ซูเฟยสับสนกับปริศนาที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสิ้นเชิง นางทำได้เพียงลดสายตาลงและดื่มชาโดยแสร้งทำเป็นว่านางไม่ได้ยินอะไรเลยหลังจากที่ซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงคุยกันเรื่องผู้บงการเบื้องหลังเสร็จแล้ว นางก็พูดอีกครั้ง "เสวียนถิง ตอนที่แม่อยู่กับเสด็จพ่อของเจ้า ได้ยินบางอย่างเกี่ยวกับแม่แท้ ๆ ของเจ้า เซี่ยโหวชิ่น"เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของเขาประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดจู่ ๆ ซูเฟยก็หยิบต่างหูออกจากแขนเสื้อของนางมันเป็นแบบที่สตรีทั่วไปสวมใส่ แต่มีไข่มุกสดใสห้อยอยู่ งดงามและกลมมน เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นของล้ำค่าไข่มุกมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือ เป็นของธรรมชาติแท้ซึ่งหายากที่มีรูปลักษณ์ดีเช่นนี้“นี่เป็นของที่ได้มาจากฝ่าบาท เป็นของต่างหน้าแม่เจ้า เจ้าเองก็รู้ฝ่าบาทประชวรและมักจะสับสน ทรงคิดว่าแม่เป็นมารดาของเจ้า ทรงพร่ำพูดหลายเรื่องและมอบสิ่งนี้ให้แม่”เย่เสวียนถิงยังคงใส่ใจเกี่ยวกับของต่างหน้ามารดาตนเขายืนขึ้นรับต่างหูไปถือไว้อย่างเบามือแม้ว่าจะเหลือต่างหูเพียงข้างเดียว แต่มันก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขา"ขอบพระทัยเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อซูเฟยได้ยินคำว่าเสด็จแม่ ซูเฟยก
ซูชิงอู่พยักหน้าเล็กน้อย "หม่อมฉันจะอยู่กับพระนางด้วย"คืนนั้นทั้งสองอยู่ในพระราชวัง แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเย่เสวียนถิงก็ออกจากวังไปขณะนี้กำลังระดมกำลังทหาร กำลังคนก็เป็นสิ่งจำเป็นในทุกที่ เย่เสวียนถิงมีหน้าที่รับผิดชอบในการระดมการจัดทัพและส่งกำลังพลซูชิงอู่เดินไปรอบ ๆ พระราชวังกับซูเฟยในยามเช้า จนกระทั่งถึงเที่ยงวัน ในที่สุดก็ได้พบกับชายาองค์รัชทายาท ฉีหว่านเอ๋อหญิงสาวร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิม และยิ่งอ่อนแอลงเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อไม่นานมานี้ เช่นนั้นเมื่อมาที่ตำหนักจิ้งอี๋ นางจึงพานางกำนัลมาด้วยหลายคนไปด้วยฉีหว่านเอ๋อร์ยอบกายคำนับต่อซูเฟยและซูชิงอู่อย่างอ่อนโยน "คารวะซูเฟยและชายาเสวียนแล้ว"ซูชิงอู่คำนับตอบ จากนั้นเดินไปช่วยพยุงนางให้นั่งลงในห้องช่วงนี้อากาศข้างนอกเริ่มร้อน ฝนไม่ตกมาหลายวันแล้ว ฤดูแล้งใกล้เข้ามา ในช่วงนี้ความร้อนทำให้ผู้คนรู้สึกกระวนกระวายใจฉีหว่านเอ๋อร์รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อนางเผชิญหน้ากับซูเฟยและซูชิงอู่ ทันทีที่นางนั่งลง ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า "ซูเฟยเรียกหาหม่อมฉันมา มีเรื่องอันใดหรือไม่เพคะ?"ซูเฟยยิ้มเบา ๆ ซึ่งทำให้ฉีหว่านเอ๋อร์รู้สึกผ่อนคลายมา
ซูชิงอู่เกือบจะง่วงนอนในตอนแรก แต่ตอนนี้นางก็ตาสว่างขึ้นมาทันทีต้องยอมรับเลยว่า ความสามารถในการเจรจาของซูเฟยนั้นชั้นยอดมันอ่อนโยนราวกับสายฝนพรำที่ตกลงมาโดยไม่รู้ตัว จนฉีหว่านเอ๋อร์ซึ่งมีนิสัยที่ค่อนข้างอ่อนโยนและขี้อายเปิดปากพูดโดยไม่รู้ตัวเมื่อฉีหว่านเอ๋อร์ได้ยินคำถามของนางและเห็นแววตาที่เป็นกังวลของซูเฟย นางรู้สึกว่าหากตนไม่พูดอะไรเลยก็จะดูเหมือนว่าอวดดีเกินไปและนอกเหนือจากเรื่องที่พี่ชายของนางกำชับไว้ว่าอย่าพูด นางคิดว่าการพูดถึงเรื่องที่คนอื่นก็รู้กันอยู่แล้วบ้างย่อมไม่ใช่ปัญหานางเงียบไปสักพัก ก่อนเรียบเรียงคำพูด แล้วเอ่ยว่า"เสด็จพ่อมีบุตรชายเก้าคนและบุตรีอีกแปดคนแม้ว่าอายุจะต่างกันมาก แต่ในปีที่ผ่านมาห้าคนในจำนวนทั้งหมดกลับสิ้นไปแล้ว...""อะไรนะ?"ซูเฟยตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้นางอาศัยอยู่ในวังหลังมาเป็นเวลานา และไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกมากนัก ไม่ต้องพูดถึงความลับในวังของแคว้นฉีตะวันออกเลยเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ สีหน้าของฉีหว่านเอ๋อร์ก็ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย ใบหน้าของนางซีดเซียวมาก“เพคะ พวกเขาทั้งหมดตายอย่างแปลกประหลาด ไม่มีเสียงไม่มีร่องรอย ตอนนี้พี่น้องคนอื่น ๆ ของห
ซูชิงอู่ยิ้ม "แล้วทุกคนสงสัยว่าเสด็จพี่ใหญ่ของเจ้าทำเรื่องนี้แน่ ๆ เหมือนกันใช่หรือไม่?"ฉีหว่านเอ๋อร์ตกตะลึงนางมีนิสัยผ่าเผย แต่ไม่ได้โง่เมื่อซูชิงอู่ถามคำถามนี้ นางก็คิดตามและรู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆเสด็จพี่ใหญ่มักจะถูกผู้คนระแวดระวังและสงสัยมาตลอด ทุกคนคิดว่าเขาคือผู้สังหารเหล่าโอรสธิดา โชคร้ายที่ไม่มีหลักฐานแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังลิดรอนอำนาจส่วนใหญ่ของเขาไป และกักบริเวณเขาไว้ในจวนซูชิงอู่ยิ้มและพูดว่า "ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเขาต้องการเป็นฮ่องเต้ คงยากพอ ๆ กับปีนขึ้นสวรรค์ เว้นเสียแต่เขาจะก่อกบฏ ไม่เช่นนั้นเสด็จพ่อของเจ้าคงไม่ให้โอกาสเขาแน่"รูม่านตาของฉีหว่านเอ๋อร์หดตัวลงทันทีความคิดที่สับสนก่อนหน้านี้ของนางก็พลันกระจ่างขึ้นทันที“พระชายาเสวียน ท่านจงใจยั่วยุให้ข้าพูดถึงเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”ซูชิงอู่และซูเฟยมองหน้ากันซูเฟยหัวเราะเบา ๆ และนั่งข้างนางแล้วพูดเบา ๆ "ข้าและชายาเสวียนไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่เป็นห่วงเจ้าเล็กน้อย เหตุผลที่ข้าถามสิ่งเหล่านี้ก็เพราะข้ามีข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับบางสิ่ง เช่นนั้นจึงต้องการยืนยันให้แน่ใจก็เท่านั้น”“พวกท่านสงสัยว่าเป็
ตอนนี้ฉีหว่านเอ๋อร์อาศัยอยู่ในตำหนักบูรพา แม้ว่าจะอยู่ห่างจากตำหนักจิ้งอี๋ไปบ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ไกลมากนักตราบใดที่ทั้งคู่ยังอยู่ในวังก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพบกันหลังจากที่นางกลับไป นางก็ส่งคนไปแจ้งเสด็จพี่ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงให้เข้าวังทันทีเมื่อนางเอ่ยปาก ฉีเทียนหยวนย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธก่อนที่ประตูพระราชวังจะปิด ฉีเทียนหยวนรีบไปหาน้องสาวของเขาโดยนำคนรับใช้ติดตามมาเพียงคนเดียวเมื่อก้าวเข้าไปในตำหนักบูรพา เขาเห็นว่าองค์รัชทายาทเย่ชิวหมิงยังไม่กลับมา และพบกับฉีหว่านเอ๋อร์ที่ศาลาในตำหนักภายใต้สายตาของเหล่าข้าราชบริพารหลายคนแม้ว่าทั้งสองจะเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน แต่ตอนนี้ฉีหว่านเอ๋อร์ได้กลายเป็นชายาองค์รัชทายาทไปแล้ว เช่นนั้นนางจึงต้องหลีกเลี่ยงคำครหาไปโดยปริยายเห็นได้ชัดว่าฉีเทียนหยวนอยากรู้มาก เขาเอ่ยถามขึ้นว่า"หว่านเอ๋อร์ เจ้าเรียกพี่มาที่นี่ มีเรื่องสำคัญอะไรหรือ?"ฉีหว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นและมองไปยังพี่ชายของนางที่กำลังยิ้มให้ด้วยความลังเลอยู่ในใจนางลดสายตาลง มีท่าทีเหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดดวงตาของฉีเทียนหยวนกะพริบเล็กน้อย เขายกยิ้มมุมปากขึ้นแล้วถามว่า "มี
เขากล่าวว่า "ที่ไหนกันเล่า ข้ามีความสุขมากที่ได้อยู่ในแคว้นหนานเย่ อีกทั้งยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่นไม่น้อยด้วย"เย่เสวียนถิงดึงเก้าอี้ให้ซูชิงอู่และนั่งกับนางที่โต๊ะหินในศาลา ตรงข้ามกับฉีหว่านเอ๋อร์และฉีเทียนหยวนส่วนบรรดานางกำนัลคนอื่น ๆ ทั้งหมดต่างถอยห่างออกไปค่อนข้างไกลเย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ร่างกายเต็มไปด้วยแรงกดดันอันน่าเกรงขาม เขาไม่คิดจะเสวนาพาทีกับฉีเทียนหยวน แต่กลับวางหลักฐานไว้ตรงหน้าเขาแทนมีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะจดหมายนี้ดูธรรมดาตั้งแต่ต้นจนจบ ดูไม่มีอะไรพิเศษเลยเพียงแต่ว่าประโยคหนึ่งที่เขียนไว้ในจดหมายนั้น ทำให้คนที่ได้อ่านตัวสั่นสะท้านวางยาพิษปลงพระชนม์ฮ่องเต้ฉีเทียนหยวนมีท่าทางงุนงง และเอนหลังลงบนเก้าอี้อย่างสบาย ๆ “ท่านอ๋องเสวียนหมายความว่าอย่างไร? จดหมายฉบับนี้มีอะไรที่แปลกหรือ?”เย่เสวียนถิงลดสายตาลงแล้วพูดว่า "ไม่มีอะไรแปลกหรอก"ฉีเทียนหยวนยิ่งสับสนมากขึ้น "เช่นนั้นท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไรถึงได้นำมันมา?"เย่เสวียนถิงจ้องเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วพูดว่า "แค่เอามาให้เจ้าดูก็เท่านั้น""พรืด!"ฉีเทียนหยวนอดไม่ได้ที่จะอดหัว
ฉีเทียนหยวนหัวเราะด้วยความโกรธ "แต่ท่านใส่ร้ายข้า จดหมายนี้ข้าไม่ได้เขียนเสียหน่อย!"เย่เสวียนถิงเลิกคิ้ว "ใครเห็นบ้างเล่า?"“นี่...น้องสาวข้า ชายาองค์รัชทายาทเห็นกับตานาง!”เย่เสวียนถิงหรี่ตาลงและมองไปที่ฉีหว่านเอ๋อร์ฉีหว่านเอ๋อร์ไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะพลิกผันเช่นนี้ นางกลืนน้ำลายและบังคับตัวเองให้พยักหน้าใช่ นางเห็นแล้ว พี่ชายของนางถูกใส่ความ นางไม่อาจโกหกเพื่อทำร้ายเขาได้น่าเสียดาย...“เจ้าบอกเองนี่ว่านางเป็นน้องสาวของเจ้า นางไม่อาจเป็นพยานให้เจ้าได้หรอก”ฉีเทียนหยวนอึ้งไป "..."เขาประมาทเกินไป จึงไม่ทันได้ระวังตัว!หากเขารู้ก่อน วันนี้เขาคงไม่เข้ามา!ราวกับว่าร่างกายของเขาไร้เรี่ยวแรง ฉีเทียนหยวนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าน่าเกลียด เขาเงยหน้าขึ้นและจ้องมองที่เย่เสวียนถิง ก่อนถามต่อ "ท่านต้องการอะไร?"เย่เสวียนถิงมองไปที่ซูชิงอู่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซูชิงอู่กะพริบตาให้เขา ทั้งสองสื่อสารกันอย่างเงียบ ๆ เข้าใจตรงกัน ซูชิงอู่ยิ้ม เสียงของนางใจดีและอ่อนโยนมากรวมเข้ากับใบหน้าชวนสะดุดตาของนาง และความโกรธในใจของฉีเทียนหยวนก็ลดลงเล็กน้อยท้ายที่สุด เขาก็ชอบของสวย ๆ งาม ๆ
เย่เสวียนถิงยืนขึ้นและกล่าวว่า "นั่นไม่จำเป็นหรอก สิ้นเปลืองกำลังคนเปล่า ๆ"มุมปากของฉีเทียนหยวนกระตุกเล็กน้อย รู้สึกว่าเขาถูกประเมินต่ำเกินไปเขานั่งบนเก้าอี้โดยไม่ขยับ เฝ้าดูซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงลุกขึ้นและจากไปไม่มีใครมาจับเขาหรือทำอะไรกับเขาแต่ยิ่งอีกฝ่ายประพฤติเช่นนี้ ฉีเทียนหยวนก็ยิ่งไม่กล้าแสดงอาการหุนหันพลันแล่นออกมาการเคลื่อนไหวลับ ๆ ของเขาในช่วงนี้ ไม่คิดว่าจะถูกจับได้เสียแล้วเขาจิบชาระงับความหงุดหงิด จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองฉีหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ตรงข้ามการแสดงออกของนางค่อนข้างซับซ้อน“ข้าขอโทษเสด็จพี่ หว่านเอ๋อร์ผิดเอง...”ฉีเทียนหยวนยกยิ้มมุมปาก ดวงตาอ่อนโยนลง เขายกมือขึ้นเพื่อลูบศีรษะของนาง "พอแล้ว ข้าจะกลับก่อน ไม่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว ฟ้ากำลังจะมืด อยู่ในวังย่อมไม่สะดวก”เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตำหนินาง ฉีหว่านเอ๋อร์ก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อนางคิดถึงสิ่งที่ซูชิงอู่พูดต่อหน้านาง หัวใจของนางก็หนักอึ้งพี่ชายของนาง อาจจะแตกต่างจากที่นางเคยคิดไว้จริง ๆ...นั่นคือผู้ที่ชักใยที่แท้จริงทันทีที่ฉีเทียนหยวนออกจากวังเขาก็กลับไปที่ตำหนักของตนทันทีหลังจากแน่ใจว่าไม่