“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีสละชีพเพื่อแคว้นหนานเย่และปกป้องชายแดนของแคว้นหนานเย่พ่ะย่ะค่ะ!”“ข้าเข้าใจเจ้า แต่ข้าตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้”มู่หรงฉางฉวนรู้สึกขนลุกไปชั่วขณะหนึ่งแม้เขาจะเตรียมใจไว้แล้วก่อนที่จะกลับมา แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินฮ่องเต้เฒ่าตรัสคำดังกล่าวด้วยสองหูของตัวเอง แววตาของเขาก็สั่นสะท้านโดยไม่สมัครใจ“ฝ่าบาท กระหม่อม...”“เจ้าจะไม่ให้หรือ?”ทันใดนั้นฮ่องเต้เฒ่าก็ตรัสถามกลับ น้ำเสียงของพระองค์เต็มไปด้วยแววอันตรายมู่หรงฉางฉวนสับสนและรีบโน้มตัวลงทำความเคารพทันที “ให้พ่ะย่ะค่ะ แต่เรื่องที่สำคัญคือตอนนี้ตราพยัคฆ์ไม่ได้อยู่ที่กระหม่อม โปรดขอเวลาให้กระหม่อม แล้วกระหม่อมจะนำตราพยัคฆ์มามอบให้ภายในสามวันอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เฒ่าทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “ได้ เช่นนั้นข้าจะให้เวลาเจ้าสามวัน”มู่หรงฉางฉวนโค้งคำนับทำความเคารพ “หากไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”“ไปเถิด”ฮ่องเต้เฒ่าทรงมีท่าทีร้อนรนมู่หรงฉางฉวนถอยกลับไปที่ประตูพระตำหนักจินหลวน จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป ในที่สุดความรู้สึกหดหู่อันรุนแรง
แน่นอนว่าเย่เสวียนถิงเข้าใจว่าซูชิงอู่หมายถึงอะไร ไม่นานมานี้นางได้เล่าทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง ในเมื่อนางรู้ นั่นหมายความว่านางต้องรู้เรื่องนี้มาจากชีวิตชาติก่อนเป็นความจริงอย่างแน่นอนและคำพูดของนางก็ทำให้คนฟังเข้าใจใจความสำคัญได้อย่างง่าย ๆ ทำให้พวกเขาสามารถเตรียมการล่วงหน้าได้แม้ข้อมูลนี้จะมีประโยชน์มาก แต่เย่เสวียนถิงก็ไม่อยากให้ซูชิงอู่จำชีวิตชาติก่อนได้เขารู้สึกเป็นทุกข์เสมอเมื่อได้ยินและเขายังรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องซูชิงอู่ได้อย่างเหมาะสมเย่เสวียนถิงรู้ดีว่าแม้อาอู่จะซ่อนอะไรหลายอย่างไว้และไม่บอกเขา แต่นางก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากมาย และเหตุผลของเรื่องทั้งหมดนี้คือ...เขาไม่มีกำลังมากพอ...เนื่องจากเขาไม่มีกำลังเขาจึงถูกฆ่าเนื่องจากเขาไม่แข็งแกร่งพอ เขาจึงไม่สามารถปกป้องนางได้สิ่งเหล่านั้นที่เขาทำได้ไม่ดีในชาติก่อนจะต้องทำอย่างระมัดระวังมากขึ้นในชาตินี้ และเขาจะไม่มีวันทำให้ตัวเองต้องเสียใจอีกครั้งเย่เสวียนถิงหลุบตาลง ดวงตาของเขาขรึมขึ้นเรื่อย ๆ และเขาพูดอย่างเคร่งเครียด “ไปส่งจดหมายถึงเจ้าเมืองให้ข้าหน่อย”องครักษ์ลำดับที่สิบเจ็ดตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากน
เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “มันดึกแล้ว ข้าจะผลัดผ้าให้พระชายาน่ะ”“???”ซูชิงอู่คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคเช่นนี้ แก้มของนางจึงกลายเป็นสีแดงทันทีแม้ซูชิงอู่จะรู้ว่าเย่เสวียนถิงจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่นางก็ไม่ต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องงานต่อไปแน่นอนว่านางเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ และนางก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะช่วยเขาบรรเทาความกดดันในใจนางรู้อยู่เสมอว่าเย่เสวียนถิงต้องการปกป้องนางกับลูก ๆ และทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างเกราะป้องกันสำหรับพวกเขาซูชิงอู่ใช้มือทั้งสองข้างกอดคอของเขาเอาไว้ แม้แก้มของนางจะแดงจนเหมือนเลือดจะหยด แต่นางก็รวบรวมความกล้าที่จะเงยหน้าและโต้ตอบอย่างกระตือรือร้น……ท้องฟ้ามืดมิดราวกับหมึกสีเข้ม ฮ่องเต้เฒ่าทรงประทับอยู่บนเตียงแล้วขณะนั้น ขันทีหนุ่มคนหนึ่งเดินก้มหน้าเข้ามาจากประตูแล้วพูดด้วยความเคารพไปทางด้านในว่า “ฝ่าบาท กุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้าพระองค์ นางกล่าวว่า...ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมากพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เฒ่าดูเหมือนจะได้ยินดังนั้นจึงหันไปเล็กน้อยพระเนตรของพระองค์ขุ่นมัวและฟุ้งซ่านเล็กน้อยหลังจากได้ยินการเคลื่อนไหว ทรงเลิกคิ้วเบา ๆ“เรื่องสำคัญอะไร? ให้นางเข้ามา”“พ่
แม้ในตอนแรกนางจะคิดว่าฮ่องเต้เฒ่ากำลังแสร้งทำ ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นเรื่องจริงฮ่องเต้เฒ่าคลุ้มคลั่งและขว้างกาน้ำชาใส่นาง ทำให้เจียวกุ้ยเฟยตกใจมากจนนางต้องรีบออกจากห้องไป หลังนางออกมาได้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพียงแต่เดินได้ไม่กี่ก้าว นางก็ตัวแข็งทื่อซูเฟยพร้อมนางกำนัลอาวุโสสองสามคนกำลังเดินไปที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน พร้อมกล่องอาหารในมือซูเฟยตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเจียวกุ้ยเฟยออกมาด้วยท่าทีรีบร้อนและเปื้อนไปด้วยคราบชา จึงเลิกคิ้วขึ้น“กุ้ยเฟย ดึกขนาดนี้แล้ว ท่านมาเยี่ยมฝ่าบาทหรือ?”เจียวกุ้ยเฟยรีบจัดเสื้อผ้าของตนและพยายามรักษาอริยาบถให้สง่าที่สุด "ทำไมหรือ น้องหญิงมาเยี่ยมฝ่าบาทได้ แล้วข้าทำไม่ได้หรือ?"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ซูเฟยก็หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่เห็นกุ้ยเฟยดูยุ่งเหยิงเพียงนี้ แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังเปียกโชก แปลว่าฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัย ท่านรู้ดีว่าช่วงนี้ฮ่องเต้ทรงประชวร กุ้ยเฟยอย่าทำให้พระวรกายยิ่งทรุดลงไปอีกเลย”เปลือกตาของเจียวกุ้ยเฟยกระตุก นางขี้เกียจเกินกว่าจะเสวนากับซูเฟยเช่นนั้นนางจึงยืดตัวตรงและเดินออกไปทันทีซูเฟยไม่ได้หยุดนาง
นางปรนนิบัติฮ่องเต้เฒ่าให้นอนหลับ สายตาเหลือบไปเห็นเศษกระเบื้องที่แตกอยู่บนพื้น ขณะนั้นมีขันทีน้อยเข้ามาทำความสะอาดพอดีเม็ดยารอบ ๆ ขวดเครื่องเคลือบถูกบดจนแหลก และขันทีน้อยได้กวาดขึ้นมาแล้ว ซูเฟยฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหยุดขันทีคนนั้นไว้ และก้มตัวใช้ผ้าเช็ดหน้ารวบรวมผงยาบางส่วนขึ้นมาขันทีน้อยสับสน "ซูเฟย..."ซูเฟยกล่าวว่า "ไม่เป็นไร ออกไปเถอะ""พ่ะย่ะค่ะ!"ขันทีน้อยออกจากห้อง และซูเฟยก็นำผ้าเช็ดหน้ากลับไปยังตำหนักของนางทันทีเย่เสวียนถิงและซูชิงอู่บังเอิญอยู่ในวังหลวงในคืนนี้พอดี นางจึงส่งคนไปตามให้พวกเขามาที่ตำหนักของนางหลังจากรับฟังเรื่องจากนางกำนัล ซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงก็มาถึงตำหนักจิ้งอี๋ของซูเฟยอย่างรวดเร็วที่นึ่เงียบและสงบเช่นเคย และไม่มีอะไรไรแตกต่างไปจากเมื่อก่อน ซูชิงอู่นั่งตรงข้ามกับซูเฟยและถามขึ้นเบา ๆ "ซูเฟยเรียกหม่อมฉันกับท่านอ๋องมาด้วยเหตุใดหรือเพคะ?"ซูเฟยไม่เสียเวลา วางผ้าเช็ดหน้าที่มีผงยาลงบนโต๊ะ "ชิงอู่ นี่เป็นยาชนิดใดหรือ? ข้าพบมันในห้องของฮ่องเต้ ก่อนหน้านั้นพระองค์ได้พบกับกุ้ยเฟยพอดี"เมื่อได้ยินเกี่ยวข้องกับกุ้ยเฟย ซูชิงอู่ก็ยกมือรับผ้าเช็ดหน้า
คำพูดของเย่เสวียนถิงทำให้ซูชิงอู่และซูเฟยอดไม่ได้ที่จะหันมามองเขาซูชิงอู่รู้ดีว่าเย่เสวียนถิงไม่เคยเป็นคนที่จะนั่งรอความตายอยู่เฉย ๆ ยิ่งกว่านั้น ช่องทางในการได้รับข่าวสารของเขายังมากกว่านางเสียอีกปกติแล้วนางจะใช้ความทรงจำจากชาติที่แล้วและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชาตินี้ในการวิเคราะห์ ส่วนเรื่อง อื่นๆ ก็ได้มาจากการสืบสวนขององครักษ์เงาสิบเจ็ดเช่นนั้น เย่เสวียนถิงจึงต้องรู้ความจริงเร็วกว่านางแน่นอนยังไม่ทันที่ซูชิงอู่จะถาม เย่เสวียนถิงก็ตอบคำถามของนางแล้วเขาเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา "เป็นองค์ชายสามจากแคว้นฉีตะวันออกน่ะ"ซูชิงอู่คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ นางเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจและมองไปที่เย่เสวียนถิง "ท่านหมายถึงฉีเทียนหยวนหรือ?"เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อยและอธิบายอย่างไม่รีบร้อนว่า "เขานั่นแหละ"ซูชิงอู่สงสัยว่า "เขาไม่ได้มาจากแคว้นหนานเย่แล้วเหตุใดเขาถึงเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ภายในของแคว้นหนานเย่เล่า ยิ่งกว่านั้นเขาควบคุมเจียวกุ้ยเฟยได้อย่างไร"นางเคยพบกับฉีเทียนหยวนมาก่อน และไม่ได้สนใจเขามากนักแต่การได้ยินเย่เสวียนถิงเอ่ยถึงชื่อของเขาในวันนี้ ทำให้นางรู้สึกกังวล
นอกจากนี้นี่คือคนที่นางสามารถเลือกได้ เช่นนั้นแน่นอนว่าฉีหว่านเอ๋อร์จะถูกใช้เป็นหมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ฉีเทียนหยวน...ไม่ใช่กระต่ายขาวตัวน้อย แต่เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เขาเป็นตัวการอยู่บื้องหลังทุกเรื่องเย่เสวียนถิงมองซูชิงอู่กำลังครุ่นคิด รู้ดีว่าหากเพียงบอกเป็นนัยเล็กน้อย ซูชิงอู่ก็จะเข้าใจทันทีนางฉลาดเพียงนี้ หากไม่สามารถคาดเดาเรื่องนี้ได้ ก็เพราะนางไม่รู้จักองค์ชายสามของแคว้นฉีตะวันออกดีพอ“ฉีเทียนหยวนมีเจตนาแอบแฝงถึงได้ส่งน้องสาวตนเองไปแต่งงานกับผู้ที่มีโอกาสสูงที่สุดในการได้เป็นรัชทายาท หาไม่เขาก็คงแต่งงานกับองค์หญิงเองเพื่อจุดประสงค์อื่น”ซูชิงอู่ทำจิตใจให้แจ่มใส และเชื่อมโยงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เข้าด้วยกันทันใดนั้นนางก็จำข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับองค์ชายแห่งแคว้นฉีตะวันออกได้สตรีหลายคนที่แต่งงานกับฉีเทียนหยวนล้วนเสียชีวิตไปหมด...หลังจากที่องค์หญิงสี่เย่หมิงเยว่ได้ยินข่าวลือนี้ จึงวางแผนให้คนส่งภาพวาดขององค์หญิงห้าไปให้ฉีเทียนหยวน เพื่อที่เขาจะได้อภิเษกกับองค์หญิงห้าไปองค์หญิงห้าไม่ต้องการแต่งงาน เช่นนั้นจึงขอให้นางหาวิธีช่วยให้อีกฝ่ายเลิกล้มความตั
ซูเฟยสับสนกับปริศนาที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสิ้นเชิง นางทำได้เพียงลดสายตาลงและดื่มชาโดยแสร้งทำเป็นว่านางไม่ได้ยินอะไรเลยหลังจากที่ซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงคุยกันเรื่องผู้บงการเบื้องหลังเสร็จแล้ว นางก็พูดอีกครั้ง "เสวียนถิง ตอนที่แม่อยู่กับเสด็จพ่อของเจ้า ได้ยินบางอย่างเกี่ยวกับแม่แท้ ๆ ของเจ้า เซี่ยโหวชิ่น"เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของเขาประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดจู่ ๆ ซูเฟยก็หยิบต่างหูออกจากแขนเสื้อของนางมันเป็นแบบที่สตรีทั่วไปสวมใส่ แต่มีไข่มุกสดใสห้อยอยู่ งดงามและกลมมน เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นของล้ำค่าไข่มุกมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือ เป็นของธรรมชาติแท้ซึ่งหายากที่มีรูปลักษณ์ดีเช่นนี้“นี่เป็นของที่ได้มาจากฝ่าบาท เป็นของต่างหน้าแม่เจ้า เจ้าเองก็รู้ฝ่าบาทประชวรและมักจะสับสน ทรงคิดว่าแม่เป็นมารดาของเจ้า ทรงพร่ำพูดหลายเรื่องและมอบสิ่งนี้ให้แม่”เย่เสวียนถิงยังคงใส่ใจเกี่ยวกับของต่างหน้ามารดาตนเขายืนขึ้นรับต่างหูไปถือไว้อย่างเบามือแม้ว่าจะเหลือต่างหูเพียงข้างเดียว แต่มันก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขา"ขอบพระทัยเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อซูเฟยได้ยินคำว่าเสด็จแม่ ซูเฟยก