เจียวกุ้ยเฟยตกตะลึง นางเปิดม่านและมองออกไปข้างนอกโดยไม่รู้ตัวทุกทิศทางรายล้อมไปด้วยป่าอันมืดมิด และไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เลยอย่างไรก็ตาม หลังจากที่ออกจากเมือง เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เส้นทางที่นางจะต้องไป“เจ้าขับรถประสาอะไร ที่นี่มันที่ไหน?”“ถนนหวงเฉวียน”เจียวกุ้ยเฟยรู้สึกวิงเวียนเมื่อได้ยินเสียงของสตรีดังขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้านางสีเลือดบนใบหน้าของนางซีดจาง นางเห็นว่าบริเวณเพลารถด้านหน้ามีคนสองคนนั่งอยู่ซูชิงอู่เอนตัวไปอีกด้านหนึ่งพลางมองนางด้วยสีหน้าสบาย ๆ และคนขับรถก็ได้กลายเป็นบุรุษชุดดำ“หา!”ครั้งนี้เจียวกุ้ยเฟยตกใจมากจนเกือบจะเป็นลมซูชิงอู่ถามเสียงเรียบ “ข้าปล่อยเจ้าไปแล้ว เจ้าบอกว่าจะให้เบาะแสกับข้า เบาะแสเล่า?”สมองของเจียวกุ้ยเฟยสับสนนางไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าสองคนนี้ไล่ตามนางมาตั้งแต่เมื่อไรนางตัวสั่นไปทั้งตัว จากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอ้อมอกแล้วยื่นให้อย่างระมัดระวัง“ข้าได้ทิ้งเบาะแสไว้ให้กับพระชายาแล้ว แต่ตอนนั้นรีบร้อนเกินไปหน่อยจึงลืมให้...”ซูชิงอู่หยิบผ้าเช็ดหน้าอย่างไม่ลังเลหลังจากเห็นชื่อที่เขียนบนนั้นอย่างชัดเจน นางก็ค่อย ๆ หลุบตาลงอย่าง
รถม้ากำลังแล่นอยู่บนเส้นทางในป่า ตัวรถสะเทือนเล็กน้อยเนื่องจากผ่านหลุมและบ่อเห็นได้ชัดว่าซูชิงอู่อารมณ์ดีมาก และนางก็ยกยิ้มมุมปากโดยไม่ได้ตั้งใจเย่เสวียนถิงหันมามองนางแล้วพูดว่า “อาอู่คิดจะทำอย่างไรต่อไปรึ?”ซูชิงอู่เงยหน้ามองท้องฟ้าดวงอาทิตย์ที่ตั้งตรงศีรษะส่องแสงเจิดจ้า ซึ่งแสงแดดในยามบ่ายนั้นแยงตาเล็กน้อย“แม้เจียวกุ้ยเฟยจะตายไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่รู้ความลับนี้ ต้องตามหาสตรีนางนั้นให้เจอก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไร ทางที่ดีที่สุดควรปล่อยให้เย่ชิวหมิงเป็นคนจัดการเอง”เหตุผลที่นางพูดอย่างมั่นใจถึงเพียงนี้ก็เพราะนางรู้ว่าเจียวกุ้ยเฟยจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยนางโรยผงล่อสัตว์มาตลอดทาง และยังโรยผงนั้นลงบนตัวของเจียวกุ้ยเฟยไว้ด้วยเพื่อดึงดูดสัตว์ป่าและทำให้พวกมันบ้าคลั่งขอเพียงเจียวกุ้ยเฟยเข้าใกล้หมาป่าเหล่านั้น นางก็จะถูกโจมตีแน่และในที่รกร้างไร้ผู้คนเช่นนี้ไม่มีใครสามารถช่วยนางได้...นางคงหนีไม่พ้นถูกสัตว์ป่าฉีกเป็นชิ้น ๆตนให้โอกาสอีกฝ่ายแล้ว แต่น่าเสียดายที่เจียวกุ้ยเฟยไม่ได้รู้ค่าของมันในเมื่อเย่ชิวหมิงทำไม่ได้ นางก็จะลงมือเอง...ใครก็ต
ที่นี่คือสถานที่ฝังพระศพของไทเฮาข้างในคงจะอันตรายกว่าวัดธรรมดาเป็นแน่เนื่องจากเคยได้รับบทเรียนจากวัดเหลียงซาน ซูชิงอู่จึงระมัดระวังเวลาที่นางก้าวเข้าไปในประตูแม่ชีผู้หนึ่งที่เฝ้าประตูเห็นนางจึงรีบโค้งคำนับ “ผู้บำเพ็ญหญิง ขอเรียนถามว่าท่านจะมาจุดธูปไหว้พระหรือขอบุตรหรือ?”ซูชิงอู่ตกใจเล็กน้อย ขอบุตรรึ? นางไม่จำเป็นหรอกมีทารกน้อยสามคนรอให้ป้อนอาหารอยู่ที่บ้าน เท่านี้นางก็ปวดหัวมากพอแล้ว“ข้ามาตามหาคน”“หาคนหรือ?”เห็นได้ชัดว่าแม่ชีผู้น้อยตกตะลึง แต่เมื่อเห็นว่าซูชิงอู่แต่งกายไม่ธรรมดาและดูไม่เหมือนใคร นางก็ไม่กล้าที่จะละเลยอีกฝ่าย“ผู้บำเพ็ญหญิงเชิญด้านใน ขอบังอาจถามได้หรือไม่ว่าท่านต้องการตามหาใคร ข้าช่วยท่านได้อย่างแน่นอน”ซูชิงอู่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาบนนั้นมีชื่อของแม่ชีผู้หนึ่งเขียนเอาไว้“คนผู้นี้มีชื่อทางธรรมคือฮุ่ยจื่อ เข้ามาในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงเมื่อสามเดือนก่อน เจียวกุ้ยเฟยสั่งให้ข้ามาพบนาง”“ฮุ่ยจื่อ?”เห็นได้ชัดว่าแม่ชีตกตะลึง นางคิดอยู่นานก่อนที่จะนึกออก นางยกมือคำนับ “ท่านผู้บำเพ็ญ กรุณานั่งรอที่นี่สักครู่ ข้าจะไปตามฮุ่ยจื่อมาให้”ซูชิงอู่นั่งอยู่ข้าง ๆ ศาลาใ
คำพูดของซูชิงอู่ทำให้แม่ชีเงยหน้ามามองอย่างเหลือเชื่อ เห็นได้ชัดว่าเปลือกตาของนางกำลังสั่นเทานางมองไปที่ซูชิงอู่อย่างพินิจแล้วพูดว่า “ผู้บำเพ็ญหญิง เรื่องนี้ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ ขอเชิญท่านตามข้าไปพบกับหัวหน้าสำนักเถิด”ซูชิงอู่พยักหน้าเบา ๆ “เชิญแม่ชีนำทาง”เป็นเวลาหลายปีที่สำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงได้ก่อตั้งมาจนขยายอาณาเขตครอบครองพื้นที่ตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงยอดเขา และก่อสร้างอาคารหลายสิบหลังครอบครองภูเขาทั้งลูกถนนบนเขาหลินซานนั้นสูงชันและคดเคี้ยวมาก แม่ชีนำทางซูชิงอู่ผ่านทางเข้าสองทางที่ค่อนข้างแคบ จากนั้นก็ขึ้นบันไดไปสองทอดก่อนจะถึงวิหารที่ใหญ่ที่สุดในอารามตรงกลางมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ นอกเหนือจากคนทำความสะอาดที่เดินไปรอบ ๆ ที่เหลือก็ล้วนเป็นแม่ชี และภาพลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ต่างไปจากวัดเหลียงซานและมีคนบางคนที่เป็นใหญ่ที่นี่ก็เป็นคนมีสถานะสูงส่ง เพราะอดีตไทเฮาและฮองเฮาถูกขับไล่มาที่นี่โดยฮ่องเต้...แตกต่างจากความเจริญรุ่งเรืองเบื้องล่าง อารามที่แม่ชีที่อยู่เบื้องบนอาศัยอยู่นี้ไม่มีคนมาคอยสักการะแม่ชีเคาะประตูห้องเบา ๆ และกลิ่นหอมแสนสง่างามก็ลอยออกมาจากประตู“ท่านอาจารย์
หากใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลซูชิงอู่ก็จะใช้ไม้แข็ง เพราะนางก็ไม่มีอารมณ์อยากจะอยู่ที่นี่ต่อให้เสียเวลานางต้องหาสตรีที่เจียวกุ้ยเฟยพูดถึงให้เจอ เพื่อยืนยันว่านางตั้งครรภ์สายเลือดของราชวงศ์จริง ๆ หรือไม่เย่ชิวหมิงเป็นฮ่องเต้ และการมีพระราชโอรสหลายคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากกว่าก็คือมีคนอาศัยโอกาสนี้ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งองค์ชายเพื่อก่อกบฏ“พระชายาเช่นข้าไม่พูดจาโป้ปด ข้าจึงอยากขอให้ท่านเจ้าสำนักชีคิดให้รอบคอบ”“ข้าได้ยินชื่อเสียงของพระชายาเสวียนมานาน แต่คาดไม่ถึงว่าท่านจะทำตัวเย่อหยิ่งเอาแต่ใจเช่นนี้!”เสียงของแม่ชีเฒ่าก็เปลี่ยนไปเป็นน่าเกรงขาม และเต็มไปด้วยความไม่พอใจซูชิงอู่ยิ้มมุมปาก ดวงตาของนางเยือกเย็น และนางก็แสยะยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่มองอีกฝ่าย “ท่านคิดว่าข้านิสัยไม่ค่อยดี แต่ตั้งแต่ที่ข้าทำตัวนิสัยเสีย ข้าก็มีความสุขขึ้นมากเลยนะ”“ท่าน…”ดวงตาของผู้ชราคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธ และความโกรธของซูชิงอู่เองก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็รีบเอ่ยนามของพระพุทธองค์ต่อไป และสีหน้าของนางก็ค่อย ๆ สงบลงเมื่อซูชิงอู่เห็นการแสดงออกของอีกฝ
เมื่อแม่ชีที่ประตูได้ยินคำสั่งจากเจ้าสำนักชี พวกนางก็ใช้ไม้กวาดในมือเป็นอาวุธทันที และขวางทางซูชิงอู่ไว้ซูชิงอู่มองไปรอบ ๆ และพบว่าคนเหล่านี้ไม่รู้จักศิลปะการต่อสู้เลยนางเดินไปหาแม่ชีคนหนึ่ง และด้วยการผลักเบา ๆ นางก็ได้ยินคนเหล่านั้นร้องโอดโอยล้มลงกับพื้นไปทีละคนซูชิงอู่ “...”นางยังไม่ได้ออกแรงเลยเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของคนเหล่านั้น และไม่คิดจะมาขวางนางแล้ว ริมฝีปากของซูชิงอู่ก็กระตุกเล็กน้อยที่แท้มันก็การเสแสร้งทั้งหมดเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ตรงหน้า คนเหล่านี้คงไม่ได้มีความคิดเช่นเดียวกับแม่ชีเฒ่านางผ่อนคลายลงอีกเล็กน้อย นี่แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกคนในสำนักชีจะเป็นคนไม่ดีเจียวกุ้ยเฟยสามารถส่งคนมาที่นี่ได้ ทั้งยังลอบปลงพระชนม์ไทเฮาสำเร็จแม้จะอยู่ท่ามกลางการคุ้มครองมากมาย ซึ่งหมายความว่าเจ้าสำนักชีจะต้องมีคนคอยช่วยนางอย่างลับ ๆ เป็นแน่เจียวกุ้ยเฟยไม่แน่ใจว่านางจะตาย และเบาะแสที่นางให้มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นจริงครึ่งหนึ่งและเท็จครึ่งหนึ่งตอนนี้นางได้เบาะแสปลอมมาหนึ่งอย่างแล้วนั่นคือตัวตนของแม่ชีตัวน้อยฮุ่ยจื่อส่วนเบาะแสที่เป็นความจริง...นั่นก็คือสตรีมีครรภ์นางนั้
ซูชิงอู่กำลังตั้งครรภ์ ทว่าอุ้มท้องมาสามปีกลับไม่เกิดอันใดขึ้นเลยนั่นเพราะทารกตายทั้งกลมไปนานแล้วซูชิงอู่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ท้องน้อยนูนป่องมีเลือดปนหนองส่งกลิ่นเน่าเหม็นไหลมิหยุดราวกับสัตว์ประหลาดมีเพียงม่านตาดำขลับคู่นั้นที่ยังคงเด่นชัดสุกสกาว ราวกับน้ำค้างแข็งอันสว่างบริสุทธิ์สุดใต้นภานางเดินพลางใช้สองมือคลึงเคล้าหน้าท้องเบา ๆ พร้อมเสียงแหบฟังไม่รื่นหู“ลูกเอ๋ย แม่มาล้างแค้นให้เจ้าแล้ว”ซูชิงอู่ผู้ถูกจองจำอยู่คุกอันห่างไกลของวังหลวงและต้องกลายเป็นหนูทดลองมาตลอดสามปีเต็มเป็นอิสระแล้ว!ไฟโหมกระหน่ำเบื้องหลังกำลังแผดเผาพระราชวังอันเรืองรองอย่างไม่หยุดยั้ง แสงเพลิงส่องสว่างท่วมฟ้ายามค่ำคืนใบหน้าศพทรมานบิดเบี้ยวนอนราบภายในพระราชวังร่างแล้วร่างเล่า…“ซูชิงอู่ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้าจะให้เจ้าทุกอย่าง เจ้ามิใช่ว่าชอบพี่อวิ๋นถูหรือ? ข้าจะยกให้เจ้า ข้าจะยกให้เจ้าดีหรือไม่?!”ฮองเฮาซูเชียนหลิงผู้สูงศักดิ์สวมเสื้อคลุมลายหงส์ ศีระซึ่งประดับด้วยปิ่นหงส์โขกกับพื้นอย่างไม่หยุดหย่อน“บุรุษที่เจ้ากำลังพูดถึงน่ะหรือ?”น้ำเสียงซูชิงอู่แหบแห้งฟังไม่รื่นหู ราวกับเส้นเสียงฉีกขาดทั้ง
“พระชายา ยาขับเลือดต้มได้ที่แล้วเพคะ…”เสียงคุ้นเคยระลอกหนึ่งดังข้างหูซูชิงอู่นอนอยู่บนเตียงลืมตาด้วยความตกตะลึง เอียงศีรษะมองไปข้างเตียงอย่างเหลือเชื่อ แม่นมหลินที่ควรจะเสียชีวิตไปนานแล้วกำลังยกยาต้มมาให้นางยันกายลุกขึ้นพลางมองไปรอบตัว ทั่วห้องล้วนเป็นสีแดง บนหน้าต่างแปะอักษรมงคล 'มีสุข' แผ่นใหม่เอี่ยมชุดแต่งงานหลายตัวทิ้งอยู่บนพื้นกระจัดกระจาย ซูชิงอู่รู้กระจ่างได้ทันทีว่าที่นี่คือเรือนหอนางปวดเมื่อยทั้งตัวราวกับโดนหินทับก็มิปานครั้นหวนนึก ความทรงจำในสมองก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้นนางย้อนกลับมายังเจ็ดปีก่อน จนวันนี้ที่เพิ่งตบแต่งกับเย่เสวียนถิงไม่นึกฝันว่า…นางจะได้เกิดใหม่!สายตาของซูชิงอู่ทำให้มือที่ยกชามยาของแม่นมหลินสั่นเทาอย่างอดไม่ได้เพราะดวงตาคู่นั้นของนางผิดแผกไปจากเดิม คล้ายสามารถมองทะลุหัวใจนางได้ในพริบตาเดียวแม่นมหลินผืนยิ้มพลางส่งชามยาไปให้ผู้เป็นเจ้านาย “คุณหนู หากยังมิรีบดื่ม ยาจักเย็นนะเจ้าคะ…”ซูชิงอู่มองอย่างไม่ละสายตา ก่อนเอื้อมมือรับชามยาไว้อย่างใจเย็นนางกำลังจะทำบางอย่าง แต่ขณะนั้นเอง ประตูหอนอนก็ถูกคนถีบให้เปิดออกกระทันหัน!ซูชิงอู่เงยหน้ามองก็เห็นช