เย่ชิวหมิงยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกจับตามองแล้วองค์รัชทายาทซึ่งมีงานยุ่งมาทั้งวัน ในที่สุดก็กลับมายังตำหนักบูรพาในยามกลางคืน รู้สึกราวกับว่ากระดูกทั่วร่างแตกสลายไปหมดแต่ทันทีที่เขาก้าวเข้าประตู ก็เห็นฉีหว่านเอ๋อร์ยืนรอเขาอยู่เย่ชิวหมิงหยุดเดิน รู้สึกว่าอากาศยามค่ำคืนหนาวเหน็บ ฉีหว่านเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าบางมากเช่นนั้นเขาจึงถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้วสวมคลุมบนร่างกายของนาง“ดึกขนาดนี้แล้ว ต่อไปไม่ต้องรอข้าอีก”ฉีหว่านเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ แล้วดึงคอเสื้อเข้าหากันแล้วพูดว่า "ข้าเป็นชายารัชทายาท การรอท่านกลับมาไม่ใช่เรื่องที่ควรทำหรือ?"เมื่อฟังคำพูดอันอ่อนโยนของฉีหว่านเอ๋อร์ เย่ชิวหมิงก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเล็กน้อย ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง ซึ่งภายในห้องเงียบสงบอย่างหาได้ยากฉีหว่านเอ๋อร์เอ่ยขึ้นเบา ๆ "องค์รัชทายาท ท่านพี่ของข้าบอกว่ามีเรื่องจะหารือกับท่าน จึงให้ข้ามาถามว่าพรุ่งนี้ท่านมีเวลาหรือไม่?"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เย่ชิวหมิงก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยฉีเทียนหยวนช่วงนี้เรียบร้อยมาตลอด และไม่ได้เห็นเขาทำอะไรเลย เช่นนั้นเย่ชิวหมิงจึงสงสัยว่าเขาคิดจะจากไปหรือไม่“พี่ชายของเจ้าจะไปแล้วหรือ?”
เพียงแต่สำหรับเขาแล้ว นางเป็นคู่แต่งงานที่ดีและช่วยชีวิตเขาไว้ เช่นนั้นนี่จึงเป็นความรับผิดชอบของเขา และเขาจึงทำเช่นนี้ฉีหว่านเอ๋อร์หลับตาถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดว่า "นอนเถอะ"…… หอวั่งเซียงเป็นเพียงโรงน้ำชาที่ค่อนข้างเงียบสงบและไม่ค่อยจอแจ เพราะเป็นสถานที่ระดับค่อนข้างสูง คนที่มาที่นี่จึงเป็นผู้ที่มีฐานะค่อนข้างไม่ธรรมดาตอนนี้เย่ชิวหมิงเป็นองค์รัชทายาทแล้ว และเขาค่อนข้างจะระมัดระวังบุคคลภายนอก เช่นนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายเลือกสถานที่แม้ว่าเขาจะนำคนรับใช้ส่วนตัวขึ้นมาเพียงสองคน แต่จริง ๆ แล้วเขามีองครักษ์ลับมากมายคอยดูแลเขาอยู่นี่เป็นนิสัยของเย่ชิวหมิงในช่วงนี้ ท้ายที่สุดแล้วเขาฝังใจกับการลอบสังหาร จึงระวังตัวเป็นพิเศษไม่นานหลังจากนั้น รถม้าก็มาจอดที่ประตูหอวั่งเซียงเขามองผ่านหน้าต่างและเห็นฉีเทียนหยวนเดินเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้ตัวเตี้ยคนหนึ่งเนื่องจากมีเพียงสองคน องครักษ์ที่เฝ้าประตูจึงตรวจค้นพวกเขาอย่างง่ายดาย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอาวุธใด ๆ จึงอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปฉีเทียนหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะทันทีที่เขาเข้าประตูไป“ไม่คิดเลยว่าตอนนี้หากอยากจะพบองค์รัชทายาท ต้องฝ่าด่านมาอย่
เขาตั้งใจหยุดไว้ก่อน แล้วจึงพูดต่อไปว่า "นอกจากองค์ชายทั้งห้าคนนี้แล้ว ฮ่องเต้แห่งอู๋ตะวันตกยังซ่อนองค์ชายไว้อีกหนึ่งด้วย"ดวงตาของเย่ชิวหมิงเป็นประกายขึ้นมาทันทีเพราะเขาไม่รู้ข่าวนี้จริง ๆ เช่นเดียวกับแคว้นหนานเย่ ฮ่องเต้องค์ก่อน ๆ ของแคว้นเหล่านี้นับว่าแก่ชรากันไปแล้ว แต่ฮ่องเต้จากแคว้นอู๋ตะวันตกนั้นอายุน้อยกว่า แข็งแกร่งกว่า และดูเหมือนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกอย่างน้อยยี่สิบปีเช่นนั้น จึงมีองค์ชายในรุ่นนี้มากมาย และการแย่งชิงราชบัลลังก์ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าแคว้นหนานเย่ที่ใดมีคน นี่นั่นย่อมมีความขัดแย้งยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างราชวงศ์เช่นนี้เลยเนื่องจากฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานเย่มีทายาทเพียงไม่กี่คน ตอนนี้การต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลแพ้ชนะจึงจบลงอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกสองแคว้นยังคงอยู่ในการต่อสู้อันดุเดือดองค์ชายทั้งห้าและองค์หญิงจากแคว้นฉีตะวันออกสิ้นพระชนม์ไปทีละคน ขณะที่แคว้นอู๋ตะวันตกก็ต่อสู้อย่างดุเดือดเช่นกัน มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่ใช้วิธีการลับ ๆ เพื่อยึดอำนาจของแคว้นหนานเย่ คงบุกกันมาตรง ๆ ไปแล้วเพราะว่ากำลังทหารของสองแคว้นนั้น แข็งแกร่งกว่าแคว้นหนานเย่มากแม้ว่าแ
ซึ่งนี่เป็นตำแหน่งเดียวกับที่ฉีเทียนหยวนเพิ่งตบไหล่เขาไปเมื่อครู่นี้มันคลานไปตรงผิวหนังช่วงคอของเย่ชิวหมิงที่เปิดโล่งอยู่ จากนั้นก็แยกเขี้ยวกัดลงไปเย่ชิวหมิงรู้สึกเจ็บจี๊ดเล็กน้อยที่หลังคอ เขาจึงยกมือขึ้นมาตบตรงนั้นไปหนึ่งทีเมื่อดึงมือกลับมาดูก็พบรอยเลือดเล็ก ๆ บนฝ่ามือของตัวเองแมลงสีแดงท้องแตกเละ เลือดสีแดงสดของมันมองเห็นผ่านผิวหนังโปร่งใส มันดูเหมือนยุงตัวใหญ่อย่างมากหากแต่เพียงไม่มีปีกและบินไม่ได้เย่ชิวหมิงขมวดคิ้วจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความสับสนพลางมองฉีเทียนหยวนที่อยู่ตรงข้ามฉีเทียนหยวนเองก็มองเขาเช่นกันบรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ จนกระทั่งเย่ชิวหมิงถามอีกฝ่ายว่า “สภาพอากาศเช่นนี้มียุงตัวใหญ่ขนาดนี้ด้วยหรือ?”ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูร้อนจึงมักมียุงเป็นธรรมดา แต่ปกติแล้วยุงพวกนี้มักจะออกมากัดคนยามค่ำนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นยุงที่ใจกล้าและดูดเลือดคนจนอวบอ้วนเช่นนี้ฉีเทียนหยวนจ้องเย่ชิวหมิง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจเขาลอบกลืนน้ำลาย พลางแอบเอามือไปด้านหลังแล้วดึงชายเสื้อของบ่าวรับใช้“เหตุใดมันถึงไม่ได้ผล?”เห็นกันอยู่ ๆ ชัดว่าเขาถูกกู่เลือดกัด และตอน
ปากของฉีเทียนหยวนกระตุกเล็กน้อย จริง ๆ แล้วเขาไม่อยากบอกเย่ชิวหมิงมากไปกว่านี้แต่หากตอนนี้เขาไม่สามารถหาคำอธิบายที่ฟังขึ้นได้ ก็จะกระตุ้นให้เกิดความสงสัยอย่างแน่นอนเขาหรี่ตาเล็กน้อย “แคว้นอู๋ตะวันตกได้เตรียมกองทัพจำนวนสี่แสนนายอยู่ที่เขตเจิ้นเป่ย แม้อู๋หลางจะไม่ตาย แต่พี่น้องคนอื่น ๆ ของเขาคงจะไม่ยอมให้เขากลับไป…”ดวงตาของเย่ชิวหมิงเป็นประกายเขามองฉีเทียนหยวนด้วยความเหลือเชื่อพลางขมวดคิ้วและพูดว่า “พวกเขาจะกล้าได้อย่างไร? ไม่กลัวว่าแคว้นหนานเย่กับแคว้นฉีตะวันออกจะร่วมมือกันรึ?”แม้แคว้นอู๋ตะวันตกจะมีกองทหารและม้าที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นที่แน่นอนว่าจะได้รับชัยชนะในสนามรบฉีเทียนหยวนหรี่ตาหยีก่อนยกยิ้ม “เอาล่ะ ข้าจะบอกความลับสุดท้ายให้ท่านรู้ นั่นคือท่านพี่ใหญ่ของข้าได้รับปากแคว้นอู๋ตะวันตกไว้ล่วงหน้าว่าหากแคว้นอู๋ตะวันตกจัดการกับแคว้นหนานเย่ เขาจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย!”คราวนี้ม่านตาของเย่ชิวหมิงหดตัวลงทันทีทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนพลางยิ้มเยาะ “เขายังไม่ได้เป็นรัชทายาทด้วยซ้ำ? เหตุใดถึงพูดเช่นนั้นออกมาได้?”ฉีเทียนหยวนถอนหายใจ “นั่นเป็นข่าวสารที่ข้าเองก็เพิ่งได้รับหลังจา
ฉีเทียนหยวนยิ้มเยาะและมีแววเหยียดหยามในดวงตา “เราสองคนตกลงกันแล้วว่านี่คือความสัมพันธ์แบบร่วมมือกัน หวังว่าท่านจะไม่ทำตัวไร้ประโยชน์นัก”“ท่าน…”สตรีผู้นั้นโกรธควันออกหูและแค่นเสียงเย็น “อย่าให้ข้าต้องทดสอบพลังของหนอนกู่กับตัวท่านเลย”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉีเทียนหยวนก็แค่นเสียงใส่คำพูดของนางเขาเดินตรงก้าวฉับ ๆ ออกประตูแล้วออกจากที่นี่ไป“เช่นนั้นก็ทำเลยสิ”คำพูดนั่นทำให้สตรีจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์โกรธมาก แต่นางไม่สามารถลงมือกับฉีเทียนหยวนได้หากเขาตาย นางคงไม่สามารถหาเพชฌฆาตที่น่าพอใจเช่นนี้ได้อีก...……ภายในจวนอ๋องเสวียนซูชิงอู่ที่ควรจะหลับแล้วเดินมาเปิดประตูหินที่ห้อง ๆ หนึ่งด้วยความเคยชินสถานที่แห่งนี้นางหาช่างฝีมือมาสร้างโดยเฉพาะ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ที่นางอาศัยและสามารถเข้ามาได้โดยเดินผ่านทางเดินยาว ๆก่อนหน้านี้นางตั้งครรภ์ เย่เสวียนถิงจึงห้ามไม่ให้นางมาตรวจดูที่นี่ แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว นางเลยเดินเข้าไปในประตูหินตามลำพังกลางดึกพร้อมโคมไฟด้านในมีกลิ่น ๆ หนึ่งที่ค่อนข้างไม่พึงประสงค์ฝีเท้าของนางส่งเสียงกระทบพื้นเบา ๆ ตะเกียงในมือของซูชิงอู่ทำให้นางมองเห็นได้ชัด
ซูชิงอู่สังเกตอาการของแม่กู่อย่างใกล้ชิด และรู้สึกโล่งใจหลังจากยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนางออกจากห้องลับที่ซ่อนอยู่นี้อีกครั้งและปิดกลไกประตูหินปกติแล้วมีการสั่งห้ามคนรับใช้ในจวนเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าหากมีคนที่ไม่กลัวตายและเสี่ยงชีวิตมาที่นี่ ก็ให้มาเป็นอาหารเลี้ยงหนอนกู่ได้ นางไม่รังเกียจ…หลังจากออกมาไม่ไกลนัก ซูชิงอู่ก็เห็นว่าเย่เสวียนถิงเดินมาหานางไม่ต้องถามเขาก็รู้ว่านางมาทำอะไรที่นี่ และด้วยเพราะเป็นห่วง เขาจึงมาที่นี่เพื่อปกป้องนาง“ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”ซูชิงอู่ส่ายหัว “ข้าจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ? ข้าเลี้ยงแมลงพวกนั้นมากับมือ มันไม่แว้งกัดข้าหรอก”เย่เสวียนถิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย หยิบโคมไฟออกจากมือของอีกฝ่ายแล้วจับมือนางเสียงอันอ่อนโยนของเขาที่เปล่งออกมาในยามค่ำคืนทำให้ฟังดูทุ้มลึกและน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น“ลูก ๆ หลับกันหมดแล้ว ข้าเพิ่งมาตรวจดูเมื่อครู่ ไม่ต้องห่วง”ซูชิงอู่พยักหน้าเบา ๆ พลางรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ค่ำคืนอันเงียบงันนั้นช่างแสนสงบ อีกทั้งอากาศยังชวนให้รู้สึกสดชื่น“เสวียนถิง”“หืม?”ซูชิงอู่จับมือของเขาไว้แน่นจนนิ้วของพวกเขาประสานกัน“รีบกล
และเมื่อมีกู่ชั้นสูงอยู่ในร่างกายของเย่ชิวหมิงแล้ว กู่ชั้นที่ต่ำกว่าจะถูกกลืนกินเข้าไป และจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดต่อเย่ชิวหมิงเลยแม้แต่น้อยได้ยินมาว่ากู่เลือดนั้นเลี้ยงยากและมีราคาแพงมาก ฉีเทียนหยวนกับคนที่อยู่เบื้องหลังต้องปวดใจจนแทบกระอักเลือดตายเป็นแน่เพราะกู่พวกนี้เป็นสิ่งที่สามารถใช้ควบคุมคนสำคัญได้เย่ชิวหมิงฟังด้วยความตกตะลึง“ที่พระชายาเสวียนหมายถึงคือมีบางอย่างผิดปกติกับฉีเทียนหยวนหรือ?”ซูชิงอู่พยักหน้าเบา ๆ “ไม่เพียงมีผิดปกติเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาใหญ่อีกด้วย”“เช่นนั้นความลับที่เขาบอกข้าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกรึนี่?”ซูชิงอู่ลุกขึ้นนั่งเล็กน้อยแล้วถามว่า “ความลับอะไรหรือเพคะ?”สายตาของเย่ชิวหมิงจ้องไปที่เย่เสวียนถิง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เขาบอกว่าแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นอู๋ตะวันตกเป็นโอรสนอกสมรสของฮ่องเต้แห่งแคว้นอู๋ตะวันตก และเป็นโอรสที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่าองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉีตะวันออกและแคว้นอู๋ตะวันตกทำข้อตกลงว่าเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการโจมตีแคว้นหนานเย่”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เสวียนถิงก็พยักหน้าเบา ๆ “อืม เรื่องแรกข้าเ
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้