เย่เสวียนถิงก้าวออกไปเพื่อหยิบกล่องออกมา เปิดแล้วดูมัน หลังจากตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายแล้ว เขาก็ส่งมันให้ซูชิงอู่เมื่อซูชิงอู่เห็นการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติของชายคนนั้น หัวใจของนางก็อบอุ่นขึ้นเล็กน้อยและนางก็พูดกับคนที่ส่งของไป "ข้าได้รับแล้ว พวกท่านทุกคนควรกลับไปเสีย"“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”สมาชิกตระกูลเจียวล่าถอยเหลือเพียงกล่องเงินไว้ซูชิงอู่ไม่สนใจเงินมากนัก ดังนั้นนางจึงขอให้คนย้ายมันไปเก็บที่คลังสมบัติและเปิดกล่องทันทีนางไม่ได้หลีกเลี่ยงเย่เสวียนถิงจากการทำเช่นนี้เพราะมันไม่จำเป็น“นี่คือรายชื่อขุนนางของตระกูลมู่หรง”เย่เสวียนถิงเลิกคิ้วเล็กน้อยและเม้มริมฝีปากบางซูชิงอู่ยกมุมริมฝีปากของนางขึ้นขณะมองดูรายชื่อเหล่านั้น คิ้วและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ "มีสิ่งนี้ เราจะค่อย ๆ จัดการกับพวกเขาได้ในอนาคต"นี่เป็นงานใหญ่ยังไงเสียเมื่อเห็นยอดย่อมต้องเห็นราก อำนาจของตระกูลมู่หลงนั้นหยั่งรากลึกในแคว้นหนานเย่มานานแล้วพลังอันยิ่งใหญ่และซับซ้อนก่อตัวขึ้นแม้ว่าคนหนึ่งจะถูกฆ่าตาย คนต่อไปก็จะเข้ามารับช่วงต่อในไม่ช้า ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อตระกูลมู่หลงอันใหญ่โตเล
แต่แทนที่จะปล่อยให้สมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลมู่หรงเข้าควบคุมทั้งเมืองหน้าด่านตะวันตก จะเป็นการดีกว่าหากให้จ้าวหลี่ชิงเข้ามาดูแลก่อน แม้ทหารเหล่านั้นจะเป็นผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งพวกเขาก็ร่วมหัวจมท้ายมากับจ้าวหลี่ อย่างน้อยเขาก็คงไม่ปฏิบัติตัวแย่ ๆ กับผู้อื่นเมื่อถึงตอนที่เขาได้รับอำนาจทางทหารกลับคืนมา แม้จ้าวหลี่จะมีตระกูลมู่หรงอยู่คอยสนับสนุน ก็จะไม่สามารถช่วยชีวิตอันไร้ค่าของเขาได้!เมื่อเห็นว่าเย่เสวียนถิงกำลังคิดคำนวณ ซูชิงอู่ก็ค่อย ๆ สงบอารมณ์โกรธเกรี้ยวของตัวเองตอนนี้ในจิตใจนางเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะหั่นชายคนนั้นเป็นชิ้น ๆ และถลกหนังของเขาอย่างไรดีทว่าบุคคลนี้ยังคงประจำอยู่ที่ชายแดนและเป็นแม่ทัพ แม้นางจะเป็นพระชายา แต่นางไม่สามารถพูดคำสั่งประโยคเดียวเพื่อให้เขามาอยู่ตรงหน้านางได้ตอนนี้จึงทำได้เพียงปล่อยผ่านไปก่อนหลังจากที่ซูชิงอู่จัดการสิ่งของที่ตระกูลเจียวส่งมา นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้นางจึงพูดกับเย่เสวียนถิง “ท่านอ๋อง วันห้าค่ำพรุ่งนี้ ไทเฮาจะทรงพาเหล่าพระชายาและสนมทั้งหมดไปที่วัดเหลียงซานนอกเขตพระราชฐานเพื่อสวดมนต์อธิษฐานขอพร ข้าเองก็จะไปด้วยเช่นกัน”เย่เสวียนถิงขมวดค
เมื่อรถม้ามาถึงเชิงเขาวัดเหลียงซาน ซูชิงอู่ลงจากรถแล้วเงยหน้าขึ้น มองไปยังวัดพุทธที่มีชื่อเสียงแห่งนี้อย่างลึกซึ้งวัดเหลียงซานไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักสำหรับนางแม่ของนางสิ้นใจที่เชิงเขาวัดเหลียงซาน และนางที่ถูกหลิงซื่อลอบสังหารก็เกือบตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกโจรเหล่านั้นอวิ๋นซีกับอวิ๋นชิงหยิบถุงใบใหญ่และใบเล็กมาจากรถม้าแล้วเดินตามซูชิงอู่ไปสาวใช้ผู้น้อยสองคนรู้สึกสมองชาเมื่อเงยหน้ามองขั้นบันไดสองพันก้าวที่อยู่ไม่ไกล“พะ...พระชายา พวกเราต้องขึ้นไปหรือเพคะ?”ซูชิงอู่ยิ้ม “พวกเจ้าวางของไว้ตรงนี้ก็ได้ ไม่ต้องเอาขึ้นไปด้วยหรอก”อวิ๋นซีปฏิเสธทันที “จะได้อย่างไรล่ะเพคะ ในถุงพวกนี้ใช่สิ่งของทั่วไปหรือ? ก็ไม่ใช่! แต่เป็นความห่วงใยที่ท่านอ๋องทรงใส่มาอย่างเปี่ยมล้นต่างหากล่ะเพคะ!”ซูชิงอู่ “...”อวิ๋นชิงพูดอย่างเคร่งขรึม “หม่อมฉันจะแบกขึ้นไปเพคะ หม่อมฉันมีพละกำลังเหลือเฟือ!”ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นว่านางไม่สามารถโน้มน้าวสาวใช้ผู้น้อยสองคนที่มีความมุ่งมั่นได้ขณะที่นางกำลังตามไทเฮาและคนอื่น ๆ ขึ้นไป ร่างสีขาวเหมือนหิมะที่อยู่ตรงหน้านางก็ขวางทางนางไว้เมื่อซูชิงอู่เงยหน้าข
นางผลักสาวใช้รอบตัวที่เป็นห่วงนางออกไป “ข้าไม่เป็นอะไร พวกเจ้าถอยออกไปเถอะ” องค์หญิงสี่ไม่เคยถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้มาก่อนไม่ว่านางจะแสดงความมีน้ำใจมากเพียงใด อีกฝ่ายก็ยังคงไม่สะทกสะท้านทันใดนั้นเสียงหัวเราะขององค์หญิงห้าก็แว่วเข้ามาในหูของนาง ทำให้ใบหน้าขององค์หญิงสี่ซีดลงยิ่งองค์หญิงห้าเดินเข้ามาใกล้ รอยยิ้มของนางก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกหลอกด้วยหน้ากากปลอม ๆ นะ ดูท่าทางพระชายาเสวียนคงมองทะลุไปถึงจิตใจอันสกปรกของเจ้า!”สีหน้าขององค์หญิงสี่ไม่สู้ดี ซีดราวกับกระดาษ“เจ้า…”มุมปากของนางขยับ แต่คำพูดที่เหลือกลับถูกกลืนลงคอไป“ข้ารึ ข้าทำไม? ดูเหมือนทุกคนคงไม่ได้ตาบอดสินะ!”องค์หญิงสี่ที่ถูกชี้หน้าต่อว่าก็โมโหจนดวงตาแดงก่ำนางหลุบสายตาลงและพูดว่า “ข้าแค่อยากเป็นเพื่อนกับพระชายาเสวียน ไม่ได้มีสิ่งใดแอบแฝงเลย…”เมื่อเห็นท่าทางที่โศกเศร้าและน่าสงสารของนาง องค์หญิงห้าก็รู้สึกมวนท้องนางไม่เคยเห็นใครที่อวดดีไปกว่าเย่หมิงเยว่นางและเย่หมิงเยว่อายุเท่ากันและเติบโตมาด้วยกัน ในฐานะที่เป็นองค์หญิงอาวุโสสองคนในพระราชวัง ทว่าการปฏิบัติที่พวกนางได้รับน
เมื่อไทเฮาทรงได้ยินเช่นนั้น ก็ทรงเทยาหนึ่งเม็ดออกจากขวดแล้วกลืนลงไปโดยไม่ลังเลราชครูเฒ่าที่จ้องมองสีหน้าท่าทางของไทเฮาอย่างเงียบ ๆ ก็เห็นไทเฮาแสดงความประหลาดใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางตบหน้าอกของตัวเองแล้วตรัสว่า “ยาของราชครูนั้นช่างมหัศจรรย์จริง ๆ ข้ารู้สึกผ่อนคลายและมีเรี่ยวแรงมากมาย”ตามที่คาดไว้ ไทเฮาเคลื่อนตัวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ นำทุกคนไปที่ประตูวัดเหลียงซานพระภิกษุในนั้นยืนเข้าแถวรอต้อนรับอยู่นานไทเฮาทรงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก พลางทอดพระเนตรมองราชครูเฒ่าด้วยแววตาชื่นชม เห็นได้ชัดว่าเชื่อใจเขามากขึ้นซูชิงอู่มาถึงนานแล้ว แต่นางก็ไม่รีบร้อนที่จะเข้าไป ทว่านางกลับมองดูทุกย่างก้าวของราชครูเฒ่าเมื่อเห็นเขามอบขวดลายครามให้ไทเฮา ขณะที่มองดูพระองค์เสวยยา ซูชิงอู่ก็หรี่ตาลงดูเหมือนว่านี่จะเป็นยาที่ถูกต้องตามสรรพคุณที่อวดอ้างยาอมตะในตำนานยาประเภทนี้สามารถบีบศักยภาพทางกายภาพของมนุษย์และปรับปรุงสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้ในระยะเวลาอันสั้นแต่หากกินมากเกินไปอาจนำไปสู่การเสพติดและทำให้อายุขัยสั้นลงแล้วยาอายุวัฒนะเอย ยาอมตะเอย...โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตอย่างไรก็ตาม นา
หมดคำจะพูดจริง ๆ !อวิ๋นจื่อหรี่ตาลงและพูดด้วยความสงสาร “เจ้าอาวาสจิ้งซินจากไปนานกว่าสิบปี ตอนนี้มีคนในวัดเหลียงซานไม่กี่คนที่รู้จักเขา การค้นหาว่าเขาไปที่ไหนนั้นยากพอ ๆ กับการไปสวรรค์เลยเพคะ”ซูชิงอู่รวบผมของตัวเอง และทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่าง “ข้ากำลังคิดถึงคน ๆ หนึ่ง หากจะถามคนอื่น ก็ควรถามเขาโดยตรงจะดีกว่า”“เอ่อ ใครหรือเพคะ?”ซูชิงอู่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ก็เจ้าอาวาสไง”เพียงแต่เจ้าอาวาสอยู่กับไทเฮาจึงไม่ง่ายเลยที่จะไปพบเขาตามลำพังอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงผลัดกันยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูห้องโถงใหญ่ ใครก็ตามที่สังเกตเห็นว่าเจ้าอาวาสออกมาแล้วจะต้องมารายงานซูชิงอู่โดยเร็วที่สุดนี่เป็นจุดประสงค์ที่สองของซูชิงอู่ในการมาที่นี่ นางไม่ยอมที่จะจากไปมือเปล่าไม่ว่าจะเป็นการสืบสวนการตายของท่านแม่หรือการสังหารราชครู ล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญที่นางต้องการทำมากที่สุดซูชิงอู่เองก็ไม่ได้เกียจคร้าน นางเดินสำรวจวัดเพียงลำพังแม้จะมีพระหนุ่มคอยเฝ้าอยู่หลายแห่ง แต่เมื่อเห็นนางมาพวกเขาก็ไม่กล้าเอ่ยห้าม ทำได้เพียงหลีกทางให้นอกจากที่ห้องโถงหลักแล้ว โบสถ์อื่น ๆ กลับว่างเปล่า หรืออาจจะมีพระหนุ่มกำลังเ
เย่หมิงเยว่เดินนำขึ้นมาข้างหน้าแล้วพูดว่า “ท่านทั้งสอง ข้าจะเข้าไปกับพี่สะใภ้ด้วย ข้ารับรองว่าจะไม่แตะต้องสิ่งของใดข้างในเลย”นางมีใบหน้าที่อ่อนโยน และเมื่อนางแสดงสีหน้าขอร้อง นั่นทำให้จิตใจของอีกฝ่ายอ่อนลงไปด้วยเมื่อพระหนุ่มทั้งสองเห็นสีหน้าเช่นนั้น พวกเขาก็สะเทือนใจทันที “ถะ…ถ้าเช่นนั้นผู้บำเพ็ญหญิงทั้งสองก็ออกมาเร็ว ๆ หน่อยก็แล้วกัน”เย่หมิงเยว่ค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย “ท่านทั้งสองไม่ต้องกังวล แค่เข้าไปดูอะไร ๆ นิด ๆหน่อยเดี๋ยวก็ออกมา”หลังจากพูดจบ นางก็มาอยู่ข้าง ๆ ซูชิงอู่นางโบกมือให้คนอื่นไปรอห่าง ๆ นางตัดสินใจว่ามีเพียงนางและซูชิงอู่เท่านั้นที่จะเข้าไปซูชิงอู่ไม่ได้ปฏิเสธความเมตตาของนางในครั้งนี้ทั้งสองเข้าไปในกุฏิเจ้าอาวาสด้วยกันกุฏิมีขนาดใหญ่และกว้างขวางมากผนังด้านในตรงกลางสุดมีพระพุทธรูปสีทองวางอยู่พระพุทธรูปมีสีหน้าเมตตา ยกมือขึ้น และตามองไปข้างหน้าในห้องมีเครื่องเรือนน้อยมาก มีเพียงเบาะรองนั่งไม่กี่ผืนและโต๊ะไม้เนื้อแข็งที่มีกระถางธูปจุดอยู่ รวมไปถึงไม้มู่อวี๋และลูกประคำมีเตียงเรียบง่ายอยู่ไม่ไกลริมหน้าต่าง เมื่อมองไปจะเห็นเครื่องเรือนทั้งหมดในห
เย่หมิงเยว่ดูตกใจเมื่อได้ยินดังนั้นแต่กระนั้นนางก็พูดว่า “หากเป็นเรื่องจริงก็แย่มากเลย”ซูชิงอู่พยักหน้าอย่างจริงจัง “หากหม่อมฉันรู้ว่าคน ๆ นั้นคือใคร หม่อมฉันจะถลกหนังของมันแน่นอน แล้วจะหั่นมันออกเป็นแปดชิ้น สับนิ้วทีละนิ้วแล้วป้อนให้ตัวมันเองกินเข้าไป จะถอนฟันมันออกมาทีละซี่ ควักลูกตาออกทีละข้าง ทำให้มันกลายเป็นมนุษย์หมูแล้วใส่ไว้ในขวดโหล...”เย่หมิงเยว่ “...”น้ำเสียงของซูชิงอู่สงบ แต่ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แค่ฟังก็ทำให้ขนหัวลุกซู่นางไม่ได้ล้อเล่น นางจะทำมันจริง ๆเย่หมิงเยว่รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วมาก แต่สีหน้าของนางยังคงเหมือนเดิมและไม่กล้าแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา“ที่พี่สะใภ้พูดมาก็ดูโหดร้ายกับคนผู้นั้นเกินไปนะเจ้าคะ”เห็นได้ชัดว่าซูชิงอู่มีความสุขเล็กน้อย นางมองไปที่เย่หมิงเยว่และถามว่า “หากองค์หญิงสี่พบกับคนเช่นนั้น ท่านจะจัดการอย่างไรเพคะ?”“ข้า?”องค์หญิงสี่คาดไม่ถึงว่าซูชิงอู่จะถามนางอย่างตรงไปตรงมานางเงยหน้ามองพระพุทธรูปที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วลดเสียงลง “พี่สะใภ้ นี่เป็นวัดพุทธ คงไม่ดีสักเท่าไรหากจะพูดคุยเรื่องนี้กระมัง?”“ไม่ดี