เมื่อคนทั้งสองมาถึง ทหารที่อยู่ใกล้ ๆ ก็วางร่างลงบนพื้นแล้วถอยออกไปเซียวเฝิงที่ยืนเฝ้าพร้อมดาบยาวในอ้อมแขน เมื่อเขาเห็นคนทั้งสองคนเข้ามาใกล้ เขาก็หลีกทางให้พื้นที่เล็ก ๆ ทันที“ท่านอ๋อง คนผู้นี้กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว ยังต้องสืบสวนอะไรเพิ่มอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เขาได้นำคนไปตรวจค้นร่างกายของคนผู้นี้อย่างละเอียดแล้ว อาจกล่าวได้ว่านอกจากสิ่งของทั่วไปบางอย่างที่เขาพกติดตัวก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยซูชิงอู่มองไปและเห็นว่าศพบนพื้นมีสีเขียวคล้ำและแขนขายังแข็งทื่ออีกด้วยผิวหนังเป็นสีเขียวคล้ำ มีบาดแผลลึกที่คอและเลือดแห้งไม่ว่าจะเป็นสาเหตุการตายหรืออาการอื่น ๆ ก็สามารถรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องตรวจสอบซูชิงอู่จ้องมองใบหน้าของคนผู้นั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ ๆ ก็หยิบขวดยาออกมาจากอ้อมแขนของตนนางเทยาลงบนใบหน้าของคนผู้นั้นต่อหน้าทุกคนจากนั้นดวงตาของเซียวเฝิงก็เบิกกว้างเพราะในไม่ช้าก็มีชั้นผิวหนังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้ตาย เหมือนกับงูลอกคราบ แลดูน่ากลัว“นะ…นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดผิวหนังของคนผู้นี้ถึงได้หนาถึงเพียงนี้? ไม่จริง…”เซียวเฝิงพูดด้วยความประหลาดใจ ขณะนั้นเขาก็เดินไปและค่อย ๆ เขี่ยผิว
เหตุการณ์ทำนองนี้คิด ๆ ไปก็น่ากลัวมากและเกิดขึ้นบ่อยจนยากที่จะป้องกันใครจะคิดว่าคนที่ต่อสู้เคียงข้างกันเมื่อวานจะกลายเป็นศัตรูในวันต่อมา?ซูชิงอู่เงียบ จากนั้นก็พูดอย่างปลอบใจ "ข้ามีข่าวดี"เซียวเฝิงหันหน้าทันทีพลางมองมาที่พระชายาอย่างคาดหวังซูชิงอู่พูดว่า “นั่นก็คือหน้ากากหนังมนุษย์ชนิดนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างละเอียดพิถีพิถันและทำจากวัสดุพิเศษ ซึ่งหายากมากและไม่สามารถใช้ในขนาดที่ใหญ่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่จะปลอมตัวเป็นบุคคลอื่น จะต้องมีรายละเอียดของใบหน้าที่ชัดเจนของบุคคลนั้นด้วย”เซียวเฝิงเงียบไปครู่หนึ่ง “นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่ข่าวดีนะพ่ะย่ะค่ะ"ซูชิงอู่เกาจมูกของนางแล้วพูดว่า "ข้าก็กำลังบอกเจ้าว่าบรรดาทหารทั่วไปเหล่านั้นจะไม่ถูกคนปลอมแปลงตัวมามากมายขนาดนั้น เพียงแค่เจ้าระวังคนที่อยู่ข้างกายก็พอ"เซียวเฝิง "..."หากแม้แต่ทหารทั่วไปก็ยังถูกแทนที่ เช่นนั้นก็ไม่ต้องรบกันแล้วล่ะ ยอมแพ้ไปเถิดเมื่อซูชิงอู่เห็นสีหน้าของอีกฝ่านก็อดที่จะหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ นางไม่กลัวเลยที่แคว้นอู๋ตะวันตกใช้อุบายนี้ขอเพียงพบเจอมันก่อนและเพิ่มความระมัดระวัง หากคนที่คุ้นเคยรอบตัวถูกแทนที่ ก็ใช่ว่าจ
ซูชิงอู่ส่ายหัว “แม้ข้าจะเชื่อในความแข็งแกร่งขององครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ด แต่ยิ่งมีคนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้น้อยลงเท่าไรก็ยิ่งดี”แม้องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดสามารถปลอมตัวและแอบเข้าไปได้ แต่สิ่งของที่เขาใช้ในการปลอมตัวนั้นนางก็ต้องจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าหากให้เขาทำเอง คงทำได้ไม่ดีแน่สิ่งนี้ต้องใช้ทักษะที่แม่นยำเป็นพิเศษ และต้องจำทุกรายละเอียดบนใบหน้าของอีกฝ่าย ไม่เช่นนั้นความลับจะถูกเปิดเผยแต่นางแตกต่างออกไปนางมีทักษะในการปลอมตัวเป็นอย่างมาก และสามารถใช้วัสดุเพื่อเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นได้ภายในเวลาเพียงนิดเดียวดังนั้น องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดและคนอื่น ๆ จะสามารถเข้าถึงได้เฉพาะวงนอกเท่านั้น แต่นางสามารถเข้าถึงคนใหญ่คนโตไปอยู่ข้างหายพวกเขาได้รวดเร็วที่สุดในเมื่อจะแก้แค้น การฆ่าลิ่วล้อจะไปมีประโยชน์อะไร?หากจะจับ ก็ต้องจับองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตก หรือลงมือจัดการเหยียนจั๋วไปเลยเมื่อเห็นว่าซูชิงอู่ตัดสินใจแล้ว เย่เสวียนถิงก็หลุบตาลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ได้ เช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย"เมื่อซูชิงอู่ได้ยินเช่นนั้น นางก็เงยหน้ามองเย่เสวียนถิง“ท่านอ๋อง!”นางไม่ต้องการให
ซูชิงอู่เหลือบมองเย่เสวียนถิงจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ "ตอนนี้เจ้าจะออกไปตะโกนดัง ๆ ข้างนอกก็ได้ว่าพระชายามายังเขตชายแดนแล้ว!"“ไม่...กระหม่อมไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ!”เหงื่อเย็นไหลออกมาบนหน้าผากขององครักษ์เงาลำดับสิบเจ็ด และเขาก็ทำความเคารพอย่างรวดเร็ว "ขอทำความเคารพพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"ซูชิงอู่จ้องมองเขาสักพักแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "อย่าใช้ใบหน้าของท่านอ๋องทำสีหน้าเช่นนั้น เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?""เข้าใจ เข้าพ่ะย่ะค่ะ..."เขาจะกล้าไม่เข้าใจได้อย่างไร?ซูชิงอู่มองท้องฟ้าด้านนอก จากนั้นก็เก็บสิ่งของทั้งหมดบนโต๊ะและซ่อนไว้ข้างเอวของนาง“ใกล้ได้เวลาแล้วท่านอ๋อง พวกเราต้องออกเดินทางกันแล้ว”"อืม"เย่เสวียนถิงเดินเคียงข้างนางออกมาจากกระโจมทหารคนที่รักษาการณ์อยู่นอกประตูได้ถูกเย่เสวียนถิงไล่ออกไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าท่านอ๋องของพวกเขาจากไปอย่างเงียบ ๆในคืนอันเงียบสงบ ซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงปีนเชือกอย่างเงียบ ๆ ลงมาจากประตูเมือง เย่เสวียนถิงตรงไปโอบเอวของนางและใช้วิชาตัวเบาออกเดินทางไปอย่างรวดเร็วแนวหน้าของค่ายทหารแคว้นอู๋ตะวันตกประจำการอยู่ห่างออกไปกว่าสิบลี้ แ
ก่อนที่จะถึงบริเวณค่ายทหาร ทั้งสองได้ลงจากม้าและแฝงตัวไปในความมืดมีหน่วยสอดแนมอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วแคว้นอู๋ตะวันตกเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์คาดไม่ถึงเมื่อตรวจจับความเคลื่อนไหวของทางเขตเจิ้นเป่ยได้ ก็จะพบอย่างรวดเร็วแล้วลงมือในทันทีซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงซ่อนตัวอยู่ในป่าใกล้ ๆ ที่อยู่บนพื้นที่สูง มองลงไปจะเห็นค่ายทหารที่อัดแน่นและไม่มีที่สิ้นสุดจากระยะไกลแสงไฟที่อยู่ตรงนั้นชัดเจนมากในตอนกลางคืน มองจากระยะไกล คบไฟเหล่านั้นดูเหมือนหิ่งห้อยเย่เสวียนถิงจับมือของซูชิงอู่เบา ๆ และลมหายใจของพวกเขาก็แผ่วเบาลง ในเวลานี้พวกเขาได้ยินเสียงหน่วยสอดแนมสองคนเข้ามายังบริเวณใกล้ ๆซูชิงอู่ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เย่เสวียนถิง และทันทีที่หน่วยสอดแนมทั้งสองเดินเข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ที่พวกเขาอยู่ จู่ ๆ ก็ตัวกระตุกและล้มลงไปกับพื้นเย่เสวียนถิงรีบเดินไปลากคนสองคนมาที่หลังต้นไม้อีกต้นหนึ่งซูชิงอู่เก็บแมงมุมพิษตัวเล็ก ๆ สองตัวที่เกาะอยู่บนลำต้นของต้นไม้ และยังคงพ่นใยออกมาเป็นเลือด หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง นางก็เห็นว่าเย่เสวียนถิงถอดชุดเกราะของทั้งสองคนออกแล้วมอบให้ซูชิงอู่หนึ่งชุดซูชิงอู่สวมเสื้อผ้าโดย
แม้จะไม่ค่อยได้เห็นมากนัก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายสักเท่าไรเย่เสวียนถิงใช้กลอุบายเล็ก ๆ เพื่อปกปิดการตายของคนทั้งสองได้สำเร็จว่าถูกสัตว์ป่าฆ่ากว่าที่คนเหล่าจะได้มีปฏิกิริยาอะไร ทั้งสองก็มาถึงกระโจมผู้นำแล้วทหารที่เฝ้าประตูค่ายเห็นคนเข้ามาจึงยกมือขวางพวกเขาทันทีซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขากลายเป็นหัวหน้าของกลุ่มก่อนหน้านี้แล้วระหว่างทางที่มาที่นี่ ซูชิงอู่ได้ช่วยเย่เสวียนถิงและตัวนางเปลี่ยนการแต่งหน้าแบบง่าย ๆเมื่อประกอบกับตอนกลางคืนที่มีความมืดช่วยปิดบัง นางไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดมากนัก ดังนั้นนางจึงดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเห็นได้ชัดว่าทหารเฝ้าประตูรู้จักคนที่ซูชิงอู่ปลอมตัวมา เขาถามด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “เฝิงหู่ เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่?"หัวหน้าผู้น้อยที่ลาดตระเวนอยู่ภายนอกไม่ได้มีตำแหน่งขุนนางที่ใหญ่โต ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่คนผู้นี้จะถูกเรียกด้วยชื่อจริงใบหน้าของซูชิงอู่จริงจังมากและแม้แต่เสียงของนางก็เหมือนกับหัวหน้าผู้นั้นในตอนนี้ทุกประการ “ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องเข้าไปรายงานท่านแ
ซูชิงอู่ก้มหน้าพลางก้าวไปข้างหน้าอย่างนอบน้อมหนึ่งในทหารอารักขาสองที่อยู่ใกล้ ๆ เดินเข้ามาและกำลังจะหยิบป้ายอาญาสิทธิ์ในมือของซูชิงอู่ทว่าทันใดนั้น...มีผงแป้งปลิวไปตามสายลม จนมาโปรยลงบนใบหน้าของทั้งสามคนในกระโจมทหารทันทีระยะห่างช่างพอดีภาพนั้นทำให้รองแม่ทัพเบิกตากว้าง เขากำลังจะตวาดด้วยความโกรธ แต่ก็พบว่าตนเวียนศีรษะ และการมองเห็นของเขาก็ดับมืดลงก่อนจะเอนตัวนอนลงไปอีกสองคนก็ล้มลงกับพื้นเบา ๆ และไม่ได้ส่งเสียงดังมากนักซูชิงอู่เก็บป้ายอาญาสิทธิ์ปลอมในมือของนางนางหรี่ตาพลางเดินข้ามคนที่ล้มลงตรงหน้านางและยิ้มมุมปากเย้ยหยันจากนั้นนางก็เดินไปหารองแม่ทัพที่อยู่ด้านหน้า สายตาของนางจ้องไปที่ใบหน้าของเขา และนางก็สังเกตรูปร่างของเขาต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งจู่ ๆ ก็มีเสียงมาจากข้างใน“ให้คนที่รอข้างนอกเข้ามาด้วย”ทหารที่เฝ้าอยู่นอกกระโจมทหารที่ไม่รู้เหตุผล พวกเขามองไปยังเย่เสวียนถิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขา และหลีกทางให้เขาเข้าไปเย่เสวียนถิงเดินเข้าไปในกระโจมทหารและเห็นคนสามคนนอนเรียงกันอยู่บนพื้นร่างหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางหันกลับมา แล้วยิ้มมุมปากให้เขาอีกทั้งยัง
ต้องเก็บรองแม่ทัพผู้นั้นไว้เพื่อที่จะปลอมตัวเป็นเขาได้ดีขึ้น นางจำเป็นต้องรู้ข้อมูลพื้นฐานบางอย่างจากปากของอีกฝ่ายส่วนอีกสองคนนั้น...นางตัดสินใจฝังไปเลยแคว้นอู๋ตะวันตกเป็นศัตรูและไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลใด ๆที่นี่คือสนามรบ หากไม่ฆ่าศัตรู ศัตรูก็จะฆ่าตนนี่คือแนวคิดพื้นฐานเย่เสวียนถิงลงมือจัดการได้อย่างสะอาดไร้ร่องรอยเขาฝังอีกสองคนไว้ตรงจุดใกล้กระโจมรองแม่ทัพทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ถูกซูชิงอู่ไล่ออกไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่นี่ซูชิงอู่ปลุกรองแม่ทัพขึ้นมารองแม่ทัพผู้นั้นลืมตาด้วยความงุนงง และหลังจากได้เห็นอย่างชัดเจนว่าตอนนี้เขาถูกมัดไว้กับเก้าอี้ เขาก็คิดจะอ้าปากและตะโกนโดยไม่รู้ตัวแต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าปากของเขาถูกปิดเอาไว้เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว จากนั้นเขาก็เห็นคนที่อยู่ตรงหน้าเขาซึ่งดูเหมือนตัวเขาเองทุกประการ ทำเอาเขาถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นอีกฝ่ายตกตะลึง ซูชิงอู่ก็ตบหน้าอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "หากไม่อยากตาย ก็จงเชื่อฟังเสีย"รองแม่ทัพได้ยินเสียงที่คุ้นเคยซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาจากปากของอีกฝ่าย เขาก็ตกตะลึงและลืมที่จะโต้ตอบไปโดย
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้