมกัน ระหว่างนั้นเด็กชายจะอยู่ในห้องพักของพ่อในโรงแรม แต่บางวันพ่อก็จะพามาที่บ้านหลังใหม่ที่เพิ่งซื้อได้ไม่นาน ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ในโครงการหรูที่อชิระเคยมาดูพร้อมพ่อและแม่นั่นเอง และตอนนี้บ้านหลังนี้ก็อยู่ในระหว่างการตกแต่ง“พ่อครับ อชิเอาปลาหางปายูนมาอยู่กับปลาคาร์ปได้ไหมครับ”อชิระถามขึ้นเมื่อเกาะผนังกระจกในห้องพักผ่อนแล้วมองออกไปข้างนอก เห็นคนงานกำลังสร้างบ่อปลาคาร์ปภายในพื้นที่สวน เด็กชายเห็นว่าบ่อมีขนาดใหญ่ ถ้าหากจะให้ปลาหางนกยูงของตนมาอยู่ด้วยก็คงน่าสนใจไม่น้อย“ปล่อยให้ปลาหางนกยูงอยู่ในอ่างบัวนั่นแหละดีแล้ว มันอยู่ตรงนั้นสบายแล้วนะ”อาณัติเกรงว่าถ้าปล่อยให้ปลาทั้งสองชนิดมาอยู่ร่วมกัน ปลาหางนกยูงอาจ
ไปรยาออกมาจากห้องนอนหลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้ว เสียงโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นยังคงดังมาให้ได้ยิน หญิงสาวจึงเดินไปดูลูกชายที่นอนปิกนิกที่หล่อนปูไว้ให้นั้นว่างเปล่า แต่มีรอยยับย่นของผ้าปูนอนซึ่งบอกให้ว่าเจ้าตัวคงเพิ่งลุกไปไหนสักที่ และไม่ต้องมองหานาน หญิงสาวก็เห็นร่างเล็กยืนขยุกขยิกข้างโต๊ะไม้ตรงมุมห้อง ซึ่งบนโต๊ะนั้นมีช่อดอกไม้วางอยู่“อชิทำอะไรคะ” ไปรยาถาม หลังจากมองลูกอยู่หลายวินาที แล้วเด็กชายก็หันมาตอบ“อชิดูดอกไม้ครับ”“อชิชอบหรือคะ แม่ยกให้เอาไหม”“ไม่เอาครับ ดอกไม้ของแม่กุ๊บกิ๊บ พ่ออู๋ให้ดอกไม้สวยๆ แม่กุ๊บกิ๊บต้องเก็บไว้ดีๆ นะครับ”“หือ...อะไรเนี่ย ลูกชายของแม่”ไปรยานึกขันคนเจ้ากี้เจ้าการ ตั้งแต่เป็นธุระจัดการนำดอกไม้มาให้หล่อน กระทั่งบอกให้หล่อนเก็บดอกไม้ช่อนี้ไว้ดีๆ“งั้นแม่จะเอาดอกไม้ใส่แจกันไว้ก็แล้วกันนะคะ”ไปรยาตอบสนองคำพูดของลูกชาย เพราะเห็นว่าดอกไม้ช่อนี้คงมีราคาไม่น้อย หากปล่อยให้เหี่ยวเฉาเร็วเกินไปก็น่าเสียดาย
กว่าครอบครัวเล็กซึ่งประกอบด้วยพ่อแม่และลูกชายตามสายตาของพนักงานขายบ้านโครงการหรูจะเสร็จสิ้นจากการดูบ้านและขับรถออกจากโครงการก็เป็นเวลาใกล้หกโมงเย็น หากพวกเธอยินดีให้บริการ เพราะสัมผัสได้ว่าลูกค้ามีกำลังซื้อ อีกทั้งเขาสนใจที่จะซื้อบ้านอย่างจริงจังอาณัติพาไปรยาและอชิระไปรับประทานอาหาร เขาเลือกร้านอาหารที่อยู่ใกล้โครงการบ้านจัดสรรแห่งนั้น เพราะเห็นว่าเลยเวลาอาหารเย็นของเด็กชายไปพอสมควร แต่เจ้าตัวเล็กก็ไม่บ่นว่าหิวสักคำ เพราะได้กินทั้งนมและขนมไปจนอิ่มแปล้แล้วดังนั้นกว่ารถคันสีดำจะแล่นไปจอดหน้าบ้านชั้นเดียวหลังสีฟ้าได้ก็เป็นเวลาหัวค่ำ อาณัติลงจากรถแล้วไปเปิดประตูให้ลูกชายลงมา ขณะที่ไปรยากำลังไขกุญแจประตูรั้วบ้าน“อชิหยิบดอกไม้ของพ่อมาด้วย”ดอกไม้ช่อใหญ่ที่วางบนเบาะหลังข้างเก้าอี้ที่นั่งของอชิระยังคงงดงามดี แม้มันจะไม่สดเหมือนกับตอนที่ร้านมาส่ง เด็กชายหอบดอกไม้ช่อนั้นแทบไม่ไหว จนพ่อต้องยื่นมือไปช่วยอีกแรงไปรยาหันไปมองสองพ่อลูกที่ช่วยกันหอบดอกไม้ทั้งช่ออย่างแปลกใจ พวกเขาเดินผ่านประตูรั้วที่หล่อนเปิดกว้างไว้ให้เข้ามาในเขตบ้าน หล่อนนึกสงสัยว่าทั้งสองคน
“แม่ว่ายังไงครับ หลังนี้เป็นบ้านตัวอย่างนะ แต่จะมีอีกหลังที่คล้ายกัน อยู่ด้านหลังของโครงการ หลังนั้นไม่มีสระว่ายน้ำ อชิน่าจะชอบครับ เพราะรอบบ้านเป็นสนามหญ้าทั้งหมด”อาณัติกำลังวิดีโอคอลกับคุณนายอรอร ไปรยาเห็นเข้าก็ดึงลูกชายออกมาห่างๆ เพราะหล่อนไม่รู้ว่าแม่ของเขาคิดกับอชิระอย่างไร อีกทั้งหล่อนเองก็ยังไม่รู้จักแม่ของเขา รู้แต่ว่าท่านเป็นเศรษฐินีที่มีชื่อในระดับจังหวัด และหล่อนก็รู้เรื่องนี้หลังจากเลิกรากับอาณัติไปแล้ว‘ไอ้อู๋มันทิ้งกุ๊บกิ๊บไปเมืองนอก เพราะเงินไม่กี่แสนเนี่ยนะ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ไม่เข้าใจจริงๆ เป็นลูกเศรษฐีประสาอะไร...คิดเล็กคิดน้อยไม่เข้าท่า’ปกป้องต่อว่าอาณัติลับหลัง ไปรยาได้ฟังก็น้ำตาตกใน เวลานั้นหล่อนสับสน ทุกข์ใจ และหดหู่ ได้แต่รับรู้การตัดสินใจของพี่ชายว่าเขาจะออกไปจากบ้านด้วย แล้วสุดท้ายก็เหลือเพียงหล่อนคนเดียว กระทั่งพ่อเข้ามาจัดการจนทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ซึ่งทำให้ไปรยาลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าได้อีกครั้ง“กำลังคิดอะไร หน้าเศร้าอีกแล้ว”เสียงนุ่มทุ้มดังอยู่ใกล้ๆ ไปรยารู้สึกตัวก็ต
จุดหมายปลายทางของอาณัติเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่มีจำนวนบ้านไม่กี่หลัง หากแต่ละหลังนั้นเรียกว่าราคาไม่น้อย จากป้ายหน้าโครงการบอกว่าราคาเริ่มต้นอยู่ที่ยี่สิบล้านแล้วไปรยามุ่นคิ้ว แล้วหันไปถามเขา“คุณมาที่นี่ทำไมคะ”“พี่มีนัดกับอชิว่าจะมาเที่ยวที่นี่ ใช่ไหมครับอชิ”อาณัติตอบหญิงสาว ก่อนจะหาแรงสนับสนุนจากลูกชายซึ่งกำลังมองออกไปนอกรถอย่างสนใจ หากเจ้าตัวเล็กก็ไม่ลืมหันกลับมาพยักพเยิดกับพ่อ“ใช่ครับ พ่อพาอชิมาเที่ยว”ชะรอยว่าคำตอบของสองพ่อลูกจะไม่เป็นที่ถูกใจของคนเป็นแม่ หล่อนปั้นหน้าตูมพลางยกสองมือขึ้นมากอดอก เพราะรู้สึกว่าถูกลูกชายเอาใจออกห่างเรื่อยๆ แล้ว...แถมผู้ชายอีกคนก็เจ้าเล่ห์เหลือเกิน“พี่มาดูบ้าน ตัดสินใจปุบปับไปหน่อย เลยไม่ได้บอกกุ๊บกิ๊บไว้ก่อน เพื่อนพี่แนะนำโครงการนี้ให้ พี่โทร.มานัดกับเซลล์ไว้แล้ว เลยตั้งใจแวะมาดู”“ถ้าคุณจะซื้อบ้าน คุณไม่ต้องบอกฉันก็ได้ค่ะ” ไปรยารีบออกตัว อาการน้อยใจหายไปทันที เหลือแต่สีหน้าเก้อเขิน“พี่ไม่ได้ซื้อเองหรอก แม่เพิ่งบอกให้หาบ้านสักหลั
เมื่อรถคันสีดำแล่นไปถึงโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ไม่ห่างจากโรงแรมนัก ผู้ปกครองของเด็กชายอชิระก็พบว่าพวกเขามาถึงก่อนเวลาและมาถึงก่อนใคร เพราะในบริเวณลานจอดรถสำหรับผู้ปกครองนั้นยังไม่มีรถคันอื่นเลยสักคันอาณัติไม่เดือดร้อน เขากลับชอบเสียอีก เพราะอยากมีเวลาส่วนตัวกับไปรยาอยู่แล้ว หากหญิงสาวกลับรู้สึกตรงกันข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิงเพียงแค่รถจอดสนิท ไปรยาก็คิดอยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอก ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น การออกไปสัมผัสสายลมอ่อนๆ ที่พัดรินก็คงดีกว่าอยู่ภายในรถกับเขาหากแค่ยื่นมือไปแตะประตูรถเพื่อจะเปิดออก มืออีกข้างกลับถูกเขายึดไว้ สัมผัสจากมือหนาและร้อนผ่าวนั้นทำให้ไปรยาสะดุ้ง ซึ่งอาณัติก็ปล่อยทันที เพราะไม่อยากให้หล่อนตกใจหรืออึดอัดใจ“พี่อยากเริ่มต้นใหม่กับกุ๊บกิ๊บ”เมื่อได้เริ่มแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่อยากถอย อีกทั้งความห่วงใยในตัวหญิงสาวก็ทำให้เขาตัดสินใจเดินหน้า...หากเหมือนว่าเขารุกหล่อนเร็วเกินไป“ไม่ได้ค่ะ ฉันไม่สะดวก”ไปรยาตอบกลับทันควัน ปากคอสั่นทีเดียว เพราะไม่นึกว่าเขาจะพูดคำนี้ออกมา หล่อนตั้งตัวไม่ทัน และคำตอบ
อาณัติตัดสินใจบอกแม่ว่าตนยังไม่กลับบ้านในเร็วๆ นี้ โชคดีที่ผู้จัดการแผนกที่เขาทำงานอยู่นั้นส่งงานให้เขาทำทางไกลได้ ชายหนุ่มคิดจะใช้ห้องพักในโรงแรมทำงานไปยาวๆ...เพราะที่แห่งนี้เขาจะได้อยู่ใกล้ไปรยา อีกทั้งยังไปรับไปส่งลูกชายที่โรงเรียนได้ แล้วคำพูดของแม่ที่พ่วงตำแหน่งนายจ้างก็ทำให้หัวใจของชายหนุ่มเบิกบาน...หลังจากหงุดหงิดมาครึ่งค่อนวัน“เงินเดือนของแกทั้งเดือนยังไม่พอจ่ายค่าที่พัก ยังหวังจะดูแลลูกเมียอีกนะ”“งั้นผมพาลูกเมียไปเกาะแม่กินก็แล้วกัน แม่จะว่ายังไงครับ”“อย่าดีแต่ปากพูด พามาให้ได้เถอะ ถึงแกจะมีลูกเป็นโหล ฉันก็มีเงินพอให้แกเลี้ยงลูก...ว่าแต่แน่ใจนะว่าเมียของแกยังไม่มีคนอื่น”“กุ๊บกิ๊บไม่มีใครหรอก นอกจากผม แค่มองตาเขา ผมก็รู้แล้วแม่ แล้วเมื่อเช้าผมก็ไปนั่งกินข้าวในบ้านของเขามาแล้วด้วย ลูกชายของผมจัดการให้ผมเอง”“ดูท่าลูกแกจะฉลาดนะ”จู่ๆ ก็มีก้อนแข็งๆ ตีตื้นถึงลำคอ ไม่คิดว่าชีวิตนี้เขาจะรักใครได้มากขนาดนี้ในระยะเวลาไม่กี่วัน“ผมอยากให้แม่เจออชิ”“พามาบ้าน
เมื่อรถคันสีดำมาจอดหน้าโรงเรียนอนุบาลซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้าน อชิระปีนลงจากเก้าอี้เมื่อแม่เปิดประตูรถให้ แล้วเด็กชายก็จูงมือแม่เดินไปหาคุณครูที่รอรับอยู่หน้าประตูรั้วโรงเรียน“สวัสดีครับคุณครู อชิมาแล้วครับ”“สวัสดีค่ะอชิ สวัสดีค่ะคุณแม่”คุณครูที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีทักทายอชิระและแม่ของเจ้าตัว และดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันพิเศษของเด็กชายอีกด้วย“พ่ออู๋มาส่งอชิด้วยนะครับ”อชิระบอกอย่างมีความสุข ซึ่งไปรยาก็นึกไม่ถึงว่าลูกจะพูดออกมา แถมยังชี้ให้คุณครูดูพ่อของตัวเองที่ยืนอยู่ข้างรถอีกด้วยไปรยายืนส่งลูกอยู่ที่หน้าประตูรั้ว จนเห็นว่าลูกเข้าไปในห้องเรียน หล่อนจึงวางใจแล้วเดินออกมา พลันนึกได้ว่าตัวเองไม่มีรถมาด้วยนี่นะดวงหน้าสวยเงยขึ้นมา แล้วสบตากับคนที่ยืนเอียงคอมองอยู่ก่อนแล้ว“เชิญครับคุณแม่ของอชิ”อาณัติคงได้ยินคำพูดของลูกเมื่อสักครู่ รอยยิ้มกริ่มจึงเกลื่อนทั่วใบหน้า“หมดธุระของคุณแล้ว คุณก็กลับไปได้แล้วค่ะ ฉันจะไปรถรับจ้าง”“พูดเป็นเล่นน่า พี่จะกล
จากที่คิดว่าวันนี้มีเวลาเหลือเฟือ เพราะไม่มีธุระที่อื่น นอกจากไปส่งลูกชายที่โรงเรียนแล้วขับรถไปที่ทำงาน แต่กลับกลายเป็นเช้าของวันที่วุ่นวาย และดูท่าหล่อนจะต้องเร่งรีบเข้างานให้ทันเวลาไม่ต่างจากทุกวันไปรยาถอนหายใจ หลังจากที่หล่อนยอมตามใจผู้ชายต่างวัยทั้งสองคน ยอมแม้กระทั่งจอดรถของตัวเองไว้ที่บ้าน แล้วเข้าไปนั่งในรถของอาณัติเพื่อไปส่งอชิระที่โรงเรียน...แต่เรื่องยังไม่จบเท่านี้ เพราะพวกเขายังสร้างเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก“อชินั่งข้างหลังคนเดียวได้ไหมครับ”ผู้ใหญ่ที่นั่งประจำที่คนขับมานานนับนาที แต่ไม่ยอมเคลื่อนรถออกไป มองสองแม่ลูกที่นั่งข้างกันทางตอนหลัง แล้วถามเด็กชาย“อชิอยากให้แม่กุ๊บกิ๊บนั่งด้วย” อชิระรู้ทัน คว้าหมับที่ต้นแขนของแม่ไว้ แต่พ่อก็ยังต่อรอง“พ่อขอแม่กุ๊บกิ๊บมานั่งข้างๆ พ่อสักวันได้ไหมลูก เดี๋ยวพ่อคืนให้”อชิระมุ่นคิ้วคิด เจ้าตัวเล็กอยากให้แม่นั่งกับตัวเอง แต่พอคิดว่าแลกกับการให้พ่อไปส่งที่โรงเรียนในวันนี้...เด็กชายก็พอจะตัดใจให้แม่ไปนั่งข้างพ่อได้“ก็ได้ครับ แต่อชิให้พ่อยืมนะครับ” บอกให