ราชครูเกือบจะสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นสภาพของมหาราชครูมู่หรงตอนนี้มหาราชครูมู่หรงผ่ายผอมจนแทบจะไม่เหมือนคนเท้าของเขาสั่นขณะเดินโดยใช้ไม้เท้า และสีหน้าของเขาไม่สู้ดีอย่างมาก“ท่านราชครู ข้าใกล้จะทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าที่จวนมหาราชครูแห่งนี้มีปัญหาตรงไหน ทุกคนถึงได้เกิดอาการท้องร่วงทันทีที่มาถึงจวน สองวันนี้มานี้พวกคนรับใช้ก็ทยอยหนีกันไปหลายคนแล้ว…”เพราะราชครูซ่อนตัวอยู่ในห้องมืด เขาจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรหลังจากได้ยินมหาราชครูมู่หรงบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อยและพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “วิธีเดียวที่จะทำให้ดีขึ้นคือต้องออกจากจวนหรือ?”“ใช่…”ในช่วงหลายวันมานี้มหาราชครูมู่หรงใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัวราวกับถูกสาปเนื่องจากไม่พบสาเหตุและอาการท้องร่วงที่เป็นบ่อย ๆ ก็ยังไม่ได้ทำให้ใครเสียชีวิต มหาราชครูมู่หรงจึงไม่ได้กระจายข่าวใหญ่โตออกไปแต่จะปล่อยให้เป็นปัญหาต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ถือว่าเป็นโรค หากไม่รักษาให้ดีก็อาจทำให้คนตายได้เมื่อเห็นคนในจวนหนีกันไปถึงครึ่ง เหลือเพียงไม่กี่คนที่จำต้องอยู่เพราะถูกซื้อมาเป็น
มหาราชครูมู่หรงไม่เคยหวาดหวั่นถึงเพียงนี้มาก่อน แม้แต่ขาของเขาก็ยังอ่อนแรงเพราะความกลัวเย่เสวียนถิงหรี่ตาลง มองไปยังรถม้าที่มีทหารคุ้มกันเพียงไม่กี่คนพลางพูดอย่างเย็นชา “ท่านมหาราชครูมู่หรง ลงมาจากรถเถิด”มหาราชครูมู่หรงที่อยู่ข้างในแสร้งไอขึ้นมาทันที เสียงของเขาแหบแห้งและอ่อนแรง “ท่านอ๋องเสวียน กระหม่อมป่วยเป็นโรคประหลาดจึงจะให้คนพาไปรักษา นี่ท่านทรงทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมทำอะไรผิดหรือถึงได้มาตามจับกระหม่อมกันอย่างเอิกเกริกเช่นนี้?”คนที่ชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบมหาราชครูมู่หรงถามกลับเย่เสวียนถิงเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาไม่แม้แต่จะอธิบายและออกคำสั่งว่า “ไปคุมตัวมา”“พ่ะย่ะค่ะ!”กลุ่มคนที่นำโดยองครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดรีบเร่งไปข้างหน้าโดยแทบไม่ต้องคิดอะไรทหารอารักขาที่เหลือไม่กี่คนไม่มีทางต้านทาน จึงถูกผลักลงไปกับพื้น และมหาราชครูมู่หรงก็ถูกลากออกจากรถม้าด้วย“ท่านอ๋องเสวียนทรงคิดจะสังหารกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ ท่าน...โอ๊ย!”จู่ ๆ มหาราชครูมู่หรงก็ล้มหมดสติกะทันหันหลังจากที่เย่เสวียนถิงลงจากม้าก็จ้องมองใบหน้าของเหล่าทหารคุ้มกันและคนรับใช้เขารู้ว่าราชครูรู้วิธีปลอมตัว ซู่ช
ภายใต้ผิวหนังที่หลุดลอกออกมานั้น เผยให้เห็นใบหน้าชราของราชครูที่ดุร้ายและน่ากลัวดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตที่บิดเบี้ยว “อ๋องเสวียน รู้ตัวใช่ไหมว่าเจ้ากำลังต่อกรกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงร้อยปีมานี้ไม่มีแคว้นไหนที่ต่อกรกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมีจุดจบที่สวยงาม คอยดูเถอะ ภายภาคหน้าแคว้นเย่หนานจะต้องถูกทำลายย่อยยับด้วยมือของเจ้า!”เย่เสวียนถิงเตะเข้าที่หน้าอกของอีกฝ่ายจากนั้นเขาก็เหยียบราชครูอย่างถือตัวราชครูเฒ่าหายใจไม่ออกจนหน้าเริ่มแดง“เจ้าควรเสียใจที่ครั้งก่อนไม่ได้ตายคามือของข้า…”ดวงตาของราชครูเฒ่าฉายแววน่ากลัวทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมาบดขยี้บางสิ่งที่ไม่รู้จัก และควันก็ได้ปะทุขึ้นเหล่ากองทหารองครักษ์ที่เห็นเพียงภาพหลอนก็ปิดปากและจมูกทันทีแต่ถึงกระนั้น บางคนก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าลงและล้มลงกับพื้นด้วยความงุนงงเมื่อเห็นคนล้มอยู่ข้างหน้า คนข้างหลังก็รีบถอยออกไปเมื่อเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ ราชครูเฒ่าก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้า และขณะที่เขาจะขยับขาของเย่เสวียนถิงออกไปเพื่อยืนขึ้น...เขากลับขยับไม่ได้เย่เสวียนถิงยังคงเหยียบตัวเขา พลางทำสีหน้าไร้ความรู้สึกควันของเขาไม่ส่งปฏิ
ราชครูเฒ่าไม่รู้ว่าต่อไปตัวเองจะเจอกับอะไร ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเย่เสวียนถิงตอบตกลง เขาก็โล่งใจอย่างเงียบ ๆเพราะเขารู้ว่าอ๋องเสวียนรักษาคำพูดเสมอ และเมื่อใดที่เขาสัญญาก็จะทำตามนั้นอย่างแน่นอนราชครูเฒ่ายืนอยู่ในคุกใต้ดินที่มืดมน ถูกคนนำมามัดไว้กับชั้นวางด้านข้าง เขาเสียมือไปทั้งสองแล้ว บาดแผลนั่นทำให้เขาเจ็บปวดจนตัวสั่นไปหมด แต่เขาก็ยังบังคับตัวเองให้พูด“หากมีคำถามท่านก็ถามได้เลย กระหม่อมจะตอบเท่าที่รู้”เย่เสวียนถิงนั่งบนเก้าอี้ที่องครักษ์ลำดับที่สิบเจ็ดนำมาวางให้เขาพูดเนิบ ๆ “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน?”ราชครูเฒ่าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “กระหม่อมเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ จะรู้ความลับเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านไม่ลองไปสอบถามคนในวังที่รู้เรื่องอื้อฉาวดูล่ะพ่ะย่ะค่ะ ไม่แน่ว่าสิ่งที่กระหม่อมรู้อาจจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ…”เย่เสวียนถิงหลุบตาลง เขาไม่สงสัยในสิ่งที่ราชครูเฒ่าพูดภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้นมีความลึกลับมาโดยตลอด และราชวงศ์เกือบทุกแคว้นบริเวณรอบ ๆ ต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องแม้ดูเหมือนว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์จะไม่สนใจเรื่องของแคว้นต่าง ๆ และหมากที่คอยเป็นหูตาเหล่
“หึ”เย่เสวียนถิงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงอย่างเย็นชาเขาไม่เชื่อวาจาไร้สาระของราชครูเฒ่าหลายปีมานี้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ทำการฟื้นตัว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยื่นมือไปช่วยใคร ไม่มีทางที่จะทำเพื่อประโยชน์สุขและสันติของราษฎรอย่างแน่นอนการแทรกแซงเพื่อสับเปลี่ยนอำนาจราชวงศ์นั้นเป็นเพียงความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวก็เท่านั้นราชครูเฒ่ามองเย่เสวียนถิงแล้วหัวเราะออกมา รอยยิ้มนั้นดูประจบประแจงเล็กน้อย “หากท่านอ๋องเสวียนเองก็ต้องการนั่งบนบัลลังก์ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ขอเพียงในภายภาคหน้าท่านอ๋องทรงเชื่อฟังแผนการของทางภูเขาศักดิ์สิทธิ์…”ราชครูเฒ่าถูกเตะอย่างแรงองครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดพูดด้วยความโกรธ “พูดไร้สาระอะไร?”“แค่ก แค่ก แค่ก…”ราชครูเฒ่าอ้าปากค้าง แก้มของเขาแดงก่ำจากการระงับความเจ็บปวด เขากล่าวว่า “ตอนนั้นท่านอ๋องเสวียนยังเล็ก คงไม่ทราบถึงความร้ายกาจที่แท้จริงของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ในเวลานั้นฮ่องเต้เฒ่าเองก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อปลดพันธการจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?”เย่เสวียนถิงหรี่ตาลงไม่พูดอะไร เพียงแค่ฟังเงียบ ๆราชครูเฒ่าหัวเราะเยาะ “ศพกองพะเนินอยู่ในเมือง
เย่เสวียนถิงเข้าใจแล้วว่าเหล่าคนที่อยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็นหนูที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นดินและกลัวการเจอผู้คนดูเผิน ๆ เหมือนคนที่อยู่ระดับสูง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ทำได้แค่ซ่อนตัวอยู่ในรางน้ำ ทำเรื่องสกปรก และไม่เคยโผล่หน้าออกมาในอดีต ผู้คนหวาดกลัวภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพราะพวกเขาเชี่ยวชาญการใช้กู่ประเภทต่าง ๆ ที่ยากสำหรับผู้อื่นที่จะทำความเข้าใจ ทำให้ผู้คนป้องกันได้ยากแต่เมื่อกลายเป็นคนที่ใคร ๆ ต่างก็เกลียดชัง อีกทั้งผู้คนก็มีวิธีจัดการกับพิษของพวกเขาแล้ว เช่นนั้น...พวกเขาไม่เหลืออะไรแล้วแสงสีเข้มส่องผ่านดวงตาของเย่เสวียนถิง เขามองไปที่ราชครูเฒ่าแล้วยิ้ม “เจ้าวางใจได้ ข้าไล่จะจับหนูพวกนั้นและบดขยี้พวกมันทีละตัวให้ตายจนกว่าจะถึงตัวสุดท้าย…”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ราชครูเฒ่าก็ขนหัวลุกขณะที่เย่เสวียนถิงหันหลังกำลังจะออกจากคุกใต้ดิน องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดก็รีบถามขึ้น “ท่านอ๋องจะทรงปล่อยเขาไปหรือพ่ะย่ะค่ะ? ไม่ทรมานเขาต่อหรือ?”ราชครูเฒ่ารู้สึกมีความหวังเล็กน้อยทันใดนั้นเขาก็ได้ยินว่า “ข้าบอกว่าจะปล่อยเขา แต่พระชายาไม่ได้บอกเช่นนั้น ส่งตัวเขาไป…”“พ่ะย่ะค่ะ!”องครัก
ทันใดนั้นนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดราชครูเฒ่าถึงดีใจขนาดนั้นหลังจากที่เขาจับนางได้ในชาติก่อน ที่แท้ก็เป็นเพราะเขาจะได้เรียนรู้ทักษะการใช้กู่ระดับสูงจากนางและกลายเป็นคนระดับสูงในภูเขาศักดิ์สิทธิ์!วิธีการทั้งหมดที่เขาใช้ล้วนมาจากการสั่งสอนของสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้า“ทักษะการใช้กู่มีอะไรยาก? ข้าเรียนรู้ด้วยตัวเอง เจ้าจะลองดูก็ได้ว่าทักษะการใช้กู่ของข้าเป็นของจริงหรือไม่...”หนอนกู่เจาะเข้าไปในผิวหนังของราชครูเฒ่าจากนั้นเขาก็ส่งเสียงกรีดร้องราวกับไม่ใช่มนุษย์ออกมาซูชิงอู่กลัวว่าเขาจะเผลอกัดลิ้นตัวเอง นางจึงรีบยัดผ้าเข้าไปในปากของอีกฝ่ายคราวนี้นางรู้สึกสบายหูขึ้นมาก นางนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งพลางมองเขาอย่างเงียบ ๆ ด้วยดวงตาราบเรียบชาติก่อนนางถูกหนอนและสัตว์มีพิษเหล่านี้ทรมานมาสามปีเต็ม และมักจะได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของราชครูเฒ่าในชาตินี้ สิ่งต่าง ๆ กำลังเปลี่ยนแปลงไป ถึงคราวของนางที่จะได้ไล่ชำระแค้นทุกวันนี้เมื่อได้เห็นศัตรูพ่ายแพ้ไปทีละคน ซูชิงอู่ก็รู้สึกใจสงบเป็นอย่างมากไม่มีความสุขหลังจากการแก้แค้นหรือความยินดีปรีดาหลังจากได้ระบาย มีแต่ความผ่อนคลายเท่านั้นใช่แล้ว...เป็นคว
ซูชิงอู่ชะงักไปครู่หนึ่ง นางเดินออกจากห้องและกอดเอวของเย่เสวียนถิงทันที“ข้าไม่ควรขัดคำสั่งท่าน แอบเอาแมลงกู่ออกมา”เย่เสวียนถิงก็ไม่โกรธ เขารู้ว่าซูชิงอู่เป็นคนมีเหตุผล แต่นางได้สัญญากับเขาอย่างชัดเจนในครั้งที่แล้ว แต่คราวนี้นางยังคงใช้กู่เหล่านั้นกับราชครูเฒ่าเขารู้ว่าแมลงเหล่านั้นอันตรายมาก แม้แต่ผู้ใช้กู่ก็เสี่ยงที่จะถูกย้อนพิษซูชิงอู่กะพริบตารีบเปลี่ยนเรื่อง "ท่านอ๋อง ข้าหิวแล้ว"เย่เสวียนถิงขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ "เจ้าไปรอในห้อง"เมื่อเห็นท่านอ๋องหันหลังและเดินจากไป องครักษ์เงาสิบเจ็ดก็ไล่ตามเขาไปโดยไม่รู้ตัว“ท่านอ๋อง ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องการให้กระหม่อมทำอีกหรือไม่?”เย่เสวียนถิงส่ายหัว เดินต่อไปโดยไม่หยุด "ไม่มี"องครักษ์เงาสิบเจ็ดสับสนเล็กน้อย "ต้องการให้ข้าไปเรียกพ่อครัวเข้ามาหรือไม่?"เพราะตอนนี้ข้างนอกมืดมากแล้วคนรับใช้ทุกคนในคฤหาสน์เข้านอนแล้วหากต้องการทำขนม คงต้องใช้เวลาสักพักในการเรียกพ่อครัวมาเย่เสวียนถิงเหลือบมองไปด้านข้างเขา "เอาเป็นว่าเจ้าตามมาช่วยข้าหน่อย"องครักษ์เงาสิบเจ็ดตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีความกระตือรือร้นขึ้นมาทันท
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้