เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้นเป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปหากองครักษ์เงาไม่ได้บอกนางว่าคนผู้นี้คือช่างฝีมือที่สามารถทำลูกปัดอสนีบาตได้ นางคงคิดว่าเขาโกหกอย่างแน่นอนเมื่อซูชิงอู่มองไปที่อีกฝ่าย ชายชราก็มองกลับมาด้วยเช่นกันสีหน้าของเขาไร้อารมณ์ แม้เขาจะถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน แต่ก็ไม่มีความหวั่นกลัวบนใบหน้า เขาหันข้างแล้วพูดว่า “เข้ามาสิ แต่อนุญาตให้เข้าไปได้เพียงสองคนเท่านั้น”ท่าทางของทหารอารักขาเปลี่ยนไป เขารีบชักดาบออกมาขู่ทันทีซูชิงอู่โบกมือบอกให้คนคนนั้นถอยออกไป“ไม่ต้องถึงสองคนหรอก ข้าเข้าไปคนเดียวได้ พวกเจ้าคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก หากมีอะไรเกิดขึ้นข้าจะเรียก”“พระชายา!”ทหารอารักขาที่อยู่รอบ ๆ มองนางอย่างกังวลในสายตาของทุกคน พระชายาเสวียนเป็นเพียงสตรีที่อ่อนโยนและงดงาม นางคงไม่มีพลังที่จะต้านทานกับอันตรายใดที่ได้เผชิญซูชิงอู่ไม่ได้อธิบาย นางเดินตามชายชราผ่านเข้าไปด้านใน จากนั้นนางก็พลิกมือไปปิดประตูเห็นได้ชัดว่าชายชราตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาคาดไม่ถึงว่าซูชิงอู่จะมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้“เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าจงใจล่อเจ้ามาที่นี่ ไม่กลัวว่าข้าจะลงมือทำอะไรเจ้ารึ?”เสี
ซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามกลับ “พวกเขาก็ไม่เห็นข้าออกคำสั่งน่ะสิ”ชายชราที่สวมหน้ากากหนังมนุษย์เปิดประตูเรียกทหารอารักขาคนหนึ่งที่อยู่หน้าประตูให้เข้ามาเมื่อทหารอารักขาเห็นซูชิงอู่ถูกขังอยู่ในกรง เขากำลังจะชักดาบ “เจ้าบังอาจนัก…”ชายชราเลิกคิ้ว “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าทำอะไรเลยจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นอาจมีลูกธนูพิษยิงมาจากที่ไหนสักแห่งในบ้านนี้ ซึ่งอาจจะโดนเจ้านายของพวกเจ้าก็ได้”คำพูดของชายชราทำให้สีหน้าของทหารอารักขาเปลี่ยนไป จนเขาไม่กล้าชักอาวุธออกมาซูชิงอู่พูดว่า “เจ้าพาคนอื่น ๆ ออกไปจากภูเขานี้เสีย”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”หลังจากได้ยินคำสั่งของซูชิงอู่ ทหารอารักขาก็ก้มหัวแล้วหันหลังจากไป จากนั้นเขาก็โบกมือให้คนเกือบสามสิบคนที่อยู่รอบ ๆ กระจายออกไปจากตรงนี้ชายชรามองเห็นคนเหล่านั้นเริ่มห่างออกไปเรื่อย ๆ และตอนนี้ซูชิงอู่ก็เป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ที่นี่ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางทำสีหน้ามุ่งมั่นเขาหยิบขวดยาจากอ้อมออก พลางเทยาเม็ดสีเลือดออกมา จากนั้นก็จ้องมองซูชิงอู่ด้วยสายตาที่ล้ำลึก“กินเข้าไป”ซูชิงอู่หลุบตาเหลือบมองยาเม็ดในมือของเขา นางรับ
หลังจากยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปไม่นานข่าวการหายตัวไปของพระชายาเสวียนก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงเมื่อเย่ชิวหมิงได้ยินข่าว หัวใจของเขาก็เต้นรัว เขาลุกขึ้นยืนสั่งการด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “รีบส่งคนไปค้นหาพระชายา แม้จะต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาพระชายาให้พบให้ได้!”ความปลอดภัยของซูชิงอู่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดหากเย่เสวียนถิงที่ยังประจำการอยู่ที่ชายแดนได้ยินข่าวนี้เข้าคงจะเกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอนเขาเป็นผู้นำของทั้งสามกองทัพ หากเหตุการณ์นี้กระทบต่อสถานการณ์ในสนามรบ อาจจะถึงคราวอวสานของแคว้นเลยก็เป็นได้ทุกคนในเมืองหลวงที่ได้ยินข่าวต่างวิตกกังวลทำเอาองค์หญิงห้าต้องตรงดิ่งมาที่นี่นางถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เสด็จพี่ เหตุใดจู่ ๆ พี่สะใภ้ถึงเดินทางไปยังชานเมืองเล่า!”เสียงของเย่ชิวหมิงทุ้มต่ำ “นางอาจไปหาวิธีการทำลูกปัดอสนีบาต หากข้ารู้เร็วกว่านี้ก็คงไม่ยอมให้นางไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นหรอก”เย่หลิงจูพูดว่า “ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้จะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วเด็ก ๆ ที่อยู่ที่จวนจะทำอย่างไรดี?”น้ำเสียงของเย่หลิงจูไม่ได้มีความร้อนรนราวกับถามไปอย่างไม่คิดอะไรนางไม่ได้กล
เมื่อเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพูดด้วยเจตนาร้าย ซูเฟยก็โกรธมาก “แล้วอย่างไรเล่า? ตอนนี้มีการค้นหาคนชั่วพวกนั้นไปทั่วทุกแห่ง คงไม่รบกวนให้กุ้ยเฟยต้องมากังวลเรื่องนี้ไปด้วยหรอก”เจียวกุ้ยเฟยหัวเราะเบา ๆ “จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร พระชายาเสวียนเป็นสตรีที่อ่อนแอบอบบางอีกทั้งยังงดงาม ถูกลักพาตัวไปเป็นเวลานานเช่นนี้ คงจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ข้าจำได้ว่าก่อนที่นางจะแต่งงาน นางได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกโจร ท่านคงรู้ว่าพวกโจรเหล่านั้นเลวทรามมากเพียงใด สตรีทุกคนที่ถูกจับไปยากจะมีชีวิตรอดนอกจากนี้ตอนที่พระชายาเสวียนแต่งงานกับอ๋องเสวียนนางก็ไม่มีแต้มพรหมจรรย์ ข้าว่าซูเฟยควรตรวจสอบให้ดีว่าเด็กทั้งสามคนนั้นเป็นบุตรของท่านอ๋องจริง ๆ หรือไม่เพราะหลังจากแต่งงานเข้าจวนอ๋องไปได้ไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ จะไม่ให้คนอื่นคิดมากก็กระไรอยู่นะ”นางเอ่ยคำพูดยาวเหยียดต่อหน้าผู้คนมากมาย ซึ่งทุกคำล้วนเป็นการใส่ร้ายซูชิงอู่แม้แต่เย่หลิงจูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ยังทนฟังไม่ได้ นางโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “กุ้ยเฟยกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร?”เมื่อเห็นองค์หญิงห้า เจียวกุ้ยเฟยก็แสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
ยามที่ไม่มีเรื่องอะไรก็ตัดแต่งกิ่งไม้หรือไม่ก็เขียนพู่กันจีนเย่ชิวหมิงจึงรู้สึกอึดอัดที่จู่ ๆ นางก็รุดมาหาเช่นนี้“ในเมื่อเสด็จแม่ไม่มีเรื่องอะไร ลูกคงจะอยู่รับรองท่านต่อไม่ได้ ลูกยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมาก เสด็จแม่เชิญกลับไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากพูดจบ เขาก็หันกลับไปอ่านฎีกาต่อทันใดนั้นเจียวกุ้ยเฟยก็เข้ามากระซิบ “ชิวหมิง มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่ค่อยเข้าใจ เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเป็นคนส่งเสบียงไปยังชายแดน จะให้เจ้าเด็กจากตระกูลซูนั่นเป็นคนไปส่งทำไม? อีกทั้งเจ้ายังไม่ให้คนสนิทของตัวเองมาทำหน้าที่ตรวจสอบคลังเสบียงและจัดสรรค่าจ้างทหาร แต่กลับส่งมอบหน้าที่นี้ให้คนนอก...คนชื่อสวีชิงโม่อะไรนั่น เขามีภูมิหลังและความสัมพันธ์อย่างไรกับเจ้า?”เย่ชิวหมิงค่อย ๆ เบิกตาพลางมองมารดาของตนอย่างไม่ค่อยเข้าใจ“เสด็จแม่ เหตุใดจู่ ๆ ท่านถึงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา?”หากเป็นเมื่อก่อนเจียวกุ้ยเฟยคงไม่พูดอะไร แต่คาดไม่ถึงว่าทันทีที่ซูชิงอู่จากเมืองหลวงไป มารดาของเขาก็วิ่งโร่มาพูดเรื่องนี้เหตุใดถึงไม่มอบตำแหน่งสำคัญเช่นนี้ให้กับคนของตระกูลตัวเองน่ะหรือ?เจียวกุ้ยเฟยเองน่าจะรู้ดียังไม่ต้อ
“เย่ชิวหมิง เจ้าพูดกับแม่เช่นนี้ได้อย่างไร แม่พยายามอย่างหนักเพื่อปูทางให้เจ้าได้เป็นองค์รัชทายาท แล้วเจ้ากลับตอนแทนข้าเช่นนี้น่ะหรือ?”ดวงตาของเจียวกุ้ยเฟยแดงก่ำด้วยความโกรธ และนางก็กล่าวโทษเย่ชิวหมิงอย่างหมดคำพูดเย่ชิวหมิงขมวดคิ้วด้วยความปวดหัว เจียวกุ้ยเฟยเป็นมารดาของเขา เขาจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อนางได้ ครั้งก่อนที่นางเห็นด้วยเรื่องที่เย่อวิ๋นถูและฮองเฮาส่งคนไปลอบสังหารซูชิงอู่กับเย่เสวียนถิง นางก็ได้ล้ำเส้นซูชิงอู่ไปแล้วหากมันเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะรักษาชีวิตนางเอาไว้ได้ซูชิงอู่ไม่ชอบให้ใครมาขัดผลประโยชน์ หากเขาไม่ได้รู้มาตั้งแต่แรกว่านางแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็อาจจะลงเอยเหมือนเย่อวิ๋นถูไปแล้วก็เป็นได้ตอนนี้ทั่วทั้งร่ายกายของเขาได้รับบาดเจ็บไปหมด อาการบาดเจ็บครั้งล่าสุดนั้นสาหัสอย่างหนักจนทำเอาเขาเกือบสิ้นชีวิตจากการเสียเลือดมากเกินไป โชคดีที่เขายังมีชีวิตรอด แต่ถึงกระนั้นอาการบาดเจ็บก็ไม่สามารถรักษาให้หายภายในหนึ่งปีได้ยินมาว่าจุดสำคัญบางส่วนที่เขาได้รับบาดเจ็บนั้นแม้ในอนาคตอาการจะหายขาด แต่เขาก็อาจกลายเป็นคนพิการได้“เสด็จแม่ ลูกไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ แต่ท่านก
จะมีใครเหมือนนางบ้างที่หยุดพักหลังจากเดินไปแค่ไม่กี่ก้าว นางใช้เวลาสี่ชั่วยามเพื่อไปถึงจุดหมายทั้ง ๆ ที่ใช้เวลาเพียงสองชั่วยามก็ถึงแล้ว“ทางออกอยู่ข้างหน้านี่ เจ้าก็เชื่อฟังหน่อยแล้วกันนะ อย่าคิดที่จะหนี เพราะเจ้าคงไม่อยากรู้ว่าหนอนกู่ในร่างกายของเจ้าจะทำอะไรหลังจากที่เจ้าหนีไป”ซูชิงอู่เลิกคิ้วพลางพูดตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่หนีหรอก”เมื่อเห็นว่าเชลยให้ความร่วมมือ ชายชราก็ดันฝาครอบที่ด้านบนสุดของขั้นบันได หลังจากที่เขาขยับมัน ก็มีแสงเทียนรำไรส่องลงมาจากด้านบนซูชิงอู่เงยหน้ามอง เห็นว่าชายชราดับคบเพลิงในมือและหมุนตัวปีนขึ้นไปด้านบน จากนั้นเขาก็หันกลับมามองนาง “เจ้าก็เคลื่อนที่ให้มันเร็ว ๆ หน่อย ข้างนอกมืดแล้ว”หลังจากได้ยินเช่นนั้น นางก็ปีนขึ้นมาและมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ พบว่าจริง ๆ แล้วมันคือบ้านหลังหนึ่งในห้องตกแต่งเรียบง่าย แต่สะอาดสะอ้าน และนางกับชายชราก็คลานออกมาจากใต้โต๊ะในบ้านหลังนี้แม้ซูชิงอู่จะอยู่ในอุโมงค์ แต่นางก็ใช้ความรู้สึกเพื่อระบุทิศทาง และเดาว่าสถานที่แห่งนี้อาจอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลินทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงดัง เมื่อซูชิงอู่หันหน้าไปมอง นางก็เห็นว่าชายชราได
ซูชิงอู่ขมวดคิ้วเป็นปม พลางหาเก้าอี้มานั่งลงอย่างสบาย ๆ “แค่นั้นเองหรือ?”น้ำเสียงของนางแสดงให้เห็นว่ากำลังดูถูกเงินหนึ่งหมื่นตำลึงทองทว่าสำหรับคนธรรมดา แม้แต่ครอบครัวใหญ่บางครอบครัว เงินหนึ่งหมื่นตำลึงทองนี้ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลยมันสามารถช่วยให้ครอบครัวเล็ก ๆ เติบโตและมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองได้และที่เขายอมเสี่ยงอันตรายก็เพื่อเงินก้อนนี้ ทว่าเงินหนึ่งหมื่นตำลึงทองกลับดูไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าซูชิงอู่สีหน้าของเขาเคร่งขรึม “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”ซูชิงอู่เหยียดนิ้วออกสามนิ้วโดยไม่รีรอ “เงินสามหมื่นตำลึงทอง แลกกับการพาข้ากลับไปเพื่อสอนวิธีทำลูกปัดอสนีบาต”ดูเหมือนบุรุษผู้นั้นจะได้ยินไม่ชัดเจน “จะ...เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”ซูชิงอู่เชิดหน้า “ข้าพูดว่าสามหมื่นตำลึงทอง แคว้นอู๋ตะวันตกดูถูกข้ามากเกินไปแล้วนะ ตัวข้ามีค่าเท่ากับหนึ่งหมื่นตำลึงทองแค่นั้นน่ะรึ?”มุมปากของบุรุษนั้นกระตุกเบา ๆ“อย่ามาคุยโวหน่อยเลย”“คุยโวอะไรกัน? ให้ข้าเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ นี่เป็นข้อตกลงระหว่างเจ้ากับข้า ส่วนเรื่องที่เจ้าลักพาตัวข้ามา ข้าจะไม่ถือโทษเอาผิดเจ้าในภายหลัง”นางเดินมาไกลถึงเพียงนี