“อะไรนะคะ จะให้หยีเป็นเลขาบอสเหรอคะ” ฉันถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นระคนแปลกใจ ที่จู่ๆ ตำแหน่งเลขานุการก็ตกมาเป็นของพนักงานทั่วไปแบบฉัน
“ไม่ต้องดีใจไป แค่ชั่วคราวน่ะ จนกว่าจะหาเลขาใหม่มารับตำแหน่งได้” หัวหน้าของฉันพูดดับฝันแล้วถอนหายใจด้วยความกังวล
“มีอะไรคะพี่บี”
“ใครเป็นเลขาบอสก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าหนิงมีปัญหาอะไรถึงจะรีบลาออกไป เสียดายนะคนทำงานดีแบบนั้น หยีเองก็อาจมีสิทธิ์ได้เป็นเลขาถาวรนะตั้งใจทำงานเข้าล่ะ”
“หมายความว่าถ้าทำงานดีหยีมีโอกาสได้เป็นเลขาจริงๆ ใช่ไหมคะ” ฉันถามด้วยความตื่นเต้นที่มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“อืม ตามนั้นแหละ เก็บของย้ายโต๊ะได้แล้วเดี๋ยวอีกหน่อยบอสก็มาแล้ว” พี่บีบอกแล้วเดินขึ้นไปรอที่ชั้นสาม
ฉันรีบเก็บของใช้ส่วนตัวแล้วย้ายไปทำงานที่ชั้นสาม บริษัทขายอุปกรณ์ไอทีขนาดเล็กแห่งนี้มีพนักงานไม่ถึงสามสิบคนก็จริง แต่ว่าตำแหน่งเลขานุการเป็นตำแหน่งพนักงานที่ถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าพนักงานทั้งหมดซึ่งใครๆ ก็อยากมาทำตำแหน่งนี้
ชั้นแรกของบริษัทจะเป็นโซนขายอุปกรณ์ไอทีที่มีพนักงานขายประจำอยู่
ชั้นสองจะเป็นห้องสต๊อกสินค้าและแผนกบัญชีการเงิน ส่วนชั้นสามที่ฉันจะขึ้นไปเป็นห้องประชุม ห้องทำงานของพี่เก่งหัวหน้าแผนกขาย พี่บีหัวหน้าแผนกบัญชีการเงิน กับพี่เชนผู้จัดการทั่วไปที่ควบตำแหน่งหัวหน้าแผนกสต๊อก
รวมถึงเป็นห้องทำงานของ “คุณโย่ง” บอสหนุ่มเจ้าของบริษัทไอทีแห่งนี้ และเป็นส่วนที่พักอาศัยของเขาซึ่งต้องสแกนลายนิ้วมือถึงจะเข้าไปส่วนนั้นได้
ที่ชั้นสามนี้ฉันจะเป็นพนักงานคนเดียวที่ได้ขึ้นมาทำงานอยู่ที่นี่ และใส่ชุดกระโปรงสวยๆ มันเป็นความภูมิใจแม้อาจจะได้ขึ้นมาทำงานชั่วคราวก็ตาม
“หยีเป็นเลขาใหม่เหรอ ยินดีด้วยนะ” พี่เก่งและพี่เชนยิ้มต้อนรับฉันที่จะได้มาทำงานที่ชั้นเดียวกัน ซึ่งโต๊ะทำงานของพวกเราเรียงเป็นสองฝั่ง อยู่หน้าห้องทำงานของบอส
โต๊ะฉันอยู่ด้านในสุดตรงข้ามกับพี่เชนโดยมีทางเดินเข้าห้องบอสกั้นกลางอยู่ ดูไปแล้วการทำงานที่หน้าห้องบอสแบบนี้ก็ดูกดดันไม่น้อย เวลาแอบกินขนมหรือเครื่องดื่มก็ต้องระวังเอามากๆ
“แล้วพี่หนิงละคะพี่บี” ฉันหันไปถามพี่บีที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับฉันถึงเลขานุการคนเก่าที่ควรจะอยู่สอนงานฉัน
“กลับไปแล้วแต่ฝากรายละเอียดงานวางไว้ให้หยีศึกษาดูแทน รีบอ่านดูนะ” พี่บีพูดแล้วหันกลับไปทำงานต่อ
ฉันรีบอ่านรายละเอียดนั้นพบว่าบอสจะเริ่มเข้างานตอนสิบโมงเช้า ต้องชงกาแฟไว้รอตามสูตรที่เขียนเอาไว้ให้ ฉันจึงรีบไปชงกาแฟเพราะถึงเวลาพอดี
“บอสมาแล้ว” พี่บีบอกฉันในขณะที่กำลังเดินถือถาดวางกาแฟและขนมไปให้บอสที่ห้องทำให้ฉันต้องรีบสำรวมมากขึ้น
“ขออนุญาตค่ะบอส” ฉันเคาะห้องแล้วส่งเสียงบอกเขาอย่างที่เขียนระบุไว้ในใบสอนงาน แล้วเปิดประตูถือกาแฟและขนมวางที่โต๊ะโดยมีสายตาที่คมกริบมองตามอยู่ไม่ห่าง
“คุณเป็นเลขาใหม่สินะ” เขาพูดขึ้นมาตรงๆ แล้วหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ ปกติเขาดูเป็นกันเองกว่านี้แต่ตอนนี้กลับดูเคร่งขรึม
“ค่ะบอส หยีมาทำแทนพี่หนิงค่ะ บอสมีอะไรก็เรียกใช้หยีเต็มที่เลยนะคะ” ฉันพูดแล้วยิ้มให้เขา แต่พอเจอสายตาที่ดุดันนั้นจึงต้องลดยิ้มลงแล้วหลบสายตาเล็กน้อยไม่รู้ว่าเขาไปกินรังแตนที่ไหนมา
“ขอโทษค่ะ” ฉันก้มหน้า มีแววว่าตำแหน่งเลขานี้จะได้เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น
หรือเป็นเพราะท่าทางดุดันของเขาที่ทำงานด้วยแล้วรู้สึกอึดอัดพี่หนิงถึงได้รีบออกไปโดยไม่รอสอนงานฉัน
“หวังว่าคุณจะทำหน้าที่ให้ดีกว่าคนเก่านะ” เขาพูดแล้วจิบกาแฟไปด้วย
“เอ่อ หยีเป็นเลขาชั่วคราวจนกว่าจะหาคนใหม่ได้ค่ะ”
“ไม่ต้องล่ะ ผมเลือกคุณนี่แหละ ชงกาแฟผ่าน”
“อะไรนะคะ” ฉันงงมากแค่ชงกาแฟถูกใจก็ได้เป็นเลขาของบอสแล้ว
“ตามนั้น” เขาวางถ้วยกาแฟลงแล้วจ้องหน้าฉันพร้อมกับเลิกคิ้วสูง
“คะ?”
“ไม่มีเอกสารอะไรมาให้ผมตรวจเหรอ”
“อ๋อ ค่ะ เดี๋ยวหยีจะไปดูให้ตอนนี้ค่ะ”
ฉันออกมาดูจากใบสอนงาน แฟ้มที่จะนำเสนอใหม่จะต้องวางให้เขาที่ด้านขวาพร้อมกับติดสติ๊กเกอร์โน้ตให้เขาไว้รู้ว่าต้องเปิดหน้าไหนบ้าง
“ยุ่งยากพอสมควรเลยนะ แถมเป็นงานละเอียดด้วย สู้ๆ นะหยี” พี่เชนบอกฉันแล้วยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่ห่วงใย
“ขอบคุณค่ะพี่เชน” ฉันบอกผู้จัดการหนุ่มที่ให้กำลังใจแล้วตั้งใจรวบรวมแฟ้มตรงหน้าเพื่อเอาเข้าไปให้บอสในห้อง
“นี่ค่ะบอส” ฉันวางแฟ้มเอกสารให้เขา แล้วจะเดินกลับออกไป
“เดี๋ยวก่อน”
“ค่ะ บอส” ฉันหันไปกลับไปหาแล้วยิ้มมองสายตาที่ดูค้นหานั้น
“เป็นเลขาผมไม่ต้องนุ่งกระโปรงสั้นๆ เสื้อรัดรูปมาทำงาน ใส่ฟอร์มเดิมเสื้อคอปกกับกางเกงแบบนี้ก็พอ” เขาพูดแล้วก้มหน้าลงมองเอกสารไม่ได้มองฉัน
“รับทราบค่ะ” ฉันรับปากเขาแล้วเดินออกไป ความภูมิใจก็เริ่มจะเลือนหายมีแต่ความอึดอัดปนหงุดหงิดเข้ามาแทน
หล่อ รวย ก็พอเข้าใจได้หรอกที่อยากเอาชนะใจเขา ขนาดเขาแสดงท่าทางหยิ่งผยองใส่ฉันยังอดใจเต้นด้วยไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นกันเองกับพนักงานทุกคนแท้ๆ
‘แต่เบรกการแต่งตัวกันหัวทิ่มขนาดนี้ คงกลัวว่าเราจะยั่วเขาสินะ’ ฉันวิเคราะห์ในใจ อุตส่าห์คิดว่าเป็นเลขาแล้วจะได้แต่งตัวสวยๆ เหมือนพี่หนิง แต่สุดท้ายก็ได้ใส่ชุดฟอร์มบริษัทเหมือนเดิม
บอสจะรู้ไหมนะว่าสาวๆ ในบริษัทชอบเขาและหวังตำแหน่งเลขานุการเพราะอยากใกล้ชิดเขา และฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
---------------------
ตำแหน่งเลขานุการของคุณโย่งแม้งานจะไม่ซับซ้อนแต่เป็นงานที่ละเอียดพอสมควร สองสัปดาห์มานี้ฉันค่อยๆ ชินกับการทำงานกับเขาแล้วปกติเขาดูยิ้มแย้มเป็นกันเองกับพนักงานทุกคน แต่พออยู่กับฉันตามลำพังเหมือนเขาจะระวังตัวและกลายเป็นคนละคนกับบอสโย่งที่ฉันเคยรู้จักอาจเป็นเพราะเขาต้องรักษาระยะห่างกับเลขานุการที่ใกล้ชิดอย่างฉัน คงกลัวว่าฉันจะเข้าหาเขา เพราะไม่อย่างนั้นจึงบอกให้ฉันแต่งตัวให้รัดกุม แบบนี้ฉันก็คงต้องวางตัวให้ห่างจากเขาเพื่อรักษาตำแหน่งงานนี้เอาไว้“นี่เอกสารสรุปยอดขายเมื่อวานนี้ค่ะ แล้วก็สรุปยอดบัญชีคงค้าง” ฉันนำเอกสารไปให้เขาแล้วถอยออกห่างยืนรอเขาตรวจเอกสารตรงหน้าบอสหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองแล้วก้มลงเซ็นเอกสารตรงหน้าแล้วส่งคืนให้ฉัน“ตอนบ่าย ผู้จัดการของบริษัทไอเทคมาขอพบค่ะ บอสจะให้มาพบที่ห้องนี้หรือห้องประชุมดีคะหยีจะได้เตรียมสถานที่ไว้ให้”“ที่ห้องประชุมก็ได้...แล้วคุณเป็นอะไรของคุณ” เขาถามในตอนท้าย เลิกคิ้วสูงมองฉันด้วยสายตาที่สงสัย“อะไรคะ”“ผมสังเกตมาหลายวันแล้วนะ ทำไมไม่นั่งลงคุยกันดีๆ” เขาถามแล้วจ้องหน้าเพื่อต้องการคำตอบ“ก็พยายามออกห่างจากบอสไงคะ บอสจะได้สบายใจว่าหยีไม่มีวันจะเข้าไป
หลังจากที่เผลอใจไปกับบอสที่ห้องประชุม เราก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองโดยที่คุณโย่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีตั้งแต่ที่ได้ครอบครองร่างกายของฉัน“บอสดูอารมณ์ดีนะ”“ค่ะพี่บี คุยงานลงตัวค่ะ” ฉันบอกพี่บีแล้วหันกลับไปทำสรุปรายงานการประชุมเตรียมส่งให้เขา“เย็นนี้ไปกินข้าวกับพี่นะ ตั้งแต่หยีมาทำงานที่ชั้นนี้พี่ยังไม่ได้ฉลองให้หยีเลย” ผู้จัดการหนุ่มชักชวนเธอ แต่ฟังดูแล้วมันเหมือนจะเป็นการมัดมือชกมากกว่า“เย็นนี้หยีไม่ว่างค่ะ” ฉันตอบเขาแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานตรงหน้าต่อ“งั้นพรุ่งนี้พี่จองตัวนะ” เขายังไม่ละความพยายาม แสดงออกชัดเจนว่าชอบฉันจนรู้สึกอึดอัดมากกว่าจะภูมิใจที่มีผู้ชายมาชอบพร้อมกันทั้งผู้จัดการทั้งบอสอย่างไรฉันก็เอนเอียงไปทางบอสอยู่แล้ว แต่ว่าไม่รู้ว่าเขาจะเก็บฉันเป็นเมียลับๆ หรือว่าจะเปิดเผย ฉันเลยไม่อยากตัดพี่เชนออกจากตัวเลือกแม้จะตกเป็นของบอสไปแล้วก็ตาม“ขอดูก่อนนะคะ” ฉันยังไม่กล้ารับปากเขาเพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้บอสจะเรียกหาไหมและเหมือนประตูมีหู อยู่ๆ บอสก็โทรอินเตอร์คอมออกมาจากในห้องทำงานแล้วเรียกฉันให้เข้าไปพบ“ค่ะบอส” ฉันนั่งเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับเขาแล้วมองใบหน้าที่ตอนนี้ดูเคร่งเครียดใส่
ในตอนเช้าฉันตื่นก่อนคุณโย่งแล้วยิ้มมองเขาที่ยังนอนหลับอยู่และกรนเบาๆ ด้วยใบหน้าที่ดูไร้พิษสงเมื่อคืนนี้เขาเพิ่มลายนิ้วมือฉันเข้าไปในระบบเปิดประตูพร้อมกับรหัสผ่านกรณีสแกนไม่สำเร็จทำให้ฉันมั่นใจในตัวเขามากขึ้นตอนแรกยอมรับว่ากลัวจะเป็นของเล่นบอส แม้จะเต็มใจเป็นของเล่นแต่ลึกๆ ก็หวังครอบครองหัวใจ และตอนนี้ฉันก็มั่นใจว่าครองหัวใจบอสเอาไว้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ลงทุนให้ฉันมาอยู่ที่นี่ด้วยหรอกฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปนั่งประจำที่โต๊ะทำงาน พี่บีและพี่เก่งมาทำงานตั้งแต่เช้าแล้วมองฉันที่มาถึงก่อนด้วยความแปลกใจเพราะปกติถึงจะมาเช้าแต่ก็เป็นคนสุดท้ายของคนในห้องนี้ตลอด“มาเช้าเชียวนะคุณเลขาหยี”“พอดีตื่นไวค่ะพี่บี แล้วก็ต้องมาเตรียมเอกสารให้บอสด้วย”“มาเช้าแบบนี้ไม่ใช่ว่านัดมากินข้าวเช้ากับใครหรอกนะ” พี่เก่งยิ้มแซวแล้วหันไปทางพี่เชนที่เดินมาพอดี พร้อมกับขนมและเครื่องดื่มที่ซื้อมาเผื่อฉัน“พี่ซื้อมาฝาก”“ขอบคุณมากเลยนะคะ แต่ว่าพี่เชนไม่ต้องซื้อมาให้หยีแล้วนะคะ หยีเกรงใจมากๆ เลย” ฉันบอกเขาแล้วไม่รับถุงที่เขายื่นมาให้“รับไว้เถอะพี่เต็มใจซื้อมาให้”“หยีรับไว้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ ขอโทษนะคะ” ฉันปฏิเสธอ
คืนวันเสาร์ที่เป็นวันสุดท้ายในการทำงานของสัปดาห์ และเป็นวันที่ฉันหายจากประจำเดือนพอดี คุณโย่งก็เตรียมพร้อมจะตะปบฉันด้วยลีลาของเสือที่กระหายเหยื่อตั้งแต่ตอนหัวค่ำแล้วแต่ฉันห้ามเอาไว้ก่อน“อย่าพึ่งใจร้อนสิคะ” ฉันห้ามเขาเอาไว้กับบอสหนุ่มที่แสนเอาแต่ใจและขี้เอาคนนี้“กินยาคุมไม่กี่วันอึ๋มขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย”“มันอึ๋มแต่แรกแล้วล่ะคะ ไม่เกี่ยวกับยาคุม” ฉันพูดพลางส่ายหน้าอกยั่วยวน“ห้ามผมไม่ให้ทำแต่ส่ายนมยั่วแบบนี้ใจร้ายนะ” เขาตัดพ้อเสียงเล็กเสียงน้อย เป็นแมวน้อยสำหรับฉันทำให้ยิ้มได้ทุกวันกับความน่ารักที่เขามีให้กับฉันคนเดียวเขาคร่อมทับร่างฉันเอาไว้แล้วรวบมือทั้งสองกดลงที่เตียง แสดงบทบาทซาตานล่าสวาทออกมาทางสีหน้าและแววตาที่หื่นกระหายนั้น“บอสหื่นจังเลยค่ะ แต่หยีชอบนะ”เขายิ้มรับแล้วกดจูบลงมาแล้วตวัดลิ้นเกี่ยวจูบอย่างดูดดื่ม จนรู้สึกได้ถึงห้วงลมหายใจที่ติดขัดราวกับจะจมดิ่งในน้ำลึกเมื่อจุมพิตกลีบปากหวานฉ่ำจนพอใจเขาจึงถอดถอนริมฝีปากออกแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วมุดหน้าไซ้ซอกคอตั้งใจจะฝังรอยจุมพิตเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของจนฉันต้องโวยวายออกมา“ถ้าคอหยีเป็นรอย หยีจะขนของหนีเลย” ฉันร้องขู่เขาไม่ยอมใ
ชายหนุ่มอายุประมาณสี่สิบต้นๆ หน้าตาดูหล่อเหลาคมคายและคุ้นหน้าค่าตาเสียเหลือเกิน แต่ฉันนึกไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน เขากำลังลากกระเป๋าใบใหญ่จะเข้ามาในลิฟต์ที่ฉันยืนอยู่“รอด้วยครับ!” น้ำเสียงที่รีบร้อนนั้นทำให้ฉันต้องกดประตูลิฟต์ค้างเอาไว้เพื่อรอเขาทันทีที่เข้าลากกระเป๋าก้าวเข้ามาก็ยิ้มให้อย่างสุภาพ เสื้อผ้าที่ดูสวมใส่ก็ไม่ใช่ของแบรนด์เนมแต่โดยรวมแล้วกลับแต่งตัวดูดีสมวัยและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก‘ตัวก็หอมด้วย ...ว่าแต่เขาเป็นใครกันนะ’ ฉันได้แต่แอบคิดในใจ“ไปชั้นไหนคะ” ฉันถามอย่างสุภาพ“ชั้นห้าครับ” เขายิ้มอย่างสุภาพ และจะไปชั้นเดียวกับฉันจึงไม่ต้องกดหมายเลขชั้นซ้ำสองแล้วเราต่างก็ยิ้มให้แก่กันแก่เก้อ“พึ่งย้ายมาอยู่ใหม่เหรอคะ ไม่คุ้นหน้าเลย” ฉันทักทายเขาก่อนแล้วพยายามนึกว่าเคยเห็นเขาที่ไหน“ครับ” เขายังคงยิ้มอย่างสุภาพ แต่เพราะกลัวเขารำคาญฉันเลยไม่ได้ถามอะไรต่อแล้วเราก็ยืนรอในลิฟต์อย่างเงียบๆเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ฉันก็เดินไปที่ห้องของตัวเองในขณะที่ผู้อาศัยรายใหม่ก็ลากกระเป๋าตามมาติดๆ แล้วหยุดอยู่ที่ห้องข้างๆ ฉัน เราจึงมองหน้าแล้วยิ้มให้กันอีกรอบ“คุณอาอยู่ห้องข้างๆ นี่เอง หนูชื่อ
พอรู้ว่าเพื่อนบ้านคนใหม่เป็นผู้กำกับหนังเรตอาร์ พอกลับมาถึงห้องสิ่งแรกที่ทำคือการเปิดเข้าไปดูงานของเขาเพื่อศึกษาให้รู้ว่าเขาทำงานแบบไหนหนังทุกเรื่องที่เขากำกับมีการเขียนบทที่ไม่ต่างจากละครรักทั่วไป เน้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมชนชั้นกลางและมีความสมจริงในบทบาทนั้นๆฉากเลิฟซีนจะมีการกอดจูบลูบไล้กันอย่างเร่าร้อน เสื้อผ้าค่อยๆ ถูกปลดเปลื้องออกไปแล้วไซ้จูบกันอย่างถึงเนื้อถึงตัวพอถึงฉากที่ต้องสอดใส่นักแสดงจะเผยให้เห็นแค่หน้าอกและสะโพกเท่านั้น เน้นการออกท่าทางและสีหน้า พร้อมทั้งมีเสียงครางกระเส่าอย่างธรรมชาติไม่ได้ครางอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนหนังต่างประเทศบางเรื่อง“แบบนี้เกิดอารมณ์เคลิบเคลิ้มตามกว่าหนังเอ็กซ์ที่เปิดฉากมาก็แก้ผ้าเอากันเลย อาเน็ทกำกับออกมาดีจริงๆ” ฉันพูดชื่นชมเขาออกมาแล้วปิดหน้าจอลงแค่จะดูเพื่อศึกษางานของเขาแต่รู้สึกมวนท้องน้อยแปลกๆ และรู้สึกได้ถึงความฉ่ำแฉะที่กางเกงชั้นในบ่งบอกถึงคุณภาพงานของเขาฉันถือโอกาสนี้อาบน้ำ ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกแล้วจินตนาการถึงหนังอาร์ที่ได้ดูเมื่อครู่นี้แล้วเดินไปนั่งที่ชักโครก ใช้นิ้วและสายยางฉีดน้ำสร้างความสุขให้กับตัวเองในนาทีที่กำลังจะถึงจ
หลังจากมื้ออาหารค่ำจบลง เราก็ดื่มกันต่อพร้อมกับอาเน็ทที่เปิดงานของเขาที่ยังไม่ตัดต่อให้ฉันดูภาพจากต้นฉบับกลิ่นฉุนของเครื่องดื่มในมือนั้นทำให้ฉันนิ่วหน้าเล็กน้อย ค่อยๆ จิบมันไปขณะที่เขาเปิดงานให้ดู แทบจะไม่เกิดอารมณ์เลยสักนิดเพราะหนังที่เราเห็นฉากเลิฟซีนต่อเนื่องนั้น จริงๆ แล้วถ่ายทำในมุมต่างๆ อยู่หลายครั้ง แต่ละครั้งโยกอยู่ไม่กี่นาทีก็เปลี่ยนมุมกล้องเพื่อถ่ายทำในมุมอื่นอีก“ที่เขาบอกว่าใส่ถุงเท้าตอนที่ถูกกันเรื่องจริงเหรอคะ นึกว่าเป็นมุกพูดเล่นเสียอีก”“ใช่แล้ว แต่ฝ่ายหญิงน่ะไม่มีอะไรปิดนะค่อนข้างเสียเปรียบหน่อย การเซฟผู้ชายจึงเป็นการเพิ่มความมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเกินเลย”“แล้วแบบนี้มีเขินกันไหมคะ แบบถูๆ กันแล้วเกิดอารมณ์ น้ำแฉะอะไรแบบนี้” ฉันถามตามตรงด้วยความอยากรู้“ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละถูๆ ฉากนี้ก็สั่งคัท ถูๆ ฉากนั้นก็สั่งคัท นักแสดงเหนื่อยจนไม่มีอารมณ์ บางทีพระเอกไม่แข็งด้วยซ้ำ”“แล้วเคยมีฉากที่เกิดอารมณ์จริงไหมคะ แล้วนักแสดงชายเผลอสอดใส่เข้าไป”“ก็อาจจะมีนะ แต่กองถ่ายของอาไม่มี ถามมากแบบนี้ลองดูไหมจะได้เห็นภาพ” เขาหันหน้ามาถาม กลิ่นลมหายใจที่เจอแอลกอฮอล์ของเราทำให้ฉันขนลุกซู่ เ
ใบหน้าที่ดูจริงจังของผู้กำกับวัยสี่สิบกว่าทำให้ฉันมองอย่างหลงใหล ไม่ใช่แค่ลีลาบนเตียงและรูปลักษณ์ที่ดูอบอุ่นของเขาที่ทำให้ฉันรู้สึกลุ่มหลงแต่เป็นเพราะนิสัยใจคอจริงๆ ของเขาด้วย“งานยังไม่เสร็จเหรอคะ อาหารมาแล้วนะ” ฉันเดินเข้าไปกอดเขาจากด้านหลังเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วหอมแก้มสากนั้นพร้อมกับคลอเคลียที่ข้างใบหูของเขา“อีกนิดหนึ่งน่ะ กินข้าวก่อนก็ได้นะ”“อาเน็ทตัดต่อเองทำเองทั้งหมดแบบนี้ไม่มีทีมงานช่วยเหรอคะ” ฉันมองหน้าจอตรงหน้าที่เขาตัดงานค้างเอาไว้“พึ่งลาออกไปคนหนึ่งน่ะตอนนี้เลยไม่มี กองถ่ายเล็กๆ โปรดักชั่นธรรมดาน่ะมีตัดต่อคนเดียว พอลาออกไปอาเลยต้องทำหน้าที่นี้ไปก่อนจนกว่าจะหาคนใหม่ได้”“ให้หวานช่วยไหมคะ หวานได้เกรดเอวิชาตัดต่อและกราฟฟิก เคยตัดต่อหนังสั้นส่งประกวดมาแล้วด้วย” ฉันรีบเสนอตัวช่วยงานเขา จะได้ยิ่งทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น“งั้นกินข้าวแล้วอาจะสอนงานนะ”“ขอบคุณนะคะที่ให้หวานมีส่วนช่วยในงานของอาเน็ท”“อาต่างหากที่ขอบคุณหวาน ที่มาช่วยงานของอา” เขาลุกขึ้นแล้วหันมากอดฉัน โยกตัวไปมาเบาๆ อย่างเอ็นดูฉันเสียจนฉันอยากดูเอ็นเขากลับแต่เสียดายที่จราจรติดขัดเพราะติ
เมื่อหัวใจตรงกันเรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรยากเลยสักนิดปกรณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของศรีภิญญาที่ฝากท้องที่บ้านเธอในทุกวัน แล้วยังเป็นฝ่ายหอบหิ้วอาหารไปจนพ่อแม่ของเธอขอให้พวกเขาเป็นฝ่ายต้อนรับบ้าง“แม่บอกว่าไม่ต้องซื้อเข้ามา แม่จะโชว์ฝีมือทำอาหารให้กินเอง”“ไม่ได้หรอกครับ กว่าจะกลับมาถึงบ้าน กว่าจะทำอาหาร ผมไม่อยากให้คุณแม่เหนื่อย” เขาเรียกมารดาของศรีภิญญาว่าแม่ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ“ก็สะดวกดีนะคุณ อร่อยด้วย”เธอหันไปมองค้อนสามี “คุณพูดแบบนี้แปลว่าฉันทำอาหารไม่อร่อยเหรอ”“เปล่า ผมแค่จะบอกว่าอาหารที่ซื้อมาทั้งอร่อยทั้งสะดวก ฝีมือคุณน่ะอร่อยกว่าเป็นสิบเท่า พวกนี้เทียบไม่ติดหรอก” สามีวัยกลางคนพูดอย่างเอาใจปกรณ์และศรีภิญญาหัวเราะให้กับทั้งคู่ที่งอนง้อกันราวกับคู่รักหนุ่มสาว“แล้วที่บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะพูดคืออะไรเหรอลูก” ว่าที่แม่ยายหันมาถามแล้วมองด้วยสายตาที่อยากรู้เรื่องราวมือใหญ่หยิบแก้วน้ำดื่มที่มีหยดน้ำเกาะขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหายและลดความตื่นเต้น ยื่นมือไปกุมมือของคนรักที่คบหากันมานานสามเดือนเอาไว้เพื่อพูดเรื่องสำคัญ“ผมไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่ไหน เลยอยากจะมาทาบทามสู่ขอศรีให้ม
นอกจากห้องทำงานของเขาแล้ว ในเวลากลางวันร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของศรีภิญญาก็เป็นอีกสถานที่ที่เขาใช้เวลาอยู่กับการเอาใจเธอ“ที่นี่เป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้านะคะ ไม่ใช่คาเฟ่ที่จะมานั่งตากแอร์เล่น” เธอบอกเขาที่นั่งจิบกาแฟแก้วที่สองแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมกลับ“ผมขอเครื่องซักผ้าห้าเครื่อง พัดลมสิบ ทีวีสามสิบเก้านิ้วห้าเครื่อง” เขาบอกเธอแล้วพยักหน้าให้ลภัสเตรียมตัวนำบัตรเครดิตออกมาให้“จะซื้อไปทำไมคะตั้งเยอะแยะ”“เอาไปเป็นของขวัญปีใหม่ให้พนักงานจับสลากครับ” เขาตอบแล้วมองดูใบหน้าที่จริงจังของเธอ“นี่เพิ่งจะเดือนสิงหา เตรียมพร้อมมากเลยนะคะ” เธอหรี่ตามองเขาที่พยายามจะทำทุกอย่างเพื่อทำคะแนน และมันทำให้พ่อแม่เธอพอใจเป็นอย่างยิ่ง“เอาไว้ค่อยกลับมาซื้อเถอะค่ะ ซื้อไปเก็บไว้มันจะหมดประกันทิ้งเปล่าๆ” เธอบอกเขาไม่อยากให้เสียเงินในการมาเอาใจเธอ จากนั้นก็เดินไปต้อนรับลูกค้าที่กำลังหลั่งไหลเข้าร้าน“ศรีเขาชอบคนทำการทำงานน่ะ มานั่งเฝ้าเขาแบบนี้เขาไม่ปลื้มหรอกนะ” แม่ของเธอแอบมากระซิบบอกเขาเพื่อเอาใจช่วยแล้วรีบกลับไปนั่งประจำที่โต๊ะของตนปกรณ์นั่งรอจนกระทั่งเธอว่างแล้วเดินเข้าไปพูดคุยด้วย “ผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะ
“วันนี้มีการประมูลสำคัญ บอสไม่เตรียมตัวออกไปเหรอครับ” เลขานุการหนุ่มถามกึ่งเตือนความจำให้แก่อีกฝ่ายโดยปกติแล้วปกรณ์จะนับวันนับคืนรอให้วันนี้มาถึงแต่ครั้งนี้กลับดูนิ่งๆ และไม่ได้สนใจรับรู้อะไร“ฉันไม่ไป นายก็รู้นี่ว่ามันไม่ค่อยทำงาน” เขาตอบเสียงเรียบเมื่อพูดถึงเรื่องน้องชายที่หลับยาวลภัสนึกถึงเรื่องนี้ได้ก็ไม่แปลกใจที่เจ้านายไม่อยากไปงานนี้ปกรณ์วางมือจากงานแล้วนั่งหมุนปากกาในมืออย่างครุ่นคิด หลายวันมานี้มีแต่ใบหน้าของศรีภิญญาลอยมารบกวนจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลา“ก็ไม่ได้สวยอะไรขนาดนั้น เถียงก็เก่ง ก็แค่ยิ้มหวาน เสียงนุ่ม ดูรวมๆ แล้วน่ารักเป็นธรรมชาติ ทำไมฉันต้องคิดถึงเธอด้วยนะ” เขาพึมพำแล้วพ่นลมหายใจออกมา“บอสว่าอะไรนะครับผมได้ยินไม่ถนัด อะไรหวานๆ นุ่มๆ” ลภัสเงยหน้าจากโต๊ะทำงานของตนที่อยู่ในห้องเดียวกันกับเจ้านายขึ้นมาถามเมื่อได้ยินเขาพูด“ฉันไม่ได้พูดกับนาย”“ให้ผมหยุดเรื่องตามหาผู้หญิงด้วยเลยไหมครับ”“หยุดได้เลย ฉันไม่สนใจแล้ว” เขาพูดด้วยท่าทางเหม่อลอยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“ยังไม่สบายใจกับสิ่งที่คุณศรีภิญญาพูดอีกเหรอครับ บอสอย่าเอามาใส่ใจเลยครับ บางทีมันอาจเป็นเพราะช่วงนี้บอสทำงานหนั
ที่บริษัทขายอุปกรณ์ไฟฟ้าเล็กๆ ของครอบครัว ศรีภิญญากำลังเดินตรวจดูสินค้าในสต๊อกหลังร้านพร้อมกับพนักงานอีกคนหญิงสาวช่วยงานที่ร้านมาตั้งแต่เด็ก รู้วิธีการทำงานและขั้นตอนต่างๆ เป็นอย่างดี พอเรียนจบเธอก็กลับมาทำงานที่บ้านแต่ก็อยากลองออกไปหาประสบการณ์ที่อื่นดูบ้างข้อเสนอของลภัสที่ติดต่อมาตอนนั้นทำให้เธอดีใจที่จะหลุดออกจากกรอบของธุรกิจครอบครัวแต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้านายของเขาจะดับความฝันเธอแล้วยังดูถูกกันอีก“สินค้าครบนะคะ แต่ของแถมลูกค้าหายไปห้าชิ้น” เธอพูดเสียงนุ่มหวาน“เมื่อวานนี้ลูกค้าซื้อพัดลมไปสองตัวค่ะ แล้วก็เครื่องซักผ้าสองเครื่อง ต่อรองเก่ง แต่เจ๊แกไม่ลดให้เฮียก็เลยแถมปลั๊กพ่วงไปสองอันแล้วก็ร่มสามคันค่ะ”“คนเดียวใช้ร่มตั้งสามคันเลยเหรอ พ่อนะพ่อ” เธออดส่ายหน้าให้กับการแก้ปัญหาแบบคนใจอ่อนของบิดาไม่ได้“น้องศรีคะ เจ๊เรียกไปขายของค่ะ” พนักงานขายหน้าร้านเดินเข้ามาเรียกเธอ“แล้วทำไมพี่มะลิไม่ขายเองล่ะคะ”“ก็ลูกค้าบอกเจ๊ว่าจะซื้อกับน้องศรีค่ะ เจ๊เลยให้พี่มาตาม ลูกค้าท่าทางน่ากลัวแต่หล่อมากค่ะ อย่างกับพระเอกหนังจีนฟีลแบบเจ้าพ่อ” มะลิพูดแล้วทำหน้าตาชวนฝันใบหน้าหวานลดยิ้มลง คิดว่าคงเป็น
คำดูถูกและต่อว่าจากหญิงสาวแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอกันมาเขาควรจะรู้สึกโกรธจนอยากบีบคอเธอที่หญิงสาวพูดจี้ถูกจุดอ่อนในใจของเขา ความรักเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้รู้สึกมานานแล้วตั้งแต่ที่โดนทรยศไปในตอนนั้น แต่กลับรู้สึกดีกับคำต่อว่านั้น“ฉันจะออกไปข้างนอกนะจะกลับมาตอนค่ำๆ มีอะไรก็ค่อยคุยกันพรุ่งนี้” เขาบอกเลขานุการหนุ่มเสียงเรียบและใบหน้าดูไร้อารมณ์ราวกับกำลังเบื่อหน่าย“ครับ” ลภัสรับทราบแล้วยืนมองเจ้านายลุกขึ้นแล้วคว้าเสื้อสูทที่แขวนอยู่ด้านหลังมาสวมด้วยท่าทางองอาจ กระชับเสื้อให้เข้าที่แล้วเดินออกจากห้องไปโดย ใช้ลิฟต์ส่วนตัวที่ตรงไปยังร้านจอดรถยนต์ของเขาเศรษฐีหนุ่มขับรถไปยังไนต์คลับแห่งหนึ่งแล้วเลือกสาวสวยให้มานั่งเคียงข้าง จนเพื่อนของเขาที่เป็นเจ้าของไนต์คลับเกิดความสงสัยขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปทักทาย“มาแต่หัววันเชียวนะ ลูกค้าคนแรกเลยมั้งเนี่ย”“ใครใช้ให้แกเปิดก่อนที่อื่นเขาล่ะ” ปกรณ์พูดยิ้มๆ ที่นี่เปิดเร็วเหมาะสำหรับคนใหญ่คนโตมานั่งคุยงานแบบมีสาวสวยนั่งคลอเคลีย“ปกติแกไม่ค่อยสนใจผู้หญิงของฉันเลยนี่หว่าครั้งนี้ลดสเปกลงเหรอหรือว่ายังไง” เขาถามเพราะปกติแล้วคู่นอนที่ปกรณ์เลือกส่วนมากจะเป็นลูกค้าในร้านท
หลังจากที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ศรีภิญญาก็เริ่มรู้สึกว่าเธอทำตัวไม่ถูกเพราะสายตาเข้มคู่นั้นจ้องมาที่เธอราวกับทะลุเข้าไปในเสื้อผ้า“คุณจะให้ฉันทำงานอะไรเหรอคะ” เธอตัดสินใจทำลายความเงียบแล้วถามว่าเขาขึ้นมาตรงๆ อย่างเช่นที่เขาเองก็พูดตรงๆ กับเธอในตอนแรก“อันดับแรกผมขอสัมภาษณ์คุณก่อน” เขาไม่ตอบคำถามเธอแล้วเปลี่ยนประเด็นเป็นการคุยเรื่องอื่นแทน“ค่ะ อย่างนั้นก็ได้”“คุณเคยมีแฟนมาก่อนหรือเปล่า” คำถามแรกก็ทำเอาหญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยเธอไม่มั่นใจเลยว่าคำถามนี้มันเกี่ยวกับการทำงานของเธออย่างไร พลางคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขาใช้คำถามจิตวิทยากับเธออยู่ก็เป็นได้“ยังไม่เคยมีค่ะ” เธอตอบเขาไปตามความจริง“แล้วคุณเคยทำกิจกรรมโลดโผนอะไรไหม อย่างเช่นปั่นจักรยาน วิ่ง หรือยิมนาสติก”“ก็เคยค่ะ แต่ไม่ได้โลดโผนมาก” คำถามของเขาเริ่มฟังดูแปลกๆ“คุณคิดอย่างไรกับเรื่องมีความสัมพันธ์กับผู้ชายที่ไม่ใช่คนรัก” คำถามนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก ไม่ว่าจะเป็นคำถามทางจิตวิทยาหรือไม่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรถามกับคนที่ไม่ได้สนิทกันมากพอ“ขอโทษนะคะคำถามพวกนี้มันเกี่ยวกับหน้าที่ของฉันตรงไหนเหรอคะ” หญิงสาวถามแล้วจ้องตาเขาอ
“นี่จะสองสัปดาห์แล้วนะ ได้เรื่องไหม” ปกรณ์ถามเลขานุการเมื่อเซ็นเอกสารในแฟ้มเสร็จแล้ว“คนที่สมัครมาเยอะเลยครับ แต่พอพาไปตรวจก็ไม่พบว่าใครเหลือเยื่อพรหมจรรย์อยู่เลย บางคนหมอบอกว่าอาจจะฉีกขาดเพราะกิจกรรมหนักๆ เช่นปั่นจักรยาน แต่ก็ไม่สามารถรับรองได้”“สรุปว่าไม่มีใครเลยเหรอ”“มีคนหนึ่งครับ เธอไม่ได้สมัครมาแต่ว่าเพื่อนของเธอแนะนำมาอีกที ผมให้คนไปสืบแล้วเธอโสดและไม่มีภาระหนี้สิน ครอบครัวอยู่ในฐานะดี ที่บ้านก็มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ท่าทางก็อ่อนหวานเรียบร้อย น่าจะยังไม่เคยผ่านใครมาจริงๆ แต่เรื่องพรหมจรรย์ผมยังไม่แน่ใจ”“ทุกวันนี้ผู้หญิงบริสุทธิ์หายากขนาดนั้นเลยเหรอ” ปกรณ์พูดอย่างครุ่นคิด“ถ้าบริสุทธิ์แบบไม่ผ่านผู้ชายมาก่อนก็มีเยอะครับ แต่คนที่เยื่อพรหมจรรย์ยังอยู่ดีแบบที่บอสต้องการมันไม่ได้หาง่ายๆ เลย หมอก็บอกว่าของแบบนั้นมันสามารถฉีกขาดได้”“นั่นสินะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครเอามาประมูลในราคาที่สูงลิ่วอย่างนั้นหรอก”“บอสไม่สนใจสาวบริสุทธิ์ที่ไม่มีข้อกำหนดเรื่องเยื่อพรหมจรรย์บ้างเหรอครับ แบบนั้นจะหาง่ายกว่า” เลขานุการหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย“ฉันชอบความรู้สึกตอนที่ดันเข้าไป
เพราะทนรอให้บริษัทประมูลไม่ไหว ปกรณ์จึงใช้อำนาจเงินของตนในการประกาศหาสาวพรหมจรรย์มาเป็นคู่นอนของตนโดยผ่านเลขานุการมือขวาให้จัดหาผู้หญิงให้กับตน“เรื่องหาผู้หญิงผมทำได้นะครับบอส แต่ว่าให้หาผู้หญิงที่ยังบริสุทธิ์มันยากมากเลยนะครับ” ลภัสบอกนายของตนด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลเพราะเรื่องนี้มันผิดกฎหมายจะประกาศหาแบบโจ่งแจ้งนั้นไม่สามารถทำได้ และทำได้แบบจำกัดและไม่สามารถตรวจสอบได้“หามาแล้วพาไปตรวจให้หมอรับรอง ถ้าใครผ่านก็พามาไม่ผ่านก็ไม่ต้องจ่ายเงิน” ปกรณ์พูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องง่าย แม้เขาระบายกับใครก็ได้แต่อย่างน้อยทุกๆ หนึ่งเดือนก็ต้องได้สาวบริสุทธิ์สักคน“ครับ” เลขาหนุ่มได้แต่รับปาก เพราะหน้าที่เขาคือทำตามคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น ลภัสคิดหาวิธีหาหญิงสาวที่เจ้านายต้องการโดยใช้วิธีถามหาจากคนจัดหาสาวไซด์ไลน์ให้ถามหาเพื่อนๆ นักศึกษาที่อยากหาเงินใช้และพึ่งจะก้าวเข้ามาในวงการ โดยเน้นคนที่ยังบริสุทธิ์พร้อมเสนอราคาที่สูงไม่นานก็มีคนติดต่อเข้ามารับงานนี้มากมาย ลภัสนัดหญิงสาวเหล่านั้นไปตรวจภายในเพื่อยืนยันแต่ว่าทั้งสิบเอ็ดคนที่สมัครเข้ามานั้นไม่มีใครหลงเหลือเยื่อพรหมจรรย์เลยทำให้พวกเธอ
หลังจากหญิงสาวกลับออกมาจากห้องน้ำ เขาก็มองเอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกระหายแล้วลุกขึ้นถอดชุดคลุมของตนเองเผยให้เห้นหุ่นเปลือยกำยำสมส่วนและท่อนแกร่งที่ผงาดตั้งลำเตรียมพร้อมทำศึกหญิงสาวคุกเข่าลงที่พื้นจับท่อนเนื้อนั้นมาดูดเลียอย่างเอาใจ เป็นขั้นตอนที่ถูกแม่เล้าที่ดูแลตอนเก็บตัวสอนมา ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งจากการประมูลของเธอใช้ในการจัดการของคนเหล่านี้ริมฝีปากสัมผัสอย่างชำนาญตามที่เคยฝึกให้อมมะเขือยาวก่อนออกสนามจริง“ไปที่เตียงกันเถอะ” เขาพูดเสียงพร่าแล้วพาเธอไปยังเตียงนอนกลางห้องที่ปูผ้าสีขาวรอเอาไว้สำหรับการลงสนามในคืนนี้เรือนร่างเปลือยและสะอาดสะอ้านนอนหงายอยู่บนเตียงภายใต้ร่างกำยำของชายใส่หน้ากาก เขาตวัดลิ้นไล้เลียซอกหูนุ่มทำให้เจ้าของร่างนวลเนียนอ่อนระทวยเพราะตามไม่ทันคนที่ประสบการณ์มากกว่าใบหน้าคร้ามก้มลงไปที่เนินอกแล้วงับดูดอย่างคลั่งไคล้ ดูดเลียไล้ยอดอกสีหวานสลับกันไปมาด้วยความกระหายหิว“อ๊าส์ เบาๆ ค่ะ ซี๊ด น้ำขิงเจ็บ” เธอครวญครางเสียงหลงด้วยความเสียวกระสันเขายกยิ้มอย่างพอใจ มุดหน้าดูดขบต่ออย่างไม่ปรานี เลื่อนอุ้งมือหนาจู่โจมกลีบเนื้อสาวแล้วกระตุ้นจุดอ่อนไหวนั้นให้เธอยิ่งรู้สึกเสีย