เสียงนั้นไม่สูงมากนัก แต่สามารถได้ยินอย่างชัดเจนจากข้างในทางลับอันว่างเปล่าเจ้าของเสียงเป็นสตรี“กุ้ยเฟย ที่นี่อันตรายมากเช่นนี้คงไม่มีใครไล่ตามมา ท่านพักสักหน่อยเถิดเพคะ”เสียงของเจียวกุ้ยเฟยแปลกไป ราวกับนางกำลังทนต่อความเจ็บปวด และเวลาพูดก็เหมือนหอบหายใจ“รถม้านอกเมืองพร้อมหรือยัง? พี่สามมารับข้าจริง ๆ หรือ?”“กุ้ยเฟยวางพระทัยได้เพคะ ใต้เท้าเจียวได้ติดต่อกับคนขับรถม้าให้ท่านแล้ว ขอเพียงออกมาจากเส้นทางลับได้ ท่านก็จะปลอดภัยเพคะ”“ข้าก็ทำตามที่จดหมายลึกลับสั่งไปแล้ว เหตุใดถึงยังเปิดเผยเรื่องนี้กัน!”ในตอนที่พูดออกมา น้ำเสียงของนางก็สั่นเครือด้วยเพราะอยากร้องไห้และโกรธเกรี้ยวเหลือจะทน“ยี่สิบกว่าปี... ข้าเลี้ยงดูเขามายี่สิบกว่าปี แต่สุดท้ายกลับลงเอยเช่นนี้ แผนการก่อนหน้านี้ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์ ซูชิงอู่ เย่เสวียนถิง ซูเฟย...รอให้ข้าได้อำนาจมาก่อนเถอะ พวกมันทุกคนข้าจะไม่ปล่อยใครไปแม้แต่คนเดียว…”ซูชิงอู่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้นเจียวกุ้ยเฟยผู้นี้ช่างทะเยอทะยานเสียจริงเป็นเรื่องยากที่นางจะพบทางลับเช่นนี้ หากนางไม่ได้มาที่นี่ นอกจากจะเสียกำลังคนไป เย่ชิวหมิงก็อาจหาเจียวกุ้
ก่อนที่สาวใช้จะตอบ ก็มีเสียงของสตรีดังมาจากถ้ำที่ว่างเปล่าซูชิงอู่ทนไม่ไหวอีกต่อไป “เช่นนั้นให้เจ้าบอกข้าแทนจะว่าอย่างไร?”เมื่อได้ยินเสียงอันน่าตะลึงราวกับฝันร้าย เสียงของเจียวกุ้ยเฟยก็หยุดชะงักไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจซูชิงอู่ไม่ได้จุดคบเพลิง แต่เดินออกไปทางฝั่งเจียวกุ้ยเฟยที่มีแสงไฟส่องสว่างราวกับโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าอันมืดมิดเจียวกุ้ยเฟยตกใจจนตาค้าง ริมฝีปากของนางแยกออก พลันรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมา“จะ...เจ้าเป็นคนรึผี!”นางรู้ดีว่าทางลับนี้อันตรายเพียงใดตระกูลเจียวไม่รู้ว่าพวกเขาต้องสังเวยคนไปกี่ชีวิตกว่าจะพบวิธีที่จะผ่านที่นี่ไปได้อย่างปลอดภัยแม้แต่ตอนนี้ตามตัวของนางก็ยังเต็มไปด้วยผงยา นางเดินในเส้นทางลับนี้อย่างระมัดระวังด้วยเพราะกลัวว่าจะถูกแมลงพิษกัดเพราะถึงแม้โรยผงยาไว้ทั่วร่างกายก็อาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงแมลงมีพิษได้อย่างสมบูรณ์และสถานที่แห่งนี้ก็เป็นมุมที่ค่อนข้างปลอดภัยหลังจากการทำการค้นหามายาวนาน ดังนั้นพวกนางจึงเลือกที่จะพักผ่อนที่นี่แต่สุดท้ายซูชิงอู่ก็มายืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟแสงสลัวส่องลงบนแก้มของนาง ทำให้นางดูน่าขนลุกยิ่งขึ้นในมุมมองของเจียวกุ้ย
ซูชิงอู่เองก็ตกใจกับการกระทำของเจียวกุ้ยเฟยเช่นกันเมื่อครู่นางคิดว่าอีกฝ่ายบอกว่าจะฆ่านางเสียอีกหากเรื่องนี้เป็นจริง วิธีการของเจียวกุ้ยเฟยก็น่าขยะแขยงสิ้นดีเพื่อที่จะยึดอำนาจมา พวกเขาจะใช้ทุกวิธีที่เป็นไปได้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฮองเฮายังไม่ได้ไร้ยางอายเท่านาง“บอกข้ามา สตรีมีครรภ์นางนั้นอยู่ที่ไหน? หากพูดมาข้าก็จะพิจารณาปล่อยเจ้าไป”เจียวกุ้ยเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอก นิ้วของนางที่จับดาบสั้นสั่นเล็กน้อย“รอให้ข้าไปก่อนแล้วข้าจะบอกเจ้า…”ซูชิงอู่หรี่ตามองไปยังท่าทางที่หวาดกลัวจนแทบตายของเจียวกุ้ยเฟย พลางพยักหน้าเบา ๆ“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะให้เจ้าหนีไปก่อน”“เจ้าห้ามผิดคำพูดเด็ดขาด!”ซูชิงอู่ยิ้มและมองนางโดยไม่พูดอะไรเจียวกุ้ยเฟยฝืนลุกขึ้นและวิ่งออกไปโดยมีสาวใช้ตัวน้อยคอยประคองอยู่ข้าง ๆนางสะดุดล้ม และบนหน้าผากก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นที่ไหลพรูออกมาสาวใช้ที่พยุงนางจากมาอดไม่ได้ที่จะถาม “กุ้ยเฟย พวกเรามีกันสองคนและอีกฝ่ายก็มีเพียงคนเดียว จำเป็นต้องกลัวนางถึงเพียงนี้เลยหรือเพคะ?”“เจ้าจะไปรู้อะไร?”เจียวกุ้ยเฟยกัดฟันและหันกลับไปมองในขณะที่วิ่งราวกับซูชิงอู่เป็นสัตว์ประ
เจียวกุ้ยเฟยตกตะลึง นางเปิดม่านและมองออกไปข้างนอกโดยไม่รู้ตัวทุกทิศทางรายล้อมไปด้วยป่าอันมืดมิด และไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เลยอย่างไรก็ตาม หลังจากที่ออกจากเมือง เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เส้นทางที่นางจะต้องไป“เจ้าขับรถประสาอะไร ที่นี่มันที่ไหน?”“ถนนหวงเฉวียน”เจียวกุ้ยเฟยรู้สึกวิงเวียนเมื่อได้ยินเสียงของสตรีดังขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้านางสีเลือดบนใบหน้าของนางซีดจาง นางเห็นว่าบริเวณเพลารถด้านหน้ามีคนสองคนนั่งอยู่ซูชิงอู่เอนตัวไปอีกด้านหนึ่งพลางมองนางด้วยสีหน้าสบาย ๆ และคนขับรถก็ได้กลายเป็นบุรุษชุดดำ“หา!”ครั้งนี้เจียวกุ้ยเฟยตกใจมากจนเกือบจะเป็นลมซูชิงอู่ถามเสียงเรียบ “ข้าปล่อยเจ้าไปแล้ว เจ้าบอกว่าจะให้เบาะแสกับข้า เบาะแสเล่า?”สมองของเจียวกุ้ยเฟยสับสนนางไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าสองคนนี้ไล่ตามนางมาตั้งแต่เมื่อไรนางตัวสั่นไปทั้งตัว จากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอ้อมอกแล้วยื่นให้อย่างระมัดระวัง“ข้าได้ทิ้งเบาะแสไว้ให้กับพระชายาแล้ว แต่ตอนนั้นรีบร้อนเกินไปหน่อยจึงลืมให้...”ซูชิงอู่หยิบผ้าเช็ดหน้าอย่างไม่ลังเลหลังจากเห็นชื่อที่เขียนบนนั้นอย่างชัดเจน นางก็ค่อย ๆ หลุบตาลงอย่าง
รถม้ากำลังแล่นอยู่บนเส้นทางในป่า ตัวรถสะเทือนเล็กน้อยเนื่องจากผ่านหลุมและบ่อเห็นได้ชัดว่าซูชิงอู่อารมณ์ดีมาก และนางก็ยกยิ้มมุมปากโดยไม่ได้ตั้งใจเย่เสวียนถิงหันมามองนางแล้วพูดว่า “อาอู่คิดจะทำอย่างไรต่อไปรึ?”ซูชิงอู่เงยหน้ามองท้องฟ้าดวงอาทิตย์ที่ตั้งตรงศีรษะส่องแสงเจิดจ้า ซึ่งแสงแดดในยามบ่ายนั้นแยงตาเล็กน้อย“แม้เจียวกุ้ยเฟยจะตายไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่รู้ความลับนี้ ต้องตามหาสตรีนางนั้นให้เจอก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไร ทางที่ดีที่สุดควรปล่อยให้เย่ชิวหมิงเป็นคนจัดการเอง”เหตุผลที่นางพูดอย่างมั่นใจถึงเพียงนี้ก็เพราะนางรู้ว่าเจียวกุ้ยเฟยจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยนางโรยผงล่อสัตว์มาตลอดทาง และยังโรยผงนั้นลงบนตัวของเจียวกุ้ยเฟยไว้ด้วยเพื่อดึงดูดสัตว์ป่าและทำให้พวกมันบ้าคลั่งขอเพียงเจียวกุ้ยเฟยเข้าใกล้หมาป่าเหล่านั้น นางก็จะถูกโจมตีแน่และในที่รกร้างไร้ผู้คนเช่นนี้ไม่มีใครสามารถช่วยนางได้...นางคงหนีไม่พ้นถูกสัตว์ป่าฉีกเป็นชิ้น ๆตนให้โอกาสอีกฝ่ายแล้ว แต่น่าเสียดายที่เจียวกุ้ยเฟยไม่ได้รู้ค่าของมันในเมื่อเย่ชิวหมิงทำไม่ได้ นางก็จะลงมือเอง...ใครก็ต
ที่นี่คือสถานที่ฝังพระศพของไทเฮาข้างในคงจะอันตรายกว่าวัดธรรมดาเป็นแน่เนื่องจากเคยได้รับบทเรียนจากวัดเหลียงซาน ซูชิงอู่จึงระมัดระวังเวลาที่นางก้าวเข้าไปในประตูแม่ชีผู้หนึ่งที่เฝ้าประตูเห็นนางจึงรีบโค้งคำนับ “ผู้บำเพ็ญหญิง ขอเรียนถามว่าท่านจะมาจุดธูปไหว้พระหรือขอบุตรหรือ?”ซูชิงอู่ตกใจเล็กน้อย ขอบุตรรึ? นางไม่จำเป็นหรอกมีทารกน้อยสามคนรอให้ป้อนอาหารอยู่ที่บ้าน เท่านี้นางก็ปวดหัวมากพอแล้ว“ข้ามาตามหาคน”“หาคนหรือ?”เห็นได้ชัดว่าแม่ชีผู้น้อยตกตะลึง แต่เมื่อเห็นว่าซูชิงอู่แต่งกายไม่ธรรมดาและดูไม่เหมือนใคร นางก็ไม่กล้าที่จะละเลยอีกฝ่าย“ผู้บำเพ็ญหญิงเชิญด้านใน ขอบังอาจถามได้หรือไม่ว่าท่านต้องการตามหาใคร ข้าช่วยท่านได้อย่างแน่นอน”ซูชิงอู่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาบนนั้นมีชื่อของแม่ชีผู้หนึ่งเขียนเอาไว้“คนผู้นี้มีชื่อทางธรรมคือฮุ่ยจื่อ เข้ามาในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงเมื่อสามเดือนก่อน เจียวกุ้ยเฟยสั่งให้ข้ามาพบนาง”“ฮุ่ยจื่อ?”เห็นได้ชัดว่าแม่ชีตกตะลึง นางคิดอยู่นานก่อนที่จะนึกออก นางยกมือคำนับ “ท่านผู้บำเพ็ญ กรุณานั่งรอที่นี่สักครู่ ข้าจะไปตามฮุ่ยจื่อมาให้”ซูชิงอู่นั่งอยู่ข้าง ๆ ศาลาใ
คำพูดของซูชิงอู่ทำให้แม่ชีเงยหน้ามามองอย่างเหลือเชื่อ เห็นได้ชัดว่าเปลือกตาของนางกำลังสั่นเทานางมองไปที่ซูชิงอู่อย่างพินิจแล้วพูดว่า “ผู้บำเพ็ญหญิง เรื่องนี้ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ ขอเชิญท่านตามข้าไปพบกับหัวหน้าสำนักเถิด”ซูชิงอู่พยักหน้าเบา ๆ “เชิญแม่ชีนำทาง”เป็นเวลาหลายปีที่สำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงได้ก่อตั้งมาจนขยายอาณาเขตครอบครองพื้นที่ตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงยอดเขา และก่อสร้างอาคารหลายสิบหลังครอบครองภูเขาทั้งลูกถนนบนเขาหลินซานนั้นสูงชันและคดเคี้ยวมาก แม่ชีนำทางซูชิงอู่ผ่านทางเข้าสองทางที่ค่อนข้างแคบ จากนั้นก็ขึ้นบันไดไปสองทอดก่อนจะถึงวิหารที่ใหญ่ที่สุดในอารามตรงกลางมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ นอกเหนือจากคนทำความสะอาดที่เดินไปรอบ ๆ ที่เหลือก็ล้วนเป็นแม่ชี และภาพลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ต่างไปจากวัดเหลียงซานและมีคนบางคนที่เป็นใหญ่ที่นี่ก็เป็นคนมีสถานะสูงส่ง เพราะอดีตไทเฮาและฮองเฮาถูกขับไล่มาที่นี่โดยฮ่องเต้...แตกต่างจากความเจริญรุ่งเรืองเบื้องล่าง อารามที่แม่ชีที่อยู่เบื้องบนอาศัยอยู่นี้ไม่มีคนมาคอยสักการะแม่ชีเคาะประตูห้องเบา ๆ และกลิ่นหอมแสนสง่างามก็ลอยออกมาจากประตู“ท่านอาจารย์
หากใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลซูชิงอู่ก็จะใช้ไม้แข็ง เพราะนางก็ไม่มีอารมณ์อยากจะอยู่ที่นี่ต่อให้เสียเวลานางต้องหาสตรีที่เจียวกุ้ยเฟยพูดถึงให้เจอ เพื่อยืนยันว่านางตั้งครรภ์สายเลือดของราชวงศ์จริง ๆ หรือไม่เย่ชิวหมิงเป็นฮ่องเต้ และการมีพระราชโอรสหลายคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากกว่าก็คือมีคนอาศัยโอกาสนี้ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งองค์ชายเพื่อก่อกบฏ“พระชายาเช่นข้าไม่พูดจาโป้ปด ข้าจึงอยากขอให้ท่านเจ้าสำนักชีคิดให้รอบคอบ”“ข้าได้ยินชื่อเสียงของพระชายาเสวียนมานาน แต่คาดไม่ถึงว่าท่านจะทำตัวเย่อหยิ่งเอาแต่ใจเช่นนี้!”เสียงของแม่ชีเฒ่าก็เปลี่ยนไปเป็นน่าเกรงขาม และเต็มไปด้วยความไม่พอใจซูชิงอู่ยิ้มมุมปาก ดวงตาของนางเยือกเย็น และนางก็แสยะยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่มองอีกฝ่าย “ท่านคิดว่าข้านิสัยไม่ค่อยดี แต่ตั้งแต่ที่ข้าทำตัวนิสัยเสีย ข้าก็มีความสุขขึ้นมากเลยนะ”“ท่าน…”ดวงตาของผู้ชราคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธ และความโกรธของซูชิงอู่เองก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็รีบเอ่ยนามของพระพุทธองค์ต่อไป และสีหน้าของนางก็ค่อย ๆ สงบลงเมื่อซูชิงอู่เห็นการแสดงออกของอีกฝ