แม้ซูชิงอู่จะถูกเขาเตือนเช่นนั้น แต่นางก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลนางยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ที่ท่านตรัสก็ถือว่าถูก เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่พระราชวังเพคะ”ตอนนี้ฮ่องเต้เฒ่าเป็นอัมพาตติดเตียงและไม่สามารถลุกขึ้นได้เขารู้สึกเหมือนเหลือลมหายใจเพียงเฮือกเดียว แต่ก็ถูกซูชิงอู่บังคับให้กินยาคุณภาพดีเพื่อพยุงอาการเอาไว้หมอหลวงซุนและคนอื่น ๆ ที่รับใช้ฮ่องเต้เฒ่าอยู่ข้างกายมาโดยตลอด เมื่อพวกเขาเห็นซูชิงอู่ เดินเข้ามาจากด้านนอก พวกเขาทุกคนก็เดินก้มหน้าออกไปและไม่กล้าแม้แต่จะรบกวนนางเพราะในช่วงเวลาวิกฤตินี้ ซูชิงอู่ได้พูดอย่างชัดเจนถึงอาการของฮ่องเต้เฒ่าหากนางไม่อยู่ที่นี่ ฮ่องเต้เฒ่าคงสวรรคตไปนานแล้วฮ่องเต้เฒ่าได้ยินใครบางคนเรียกเขา สุดท้ายเขาก็ลืมตาด้วยความงุนงง ตอนนี้เขากำลังทอดถอนใจและรอคอยยาที่สามารถรักษาเขาได้จากซูชิงอู่แม้ความเป็นไปได้นั้นจะมีน้อยมากก็ตามฮ่องเต้เฒ่าดื่มยาที่ซู่ชิงอู่มอบให้ และในที่สุดเขาก็รู้สึกสติแจ่มชัดขึ้น เขาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงและเห็นซูชิงอู่เดินมาพร้อมกับพระราชโองการและตราราชลัญจกรหยกของเขาที่อยู่ในมือนางเดี๋ยวนะ…ตราราชลัญจกรหยก?ศีรษะของ
ฮ่องเต้เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “เจ้ารู้ไหมว่าคำสารภาพผิดนี้หมายถึงอะไร?”ซูชิงอู่มองฮ่องเต้เฒ่าและพูดอย่างตรงไปตรงมา “ฮ่องเต้องค์ก่อนได้กระทำผิดต่อขุนนางผู้จงรักภักดี ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ได้สวรรคตไปแล้ว เหตุใดถึงทรงเขียนคำสารผิดไม่ได้ล่ะเพคะ?”สิ่งที่นางพูดนั้นสมเหตุสมผลมากจนฮ่องเต้เฒ่าสำลัก“เจ้าเด็กน้อยชักทำตัวเหิมเกริมเข้าไปทุกวันแล้วจริง ๆ ก่อนหน้านี้ข้าเชื่อเจ้าทุกเรื่อง เห็นแก่ที่เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าจะไม่ถือสาความผิดของเจ้า ส่วนคำสารผิดนี้ข้าเขียนให้ไม่ได้จริง ๆ ”ซูชิงอู่โต้เถียงด้วยเหตุผล “ฝ่าบาททรงกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงของฮ่องเต้องค์ก่อนหรือเพคะ? การที่พระองค์สังหารขุนนางผิดคนก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอยู่แล้ว สมาชิกตระกูลอวิ๋นหลายสิบคนคงตายตาไม่หลับเป็นแน่ หากฝ่าบาททรงไม่ออกพระราชโองการเพื่อขจัดความอยุติธรรมให้กับตระกูลอวิ๋น หม่อมฉันก็จะให้คนเปิดเผยความจริงต่อชาวประชาและให้ทุกคนประณามฮ่องเต้องค์ก่อน ในเวลานั้นไม่ว่าจะออกโองการคำสารผิดและยอมรับความผิดพลาดด้วยพระองค์เองหรือไม่ ก็จะมีชื่อในบันทึกประวัติศาสตร์อย่างไม่เป็นทางการว่าจงใจทำร้ายขุนนางผู้ภักดี…”น้ำเสียงที่มั่น
แม้เหตุการณ์นี้จะเป็นเพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ ในสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออวิ๋นเซียงหรูเขาฟังขันทีผู้น้อยที่กำลังอ่านพระราชโองการ และหลังจากที่เขาอ่านคำพูดที่ว่าตระกูลอวิ๋นไร้ความผิดทีละคำ เขาก็ตกตะลึงทันทีในที่สุดสิ่งที่เขาใฝ่หามานานก็บรรลุผลแล้วตัวอักษรทุกตัวในพระราชโองการเปื้อนไปด้วยเลือดของตระกูลอวิ๋น หลังจากรอมาหลายปี ในที่สุดเขาก็ทำตามความคาดหวังของทุกคนและลบล้างความผิดที่ตระกูลอวิ๋นต้องทนทุกข์ทรมานมานานหลายปีได้จากนี้ไปสมาชิกตระกูลอวิ๋นทุกคนไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนอีกแล้ว และพวกเขาสามารถอยู่อย่างเปิดเผยในดินแดนนี้ได้สวีชิงโม่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย คนผู้หนึ่งแอบเดินไปหาเขาพลางหัวเราะเสียงเบา “ขอแสดงความยินดีกับพี่อวิ๋นที่ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว”อวิ๋นเซียงหรูเม้มริมฝีปาก ดวงตาของเขากะพริบถี่ จากนั้นเขาก็ก้มหัวลง “ขอบพระทัยพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”เขารู้ดีว่าหากปราศจากความช่วยเหลือของซูชิงอู่ ชาตินี้เขาก็ไม่มีวันที่จะได้รับพระราชโองการนี้เพื่อเห็นแก่หน้าของฮ่องเต้องค์ก่อน ฮ่องเต้เฒ่าสามารถเขียนคำสารภาพผิดอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร มีแต่จะทำให้เกี
ข่าวดีอย่างที่สองคือมีเบาะแสเกี่ยวกับลูกปัดอสนีบาตจากคนที่องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดส่งไป พวกเขาแจ้งว่าได้พบปรมาจารย์ที่รู้วิธีสร้างอาวุธเพลิงแล้วทว่าปรมาจารย์ผู้นั้นกลับมีนิสัยที่ค่อนข้างแปลก เขากล่าวว่าหากต้องการให้เขาสอนวิธีทำลูกปัดอสนีบาต ก็ให้เจ้านายของพวกเขาไปเชิญด้วยตนเองหลังจากที่ซูชิงอู่ฟังรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“ให้ข้าไปเชิญด้วยตัวเองงั้นรึ?”องครักษ์เงาก้มหน้าลงพลางพูดด้วยความเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ เขายังบอกด้วยว่าเขารู้จักตัวตนของท่าน หากหลอกลวงเขา เขาจะไม่มีวันมอบวิธีสร้างลูกปัดอสนีบาตให้”ซูชิงอู่ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ ลูกปัดอสนีบาตเป็นอาวุธเพลิงที่ค่อนข้างโบราณ แต่น่าเสียดายที่ทักษะการสร้างอาวุธนี้สูญหายไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนกลไกอันวิจิตรงดงามนั้นยากต่อการลอกเลียนแบบแต่สุดท้ายบุคคลที่ฮ่องเต้เฒ่าตามหามานานจู่ ๆ ก็วิ่งมาอยู่หน้านางและต้องการพบนางน่าสงสัยมากลูกปัดอสนีบาตเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในแผนของนาง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางยอดเขา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำอาวุธและม้าจำนวนมากไปที่นั่น อีกทั้งป่าโดยรอบก็เต็มไปด้วยสัตว์ป่าและพิ
เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้นเป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปหากองครักษ์เงาไม่ได้บอกนางว่าคนผู้นี้คือช่างฝีมือที่สามารถทำลูกปัดอสนีบาตได้ นางคงคิดว่าเขาโกหกอย่างแน่นอนเมื่อซูชิงอู่มองไปที่อีกฝ่าย ชายชราก็มองกลับมาด้วยเช่นกันสีหน้าของเขาไร้อารมณ์ แม้เขาจะถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน แต่ก็ไม่มีความหวั่นกลัวบนใบหน้า เขาหันข้างแล้วพูดว่า “เข้ามาสิ แต่อนุญาตให้เข้าไปได้เพียงสองคนเท่านั้น”ท่าทางของทหารอารักขาเปลี่ยนไป เขารีบชักดาบออกมาขู่ทันทีซูชิงอู่โบกมือบอกให้คนคนนั้นถอยออกไป“ไม่ต้องถึงสองคนหรอก ข้าเข้าไปคนเดียวได้ พวกเจ้าคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก หากมีอะไรเกิดขึ้นข้าจะเรียก”“พระชายา!”ทหารอารักขาที่อยู่รอบ ๆ มองนางอย่างกังวลในสายตาของทุกคน พระชายาเสวียนเป็นเพียงสตรีที่อ่อนโยนและงดงาม นางคงไม่มีพลังที่จะต้านทานกับอันตรายใดที่ได้เผชิญซูชิงอู่ไม่ได้อธิบาย นางเดินตามชายชราผ่านเข้าไปด้านใน จากนั้นนางก็พลิกมือไปปิดประตูเห็นได้ชัดว่าชายชราตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาคาดไม่ถึงว่าซูชิงอู่จะมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้“เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าจงใจล่อเจ้ามาที่นี่ ไม่กลัวว่าข้าจะลงมือทำอะไรเจ้ารึ?”เสี
ซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามกลับ “พวกเขาก็ไม่เห็นข้าออกคำสั่งน่ะสิ”ชายชราที่สวมหน้ากากหนังมนุษย์เปิดประตูเรียกทหารอารักขาคนหนึ่งที่อยู่หน้าประตูให้เข้ามาเมื่อทหารอารักขาเห็นซูชิงอู่ถูกขังอยู่ในกรง เขากำลังจะชักดาบ “เจ้าบังอาจนัก…”ชายชราเลิกคิ้ว “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าทำอะไรเลยจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นอาจมีลูกธนูพิษยิงมาจากที่ไหนสักแห่งในบ้านนี้ ซึ่งอาจจะโดนเจ้านายของพวกเจ้าก็ได้”คำพูดของชายชราทำให้สีหน้าของทหารอารักขาเปลี่ยนไป จนเขาไม่กล้าชักอาวุธออกมาซูชิงอู่พูดว่า “เจ้าพาคนอื่น ๆ ออกไปจากภูเขานี้เสีย”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”หลังจากได้ยินคำสั่งของซูชิงอู่ ทหารอารักขาก็ก้มหัวแล้วหันหลังจากไป จากนั้นเขาก็โบกมือให้คนเกือบสามสิบคนที่อยู่รอบ ๆ กระจายออกไปจากตรงนี้ชายชรามองเห็นคนเหล่านั้นเริ่มห่างออกไปเรื่อย ๆ และตอนนี้ซูชิงอู่ก็เป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ที่นี่ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางทำสีหน้ามุ่งมั่นเขาหยิบขวดยาจากอ้อมออก พลางเทยาเม็ดสีเลือดออกมา จากนั้นก็จ้องมองซูชิงอู่ด้วยสายตาที่ล้ำลึก“กินเข้าไป”ซูชิงอู่หลุบตาเหลือบมองยาเม็ดในมือของเขา นางรับ
หลังจากยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปไม่นานข่าวการหายตัวไปของพระชายาเสวียนก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงเมื่อเย่ชิวหมิงได้ยินข่าว หัวใจของเขาก็เต้นรัว เขาลุกขึ้นยืนสั่งการด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “รีบส่งคนไปค้นหาพระชายา แม้จะต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาพระชายาให้พบให้ได้!”ความปลอดภัยของซูชิงอู่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดหากเย่เสวียนถิงที่ยังประจำการอยู่ที่ชายแดนได้ยินข่าวนี้เข้าคงจะเกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอนเขาเป็นผู้นำของทั้งสามกองทัพ หากเหตุการณ์นี้กระทบต่อสถานการณ์ในสนามรบ อาจจะถึงคราวอวสานของแคว้นเลยก็เป็นได้ทุกคนในเมืองหลวงที่ได้ยินข่าวต่างวิตกกังวลทำเอาองค์หญิงห้าต้องตรงดิ่งมาที่นี่นางถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เสด็จพี่ เหตุใดจู่ ๆ พี่สะใภ้ถึงเดินทางไปยังชานเมืองเล่า!”เสียงของเย่ชิวหมิงทุ้มต่ำ “นางอาจไปหาวิธีการทำลูกปัดอสนีบาต หากข้ารู้เร็วกว่านี้ก็คงไม่ยอมให้นางไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นหรอก”เย่หลิงจูพูดว่า “ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้จะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วเด็ก ๆ ที่อยู่ที่จวนจะทำอย่างไรดี?”น้ำเสียงของเย่หลิงจูไม่ได้มีความร้อนรนราวกับถามไปอย่างไม่คิดอะไรนางไม่ได้กล
เมื่อเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพูดด้วยเจตนาร้าย ซูเฟยก็โกรธมาก “แล้วอย่างไรเล่า? ตอนนี้มีการค้นหาคนชั่วพวกนั้นไปทั่วทุกแห่ง คงไม่รบกวนให้กุ้ยเฟยต้องมากังวลเรื่องนี้ไปด้วยหรอก”เจียวกุ้ยเฟยหัวเราะเบา ๆ “จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร พระชายาเสวียนเป็นสตรีที่อ่อนแอบอบบางอีกทั้งยังงดงาม ถูกลักพาตัวไปเป็นเวลานานเช่นนี้ คงจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ข้าจำได้ว่าก่อนที่นางจะแต่งงาน นางได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกโจร ท่านคงรู้ว่าพวกโจรเหล่านั้นเลวทรามมากเพียงใด สตรีทุกคนที่ถูกจับไปยากจะมีชีวิตรอดนอกจากนี้ตอนที่พระชายาเสวียนแต่งงานกับอ๋องเสวียนนางก็ไม่มีแต้มพรหมจรรย์ ข้าว่าซูเฟยควรตรวจสอบให้ดีว่าเด็กทั้งสามคนนั้นเป็นบุตรของท่านอ๋องจริง ๆ หรือไม่เพราะหลังจากแต่งงานเข้าจวนอ๋องไปได้ไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ จะไม่ให้คนอื่นคิดมากก็กระไรอยู่นะ”นางเอ่ยคำพูดยาวเหยียดต่อหน้าผู้คนมากมาย ซึ่งทุกคำล้วนเป็นการใส่ร้ายซูชิงอู่แม้แต่เย่หลิงจูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ยังทนฟังไม่ได้ นางโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “กุ้ยเฟยกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร?”เมื่อเห็นองค์หญิงห้า เจียวกุ้ยเฟยก็แสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม