เย่เสวียนถิงยืนขึ้นและกล่าวว่า "นั่นไม่จำเป็นหรอก สิ้นเปลืองกำลังคนเปล่า ๆ"มุมปากของฉีเทียนหยวนกระตุกเล็กน้อย รู้สึกว่าเขาถูกประเมินต่ำเกินไปเขานั่งบนเก้าอี้โดยไม่ขยับ เฝ้าดูซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงลุกขึ้นและจากไปไม่มีใครมาจับเขาหรือทำอะไรกับเขาแต่ยิ่งอีกฝ่ายประพฤติเช่นนี้ ฉีเทียนหยวนก็ยิ่งไม่กล้าแสดงอาการหุนหันพลันแล่นออกมาการเคลื่อนไหวลับ ๆ ของเขาในช่วงนี้ ไม่คิดว่าจะถูกจับได้เสียแล้วเขาจิบชาระงับความหงุดหงิด จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองฉีหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ตรงข้ามการแสดงออกของนางค่อนข้างซับซ้อน“ข้าขอโทษเสด็จพี่ หว่านเอ๋อร์ผิดเอง...”ฉีเทียนหยวนยกยิ้มมุมปาก ดวงตาอ่อนโยนลง เขายกมือขึ้นเพื่อลูบศีรษะของนาง "พอแล้ว ข้าจะกลับก่อน ไม่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว ฟ้ากำลังจะมืด อยู่ในวังย่อมไม่สะดวก”เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตำหนินาง ฉีหว่านเอ๋อร์ก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อนางคิดถึงสิ่งที่ซูชิงอู่พูดต่อหน้านาง หัวใจของนางก็หนักอึ้งพี่ชายของนาง อาจจะแตกต่างจากที่นางเคยคิดไว้จริง ๆ...นั่นคือผู้ที่ชักใยที่แท้จริงทันทีที่ฉีเทียนหยวนออกจากวังเขาก็กลับไปที่ตำหนักของตนทันทีหลังจากแน่ใจว่าไม่
เย่ชิวหมิงยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกจับตามองแล้วองค์รัชทายาทซึ่งมีงานยุ่งมาทั้งวัน ในที่สุดก็กลับมายังตำหนักบูรพาในยามกลางคืน รู้สึกราวกับว่ากระดูกทั่วร่างแตกสลายไปหมดแต่ทันทีที่เขาก้าวเข้าประตู ก็เห็นฉีหว่านเอ๋อร์ยืนรอเขาอยู่เย่ชิวหมิงหยุดเดิน รู้สึกว่าอากาศยามค่ำคืนหนาวเหน็บ ฉีหว่านเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าบางมากเช่นนั้นเขาจึงถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้วสวมคลุมบนร่างกายของนาง“ดึกขนาดนี้แล้ว ต่อไปไม่ต้องรอข้าอีก”ฉีหว่านเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ แล้วดึงคอเสื้อเข้าหากันแล้วพูดว่า "ข้าเป็นชายารัชทายาท การรอท่านกลับมาไม่ใช่เรื่องที่ควรทำหรือ?"เมื่อฟังคำพูดอันอ่อนโยนของฉีหว่านเอ๋อร์ เย่ชิวหมิงก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเล็กน้อย ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง ซึ่งภายในห้องเงียบสงบอย่างหาได้ยากฉีหว่านเอ๋อร์เอ่ยขึ้นเบา ๆ "องค์รัชทายาท ท่านพี่ของข้าบอกว่ามีเรื่องจะหารือกับท่าน จึงให้ข้ามาถามว่าพรุ่งนี้ท่านมีเวลาหรือไม่?"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เย่ชิวหมิงก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยฉีเทียนหยวนช่วงนี้เรียบร้อยมาตลอด และไม่ได้เห็นเขาทำอะไรเลย เช่นนั้นเย่ชิวหมิงจึงสงสัยว่าเขาคิดจะจากไปหรือไม่“พี่ชายของเจ้าจะไปแล้วหรือ?”
เพียงแต่สำหรับเขาแล้ว นางเป็นคู่แต่งงานที่ดีและช่วยชีวิตเขาไว้ เช่นนั้นนี่จึงเป็นความรับผิดชอบของเขา และเขาจึงทำเช่นนี้ฉีหว่านเอ๋อร์หลับตาถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดว่า "นอนเถอะ"…… หอวั่งเซียงเป็นเพียงโรงน้ำชาที่ค่อนข้างเงียบสงบและไม่ค่อยจอแจ เพราะเป็นสถานที่ระดับค่อนข้างสูง คนที่มาที่นี่จึงเป็นผู้ที่มีฐานะค่อนข้างไม่ธรรมดาตอนนี้เย่ชิวหมิงเป็นองค์รัชทายาทแล้ว และเขาค่อนข้างจะระมัดระวังบุคคลภายนอก เช่นนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายเลือกสถานที่แม้ว่าเขาจะนำคนรับใช้ส่วนตัวขึ้นมาเพียงสองคน แต่จริง ๆ แล้วเขามีองครักษ์ลับมากมายคอยดูแลเขาอยู่นี่เป็นนิสัยของเย่ชิวหมิงในช่วงนี้ ท้ายที่สุดแล้วเขาฝังใจกับการลอบสังหาร จึงระวังตัวเป็นพิเศษไม่นานหลังจากนั้น รถม้าก็มาจอดที่ประตูหอวั่งเซียงเขามองผ่านหน้าต่างและเห็นฉีเทียนหยวนเดินเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้ตัวเตี้ยคนหนึ่งเนื่องจากมีเพียงสองคน องครักษ์ที่เฝ้าประตูจึงตรวจค้นพวกเขาอย่างง่ายดาย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอาวุธใด ๆ จึงอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปฉีเทียนหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะทันทีที่เขาเข้าประตูไป“ไม่คิดเลยว่าตอนนี้หากอยากจะพบองค์รัชทายาท ต้องฝ่าด่านมาอย่
เขาตั้งใจหยุดไว้ก่อน แล้วจึงพูดต่อไปว่า "นอกจากองค์ชายทั้งห้าคนนี้แล้ว ฮ่องเต้แห่งอู๋ตะวันตกยังซ่อนองค์ชายไว้อีกหนึ่งด้วย"ดวงตาของเย่ชิวหมิงเป็นประกายขึ้นมาทันทีเพราะเขาไม่รู้ข่าวนี้จริง ๆ เช่นเดียวกับแคว้นหนานเย่ ฮ่องเต้องค์ก่อน ๆ ของแคว้นเหล่านี้นับว่าแก่ชรากันไปแล้ว แต่ฮ่องเต้จากแคว้นอู๋ตะวันตกนั้นอายุน้อยกว่า แข็งแกร่งกว่า และดูเหมือนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกอย่างน้อยยี่สิบปีเช่นนั้น จึงมีองค์ชายในรุ่นนี้มากมาย และการแย่งชิงราชบัลลังก์ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าแคว้นหนานเย่ที่ใดมีคน นี่นั่นย่อมมีความขัดแย้งยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างราชวงศ์เช่นนี้เลยเนื่องจากฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานเย่มีทายาทเพียงไม่กี่คน ตอนนี้การต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลแพ้ชนะจึงจบลงอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกสองแคว้นยังคงอยู่ในการต่อสู้อันดุเดือดองค์ชายทั้งห้าและองค์หญิงจากแคว้นฉีตะวันออกสิ้นพระชนม์ไปทีละคน ขณะที่แคว้นอู๋ตะวันตกก็ต่อสู้อย่างดุเดือดเช่นกัน มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่ใช้วิธีการลับ ๆ เพื่อยึดอำนาจของแคว้นหนานเย่ คงบุกกันมาตรง ๆ ไปแล้วเพราะว่ากำลังทหารของสองแคว้นนั้น แข็งแกร่งกว่าแคว้นหนานเย่มากแม้ว่าแ
ซึ่งนี่เป็นตำแหน่งเดียวกับที่ฉีเทียนหยวนเพิ่งตบไหล่เขาไปเมื่อครู่นี้มันคลานไปตรงผิวหนังช่วงคอของเย่ชิวหมิงที่เปิดโล่งอยู่ จากนั้นก็แยกเขี้ยวกัดลงไปเย่ชิวหมิงรู้สึกเจ็บจี๊ดเล็กน้อยที่หลังคอ เขาจึงยกมือขึ้นมาตบตรงนั้นไปหนึ่งทีเมื่อดึงมือกลับมาดูก็พบรอยเลือดเล็ก ๆ บนฝ่ามือของตัวเองแมลงสีแดงท้องแตกเละ เลือดสีแดงสดของมันมองเห็นผ่านผิวหนังโปร่งใส มันดูเหมือนยุงตัวใหญ่อย่างมากหากแต่เพียงไม่มีปีกและบินไม่ได้เย่ชิวหมิงขมวดคิ้วจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความสับสนพลางมองฉีเทียนหยวนที่อยู่ตรงข้ามฉีเทียนหยวนเองก็มองเขาเช่นกันบรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ จนกระทั่งเย่ชิวหมิงถามอีกฝ่ายว่า “สภาพอากาศเช่นนี้มียุงตัวใหญ่ขนาดนี้ด้วยหรือ?”ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูร้อนจึงมักมียุงเป็นธรรมดา แต่ปกติแล้วยุงพวกนี้มักจะออกมากัดคนยามค่ำนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นยุงที่ใจกล้าและดูดเลือดคนจนอวบอ้วนเช่นนี้ฉีเทียนหยวนจ้องเย่ชิวหมิง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจเขาลอบกลืนน้ำลาย พลางแอบเอามือไปด้านหลังแล้วดึงชายเสื้อของบ่าวรับใช้“เหตุใดมันถึงไม่ได้ผล?”เห็นกันอยู่ ๆ ชัดว่าเขาถูกกู่เลือดกัด และตอน
ปากของฉีเทียนหยวนกระตุกเล็กน้อย จริง ๆ แล้วเขาไม่อยากบอกเย่ชิวหมิงมากไปกว่านี้แต่หากตอนนี้เขาไม่สามารถหาคำอธิบายที่ฟังขึ้นได้ ก็จะกระตุ้นให้เกิดความสงสัยอย่างแน่นอนเขาหรี่ตาเล็กน้อย “แคว้นอู๋ตะวันตกได้เตรียมกองทัพจำนวนสี่แสนนายอยู่ที่เขตเจิ้นเป่ย แม้อู๋หลางจะไม่ตาย แต่พี่น้องคนอื่น ๆ ของเขาคงจะไม่ยอมให้เขากลับไป…”ดวงตาของเย่ชิวหมิงเป็นประกายเขามองฉีเทียนหยวนด้วยความเหลือเชื่อพลางขมวดคิ้วและพูดว่า “พวกเขาจะกล้าได้อย่างไร? ไม่กลัวว่าแคว้นหนานเย่กับแคว้นฉีตะวันออกจะร่วมมือกันรึ?”แม้แคว้นอู๋ตะวันตกจะมีกองทหารและม้าที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นที่แน่นอนว่าจะได้รับชัยชนะในสนามรบฉีเทียนหยวนหรี่ตาหยีก่อนยกยิ้ม “เอาล่ะ ข้าจะบอกความลับสุดท้ายให้ท่านรู้ นั่นคือท่านพี่ใหญ่ของข้าได้รับปากแคว้นอู๋ตะวันตกไว้ล่วงหน้าว่าหากแคว้นอู๋ตะวันตกจัดการกับแคว้นหนานเย่ เขาจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย!”คราวนี้ม่านตาของเย่ชิวหมิงหดตัวลงทันทีทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนพลางยิ้มเยาะ “เขายังไม่ได้เป็นรัชทายาทด้วยซ้ำ? เหตุใดถึงพูดเช่นนั้นออกมาได้?”ฉีเทียนหยวนถอนหายใจ “นั่นเป็นข่าวสารที่ข้าเองก็เพิ่งได้รับหลังจา
ฉีเทียนหยวนยิ้มเยาะและมีแววเหยียดหยามในดวงตา “เราสองคนตกลงกันแล้วว่านี่คือความสัมพันธ์แบบร่วมมือกัน หวังว่าท่านจะไม่ทำตัวไร้ประโยชน์นัก”“ท่าน…”สตรีผู้นั้นโกรธควันออกหูและแค่นเสียงเย็น “อย่าให้ข้าต้องทดสอบพลังของหนอนกู่กับตัวท่านเลย”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉีเทียนหยวนก็แค่นเสียงใส่คำพูดของนางเขาเดินตรงก้าวฉับ ๆ ออกประตูแล้วออกจากที่นี่ไป“เช่นนั้นก็ทำเลยสิ”คำพูดนั่นทำให้สตรีจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์โกรธมาก แต่นางไม่สามารถลงมือกับฉีเทียนหยวนได้หากเขาตาย นางคงไม่สามารถหาเพชฌฆาตที่น่าพอใจเช่นนี้ได้อีก...……ภายในจวนอ๋องเสวียนซูชิงอู่ที่ควรจะหลับแล้วเดินมาเปิดประตูหินที่ห้อง ๆ หนึ่งด้วยความเคยชินสถานที่แห่งนี้นางหาช่างฝีมือมาสร้างโดยเฉพาะ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ที่นางอาศัยและสามารถเข้ามาได้โดยเดินผ่านทางเดินยาว ๆก่อนหน้านี้นางตั้งครรภ์ เย่เสวียนถิงจึงห้ามไม่ให้นางมาตรวจดูที่นี่ แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว นางเลยเดินเข้าไปในประตูหินตามลำพังกลางดึกพร้อมโคมไฟด้านในมีกลิ่น ๆ หนึ่งที่ค่อนข้างไม่พึงประสงค์ฝีเท้าของนางส่งเสียงกระทบพื้นเบา ๆ ตะเกียงในมือของซูชิงอู่ทำให้นางมองเห็นได้ชัด
ซูชิงอู่สังเกตอาการของแม่กู่อย่างใกล้ชิด และรู้สึกโล่งใจหลังจากยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนางออกจากห้องลับที่ซ่อนอยู่นี้อีกครั้งและปิดกลไกประตูหินปกติแล้วมีการสั่งห้ามคนรับใช้ในจวนเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าหากมีคนที่ไม่กลัวตายและเสี่ยงชีวิตมาที่นี่ ก็ให้มาเป็นอาหารเลี้ยงหนอนกู่ได้ นางไม่รังเกียจ…หลังจากออกมาไม่ไกลนัก ซูชิงอู่ก็เห็นว่าเย่เสวียนถิงเดินมาหานางไม่ต้องถามเขาก็รู้ว่านางมาทำอะไรที่นี่ และด้วยเพราะเป็นห่วง เขาจึงมาที่นี่เพื่อปกป้องนาง“ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”ซูชิงอู่ส่ายหัว “ข้าจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ? ข้าเลี้ยงแมลงพวกนั้นมากับมือ มันไม่แว้งกัดข้าหรอก”เย่เสวียนถิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย หยิบโคมไฟออกจากมือของอีกฝ่ายแล้วจับมือนางเสียงอันอ่อนโยนของเขาที่เปล่งออกมาในยามค่ำคืนทำให้ฟังดูทุ้มลึกและน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น“ลูก ๆ หลับกันหมดแล้ว ข้าเพิ่งมาตรวจดูเมื่อครู่ ไม่ต้องห่วง”ซูชิงอู่พยักหน้าเบา ๆ พลางรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ค่ำคืนอันเงียบงันนั้นช่างแสนสงบ อีกทั้งอากาศยังชวนให้รู้สึกสดชื่น“เสวียนถิง”“หืม?”ซูชิงอู่จับมือของเขาไว้แน่นจนนิ้วของพวกเขาประสานกัน“รีบกล