ซูชิงอู่ขึ้นรถม้าอีกครั้งและมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเมื่อไปถึงก็มีขันทีหนุ่มคนหนึ่งนำทางพาซูชิงอู่เข้าไปในตำหนักบูรพา ซึ่งเย่ชิวหมิงรออยู่ที่นั่นนานแล้วสีหน้าเคร่งขรึมของเขาแนบมาพร้อมกับความกังวล“พระชายาเสวียนไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ซูชิงอู่ส่ายหัว “ไม่เป็นไรเพคะ ที่จู่ ๆ องค์รัชทายาทก็เรียกหม่อมฉันเข้าวัง ไม่ทราบว่าทรงมีเรื่องสำคัญอะไรหรือเพคะ?”ดูเหมือนนางไม่อยากจะพูดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนักฆ่าที่เจอระหว่างทางแต่ถึงอย่างไรเย่ชิวหมิงก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ“ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าจะมีนักฆ่าดักอยู่ที่ถนน ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อดูว่าใครที่มันบังอาจทำเช่นนี้”ซูชิงอู่ส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบหรอกเพคะ เสียเวลาเปล่า ๆ ”เย่ชิวหมิงไม่เข้าใจอยู่ชั่วขณะว่าที่ซูชิงอู่พูดนั้นหมายถึงอะไรนางถูกลอบสังหารกลางถนน หากเป็นคนปกติตอนนี้ก็คงจะขวัญเสียอยู่ไม่น้อย“พระชายาไม่สนใจผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือ?”ซูชิงอู่กล่าวว่า “จะเป็นฝีมือของใคร สำหรับหม่อมฉันมันไม่ต่างไปหรอกเพคะ”เย่ชิวหมิง “หา?”ซูซิงอู่ยิ้มอย่างไม่แยแส “เพราะในอนาคต ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใครขอเพียงแค่ฆ่าให้หมดก็พอแ
เย่ชิวหมิงไม่เข้าใจว่าซูชิงอู่หมายถึงอะไรซูชิงอู่พูดเสียงเรียบ “ท่านคือว่าที่ฮ่องเต้ของแคว้นหนานเย่ พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านพอใจ ขอเพียงท่านทำตามที่หม่อมฉันพูด คนเหล่านั้นก็จะสนับสนุนท่านทุกวิถีทางเพคะ…”ดวงตาของเย่ชิวหมิงเป็นประกาย จากนั้นเขาก็พยักหน้าแรง ๆเช้าวันรุ่งขึ้น เย่ชิวหมิงเชิญพ่อค้าเศรษฐีที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงไปงานเลี้ยงที่หอจุ้ยชุนทุกคนที่ได้รับคำเชิญต่างก็มีความคิดที่ซับซ้อน และพวกเขาไม่เข้าใจว่าที่องค์รัชทายาททรงทำเช่นนี้นั้นหมายความว่าอย่างไรแต่พ่อค้าทุกคนล้วนมีใจที่ไม่บริสุทธิ์ พ่อค้าเหล่านี้เองก็ระวังตัวเช่นกัน พวกเขาได้เดาความจริงบางอย่างคร่าว ๆ ก่อนที่จะไปที่นั่นแล้วปัจจุบันคลังสมบัติของแผ่นดินว่างเปล่า และเนื่องจากผู้คนที่ประสบภัยแล้งทางตอนเหนือกำลังดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ คำเชิญขององค์รัชทายาทที่ส่งถึงพวกเขาในเวลานี้จึงเป็นการปล้นทรัพย์สินของพวกเขาก็เท่านั้นทุกคนต่างหวาดกลัว แต่พวกเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธเย่ชิวหมิงนั่งอยู่บนที่นั่งเจ้าบ้าน พลางมองพ่อค้าคหบดีที่มาถึงทีละคน พวกเขานั่งก้มหน้าโดยไม่มองอาหารบนโต๊ะด้วยซ้ำทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจเสีย
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนเหล่านั้น เย่ชิวหมิงก็รู้ว่าเขาเดาถูกแม้พวกเขาจะบริจาคเงินภายใต้แรงกดดันของเขา แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็จะใช้วิธีการอื่นเพื่อแสดงความไม่พอใจอย่างแน่นอนซึ่งจะเป็นการสร้างปัญหาให้เขามากกว่าเดิมเย่ชิวหมิงหลุบตามองไปยังจอกเหล้าที่อยู่ตรงหน้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าเพิ่งจะมาดำรงตำแหน่งนี้ได้ไม่นานจึงขาดคนที่ใช้งานได้อยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติ ตอนนี้บ้านเมืองกำลังเผชิญกับวิกฤติและทุกคนก็มีส่วนรับผิดชอบ”ท่าทีของพ่อค้าเหล่านั้นเปลี่ยนไปทันที และความประหลาดใจก็ฉายออกมาผ่านดวงตาของพวกเขาเย่ชิวหมิงจิบชาและถอนหายใจอีกครั้งพลางทำเสียงจิ๊ปากสองที“ทุกท่านต้องทราบว่าการซื้อขายตำแหน่งขุนนางเป็นสิ่งต้องห้ามในแคว้นหนานเย่ ทว่าความปรารถนาของข้าที่จะส่งเสริมคนที่มีความสามารถซึ่งสามารถจัดการอำนาจทางการเงินให้กับข้าได้นั้นไม่อยู่ในขอบเขตอำนาจของกฎหมายนี้ ทุกท่านล้วนเป็นผู้มีความสามารถที่ขาดไม่ได้ เมื่อมองเช่นนี้ สำหรับข้าแล้วเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากเหลือเกิน”หลังจากกล่าวจบ เขาก็ยืนขึ้นและพูดว่า “ข้าพูดเรื่องที่ควรพูดไปหมดแล้ว ทุกท่านเชิญกลับไป
แม้ซูชิงอู่จะถูกเขาเตือนเช่นนั้น แต่นางก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลนางยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ที่ท่านตรัสก็ถือว่าถูก เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่พระราชวังเพคะ”ตอนนี้ฮ่องเต้เฒ่าเป็นอัมพาตติดเตียงและไม่สามารถลุกขึ้นได้เขารู้สึกเหมือนเหลือลมหายใจเพียงเฮือกเดียว แต่ก็ถูกซูชิงอู่บังคับให้กินยาคุณภาพดีเพื่อพยุงอาการเอาไว้หมอหลวงซุนและคนอื่น ๆ ที่รับใช้ฮ่องเต้เฒ่าอยู่ข้างกายมาโดยตลอด เมื่อพวกเขาเห็นซูชิงอู่ เดินเข้ามาจากด้านนอก พวกเขาทุกคนก็เดินก้มหน้าออกไปและไม่กล้าแม้แต่จะรบกวนนางเพราะในช่วงเวลาวิกฤตินี้ ซูชิงอู่ได้พูดอย่างชัดเจนถึงอาการของฮ่องเต้เฒ่าหากนางไม่อยู่ที่นี่ ฮ่องเต้เฒ่าคงสวรรคตไปนานแล้วฮ่องเต้เฒ่าได้ยินใครบางคนเรียกเขา สุดท้ายเขาก็ลืมตาด้วยความงุนงง ตอนนี้เขากำลังทอดถอนใจและรอคอยยาที่สามารถรักษาเขาได้จากซูชิงอู่แม้ความเป็นไปได้นั้นจะมีน้อยมากก็ตามฮ่องเต้เฒ่าดื่มยาที่ซู่ชิงอู่มอบให้ และในที่สุดเขาก็รู้สึกสติแจ่มชัดขึ้น เขาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงและเห็นซูชิงอู่เดินมาพร้อมกับพระราชโองการและตราราชลัญจกรหยกของเขาที่อยู่ในมือนางเดี๋ยวนะ…ตราราชลัญจกรหยก?ศีรษะของ
ฮ่องเต้เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “เจ้ารู้ไหมว่าคำสารภาพผิดนี้หมายถึงอะไร?”ซูชิงอู่มองฮ่องเต้เฒ่าและพูดอย่างตรงไปตรงมา “ฮ่องเต้องค์ก่อนได้กระทำผิดต่อขุนนางผู้จงรักภักดี ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ได้สวรรคตไปแล้ว เหตุใดถึงทรงเขียนคำสารผิดไม่ได้ล่ะเพคะ?”สิ่งที่นางพูดนั้นสมเหตุสมผลมากจนฮ่องเต้เฒ่าสำลัก“เจ้าเด็กน้อยชักทำตัวเหิมเกริมเข้าไปทุกวันแล้วจริง ๆ ก่อนหน้านี้ข้าเชื่อเจ้าทุกเรื่อง เห็นแก่ที่เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าจะไม่ถือสาความผิดของเจ้า ส่วนคำสารผิดนี้ข้าเขียนให้ไม่ได้จริง ๆ ”ซูชิงอู่โต้เถียงด้วยเหตุผล “ฝ่าบาททรงกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงของฮ่องเต้องค์ก่อนหรือเพคะ? การที่พระองค์สังหารขุนนางผิดคนก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอยู่แล้ว สมาชิกตระกูลอวิ๋นหลายสิบคนคงตายตาไม่หลับเป็นแน่ หากฝ่าบาททรงไม่ออกพระราชโองการเพื่อขจัดความอยุติธรรมให้กับตระกูลอวิ๋น หม่อมฉันก็จะให้คนเปิดเผยความจริงต่อชาวประชาและให้ทุกคนประณามฮ่องเต้องค์ก่อน ในเวลานั้นไม่ว่าจะออกโองการคำสารผิดและยอมรับความผิดพลาดด้วยพระองค์เองหรือไม่ ก็จะมีชื่อในบันทึกประวัติศาสตร์อย่างไม่เป็นทางการว่าจงใจทำร้ายขุนนางผู้ภักดี…”น้ำเสียงที่มั่น
แม้เหตุการณ์นี้จะเป็นเพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ ในสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออวิ๋นเซียงหรูเขาฟังขันทีผู้น้อยที่กำลังอ่านพระราชโองการ และหลังจากที่เขาอ่านคำพูดที่ว่าตระกูลอวิ๋นไร้ความผิดทีละคำ เขาก็ตกตะลึงทันทีในที่สุดสิ่งที่เขาใฝ่หามานานก็บรรลุผลแล้วตัวอักษรทุกตัวในพระราชโองการเปื้อนไปด้วยเลือดของตระกูลอวิ๋น หลังจากรอมาหลายปี ในที่สุดเขาก็ทำตามความคาดหวังของทุกคนและลบล้างความผิดที่ตระกูลอวิ๋นต้องทนทุกข์ทรมานมานานหลายปีได้จากนี้ไปสมาชิกตระกูลอวิ๋นทุกคนไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนอีกแล้ว และพวกเขาสามารถอยู่อย่างเปิดเผยในดินแดนนี้ได้สวีชิงโม่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย คนผู้หนึ่งแอบเดินไปหาเขาพลางหัวเราะเสียงเบา “ขอแสดงความยินดีกับพี่อวิ๋นที่ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว”อวิ๋นเซียงหรูเม้มริมฝีปาก ดวงตาของเขากะพริบถี่ จากนั้นเขาก็ก้มหัวลง “ขอบพระทัยพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”เขารู้ดีว่าหากปราศจากความช่วยเหลือของซูชิงอู่ ชาตินี้เขาก็ไม่มีวันที่จะได้รับพระราชโองการนี้เพื่อเห็นแก่หน้าของฮ่องเต้องค์ก่อน ฮ่องเต้เฒ่าสามารถเขียนคำสารภาพผิดอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร มีแต่จะทำให้เกี
ข่าวดีอย่างที่สองคือมีเบาะแสเกี่ยวกับลูกปัดอสนีบาตจากคนที่องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดส่งไป พวกเขาแจ้งว่าได้พบปรมาจารย์ที่รู้วิธีสร้างอาวุธเพลิงแล้วทว่าปรมาจารย์ผู้นั้นกลับมีนิสัยที่ค่อนข้างแปลก เขากล่าวว่าหากต้องการให้เขาสอนวิธีทำลูกปัดอสนีบาต ก็ให้เจ้านายของพวกเขาไปเชิญด้วยตนเองหลังจากที่ซูชิงอู่ฟังรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“ให้ข้าไปเชิญด้วยตัวเองงั้นรึ?”องครักษ์เงาก้มหน้าลงพลางพูดด้วยความเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ เขายังบอกด้วยว่าเขารู้จักตัวตนของท่าน หากหลอกลวงเขา เขาจะไม่มีวันมอบวิธีสร้างลูกปัดอสนีบาตให้”ซูชิงอู่ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ ลูกปัดอสนีบาตเป็นอาวุธเพลิงที่ค่อนข้างโบราณ แต่น่าเสียดายที่ทักษะการสร้างอาวุธนี้สูญหายไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนกลไกอันวิจิตรงดงามนั้นยากต่อการลอกเลียนแบบแต่สุดท้ายบุคคลที่ฮ่องเต้เฒ่าตามหามานานจู่ ๆ ก็วิ่งมาอยู่หน้านางและต้องการพบนางน่าสงสัยมากลูกปัดอสนีบาตเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในแผนของนาง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางยอดเขา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำอาวุธและม้าจำนวนมากไปที่นั่น อีกทั้งป่าโดยรอบก็เต็มไปด้วยสัตว์ป่าและพิ
เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้นเป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปหากองครักษ์เงาไม่ได้บอกนางว่าคนผู้นี้คือช่างฝีมือที่สามารถทำลูกปัดอสนีบาตได้ นางคงคิดว่าเขาโกหกอย่างแน่นอนเมื่อซูชิงอู่มองไปที่อีกฝ่าย ชายชราก็มองกลับมาด้วยเช่นกันสีหน้าของเขาไร้อารมณ์ แม้เขาจะถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน แต่ก็ไม่มีความหวั่นกลัวบนใบหน้า เขาหันข้างแล้วพูดว่า “เข้ามาสิ แต่อนุญาตให้เข้าไปได้เพียงสองคนเท่านั้น”ท่าทางของทหารอารักขาเปลี่ยนไป เขารีบชักดาบออกมาขู่ทันทีซูชิงอู่โบกมือบอกให้คนคนนั้นถอยออกไป“ไม่ต้องถึงสองคนหรอก ข้าเข้าไปคนเดียวได้ พวกเจ้าคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก หากมีอะไรเกิดขึ้นข้าจะเรียก”“พระชายา!”ทหารอารักขาที่อยู่รอบ ๆ มองนางอย่างกังวลในสายตาของทุกคน พระชายาเสวียนเป็นเพียงสตรีที่อ่อนโยนและงดงาม นางคงไม่มีพลังที่จะต้านทานกับอันตรายใดที่ได้เผชิญซูชิงอู่ไม่ได้อธิบาย นางเดินตามชายชราผ่านเข้าไปด้านใน จากนั้นนางก็พลิกมือไปปิดประตูเห็นได้ชัดว่าชายชราตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาคาดไม่ถึงว่าซูชิงอู่จะมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้“เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าจงใจล่อเจ้ามาที่นี่ ไม่กลัวว่าข้าจะลงมือทำอะไรเจ้ารึ?”เสี