เย่เสวียนถิงก้าวออกไปเพื่อหยิบกล่องออกมา เปิดแล้วดูมัน หลังจากตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายแล้ว เขาก็ส่งมันให้ซูชิงอู่เมื่อซูชิงอู่เห็นการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติของชายคนนั้น หัวใจของนางก็อบอุ่นขึ้นเล็กน้อยและนางก็พูดกับคนที่ส่งของไป "ข้าได้รับแล้ว พวกท่านทุกคนควรกลับไปเสีย"“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”สมาชิกตระกูลเจียวล่าถอยเหลือเพียงกล่องเงินไว้ซูชิงอู่ไม่สนใจเงินมากนัก ดังนั้นนางจึงขอให้คนย้ายมันไปเก็บที่คลังสมบัติและเปิดกล่องทันทีนางไม่ได้หลีกเลี่ยงเย่เสวียนถิงจากการทำเช่นนี้เพราะมันไม่จำเป็น“นี่คือรายชื่อขุนนางของตระกูลมู่หรง”เย่เสวียนถิงเลิกคิ้วเล็กน้อยและเม้มริมฝีปากบางซูชิงอู่ยกมุมริมฝีปากของนางขึ้นขณะมองดูรายชื่อเหล่านั้น คิ้วและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ "มีสิ่งนี้ เราจะค่อย ๆ จัดการกับพวกเขาได้ในอนาคต"นี่เป็นงานใหญ่ยังไงเสียเมื่อเห็นยอดย่อมต้องเห็นราก อำนาจของตระกูลมู่หลงนั้นหยั่งรากลึกในแคว้นหนานเย่มานานแล้วพลังอันยิ่งใหญ่และซับซ้อนก่อตัวขึ้นแม้ว่าคนหนึ่งจะถูกฆ่าตาย คนต่อไปก็จะเข้ามารับช่วงต่อในไม่ช้า ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อตระกูลมู่หลงอันใหญ่โตเล
แต่แทนที่จะปล่อยให้สมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลมู่หรงเข้าควบคุมทั้งเมืองหน้าด่านตะวันตก จะเป็นการดีกว่าหากให้จ้าวหลี่ชิงเข้ามาดูแลก่อน แม้ทหารเหล่านั้นจะเป็นผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งพวกเขาก็ร่วมหัวจมท้ายมากับจ้าวหลี่ อย่างน้อยเขาก็คงไม่ปฏิบัติตัวแย่ ๆ กับผู้อื่นเมื่อถึงตอนที่เขาได้รับอำนาจทางทหารกลับคืนมา แม้จ้าวหลี่จะมีตระกูลมู่หรงอยู่คอยสนับสนุน ก็จะไม่สามารถช่วยชีวิตอันไร้ค่าของเขาได้!เมื่อเห็นว่าเย่เสวียนถิงกำลังคิดคำนวณ ซูชิงอู่ก็ค่อย ๆ สงบอารมณ์โกรธเกรี้ยวของตัวเองตอนนี้ในจิตใจนางเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะหั่นชายคนนั้นเป็นชิ้น ๆ และถลกหนังของเขาอย่างไรดีทว่าบุคคลนี้ยังคงประจำอยู่ที่ชายแดนและเป็นแม่ทัพ แม้นางจะเป็นพระชายา แต่นางไม่สามารถพูดคำสั่งประโยคเดียวเพื่อให้เขามาอยู่ตรงหน้านางได้ตอนนี้จึงทำได้เพียงปล่อยผ่านไปก่อนหลังจากที่ซูชิงอู่จัดการสิ่งของที่ตระกูลเจียวส่งมา นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้นางจึงพูดกับเย่เสวียนถิง “ท่านอ๋อง วันห้าค่ำพรุ่งนี้ ไทเฮาจะทรงพาเหล่าพระชายาและสนมทั้งหมดไปที่วัดเหลียงซานนอกเขตพระราชฐานเพื่อสวดมนต์อธิษฐานขอพร ข้าเองก็จะไปด้วยเช่นกัน”เย่เสวียนถิงขมวดค
เมื่อรถม้ามาถึงเชิงเขาวัดเหลียงซาน ซูชิงอู่ลงจากรถแล้วเงยหน้าขึ้น มองไปยังวัดพุทธที่มีชื่อเสียงแห่งนี้อย่างลึกซึ้งวัดเหลียงซานไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักสำหรับนางแม่ของนางสิ้นใจที่เชิงเขาวัดเหลียงซาน และนางที่ถูกหลิงซื่อลอบสังหารก็เกือบตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกโจรเหล่านั้นอวิ๋นซีกับอวิ๋นชิงหยิบถุงใบใหญ่และใบเล็กมาจากรถม้าแล้วเดินตามซูชิงอู่ไปสาวใช้ผู้น้อยสองคนรู้สึกสมองชาเมื่อเงยหน้ามองขั้นบันไดสองพันก้าวที่อยู่ไม่ไกล“พะ...พระชายา พวกเราต้องขึ้นไปหรือเพคะ?”ซูชิงอู่ยิ้ม “พวกเจ้าวางของไว้ตรงนี้ก็ได้ ไม่ต้องเอาขึ้นไปด้วยหรอก”อวิ๋นซีปฏิเสธทันที “จะได้อย่างไรล่ะเพคะ ในถุงพวกนี้ใช่สิ่งของทั่วไปหรือ? ก็ไม่ใช่! แต่เป็นความห่วงใยที่ท่านอ๋องทรงใส่มาอย่างเปี่ยมล้นต่างหากล่ะเพคะ!”ซูชิงอู่ “...”อวิ๋นชิงพูดอย่างเคร่งขรึม “หม่อมฉันจะแบกขึ้นไปเพคะ หม่อมฉันมีพละกำลังเหลือเฟือ!”ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นว่านางไม่สามารถโน้มน้าวสาวใช้ผู้น้อยสองคนที่มีความมุ่งมั่นได้ขณะที่นางกำลังตามไทเฮาและคนอื่น ๆ ขึ้นไป ร่างสีขาวเหมือนหิมะที่อยู่ตรงหน้านางก็ขวางทางนางไว้เมื่อซูชิงอู่เงยหน้าข
นางผลักสาวใช้รอบตัวที่เป็นห่วงนางออกไป “ข้าไม่เป็นอะไร พวกเจ้าถอยออกไปเถอะ” องค์หญิงสี่ไม่เคยถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้มาก่อนไม่ว่านางจะแสดงความมีน้ำใจมากเพียงใด อีกฝ่ายก็ยังคงไม่สะทกสะท้านทันใดนั้นเสียงหัวเราะขององค์หญิงห้าก็แว่วเข้ามาในหูของนาง ทำให้ใบหน้าขององค์หญิงสี่ซีดลงยิ่งองค์หญิงห้าเดินเข้ามาใกล้ รอยยิ้มของนางก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกหลอกด้วยหน้ากากปลอม ๆ นะ ดูท่าทางพระชายาเสวียนคงมองทะลุไปถึงจิตใจอันสกปรกของเจ้า!”สีหน้าขององค์หญิงสี่ไม่สู้ดี ซีดราวกับกระดาษ“เจ้า…”มุมปากของนางขยับ แต่คำพูดที่เหลือกลับถูกกลืนลงคอไป“ข้ารึ ข้าทำไม? ดูเหมือนทุกคนคงไม่ได้ตาบอดสินะ!”องค์หญิงสี่ที่ถูกชี้หน้าต่อว่าก็โมโหจนดวงตาแดงก่ำนางหลุบสายตาลงและพูดว่า “ข้าแค่อยากเป็นเพื่อนกับพระชายาเสวียน ไม่ได้มีสิ่งใดแอบแฝงเลย…”เมื่อเห็นท่าทางที่โศกเศร้าและน่าสงสารของนาง องค์หญิงห้าก็รู้สึกมวนท้องนางไม่เคยเห็นใครที่อวดดีไปกว่าเย่หมิงเยว่นางและเย่หมิงเยว่อายุเท่ากันและเติบโตมาด้วยกัน ในฐานะที่เป็นองค์หญิงอาวุโสสองคนในพระราชวัง ทว่าการปฏิบัติที่พวกนางได้รับน
เมื่อไทเฮาทรงได้ยินเช่นนั้น ก็ทรงเทยาหนึ่งเม็ดออกจากขวดแล้วกลืนลงไปโดยไม่ลังเลราชครูเฒ่าที่จ้องมองสีหน้าท่าทางของไทเฮาอย่างเงียบ ๆ ก็เห็นไทเฮาแสดงความประหลาดใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางตบหน้าอกของตัวเองแล้วตรัสว่า “ยาของราชครูนั้นช่างมหัศจรรย์จริง ๆ ข้ารู้สึกผ่อนคลายและมีเรี่ยวแรงมากมาย”ตามที่คาดไว้ ไทเฮาเคลื่อนตัวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ นำทุกคนไปที่ประตูวัดเหลียงซานพระภิกษุในนั้นยืนเข้าแถวรอต้อนรับอยู่นานไทเฮาทรงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก พลางทอดพระเนตรมองราชครูเฒ่าด้วยแววตาชื่นชม เห็นได้ชัดว่าเชื่อใจเขามากขึ้นซูชิงอู่มาถึงนานแล้ว แต่นางก็ไม่รีบร้อนที่จะเข้าไป ทว่านางกลับมองดูทุกย่างก้าวของราชครูเฒ่าเมื่อเห็นเขามอบขวดลายครามให้ไทเฮา ขณะที่มองดูพระองค์เสวยยา ซูชิงอู่ก็หรี่ตาลงดูเหมือนว่านี่จะเป็นยาที่ถูกต้องตามสรรพคุณที่อวดอ้างยาอมตะในตำนานยาประเภทนี้สามารถบีบศักยภาพทางกายภาพของมนุษย์และปรับปรุงสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้ในระยะเวลาอันสั้นแต่หากกินมากเกินไปอาจนำไปสู่การเสพติดและทำให้อายุขัยสั้นลงแล้วยาอายุวัฒนะเอย ยาอมตะเอย...โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตอย่างไรก็ตาม นา
หมดคำจะพูดจริง ๆ !อวิ๋นจื่อหรี่ตาลงและพูดด้วยความสงสาร “เจ้าอาวาสจิ้งซินจากไปนานกว่าสิบปี ตอนนี้มีคนในวัดเหลียงซานไม่กี่คนที่รู้จักเขา การค้นหาว่าเขาไปที่ไหนนั้นยากพอ ๆ กับการไปสวรรค์เลยเพคะ”ซูชิงอู่รวบผมของตัวเอง และทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่าง “ข้ากำลังคิดถึงคน ๆ หนึ่ง หากจะถามคนอื่น ก็ควรถามเขาโดยตรงจะดีกว่า”“เอ่อ ใครหรือเพคะ?”ซูชิงอู่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ก็เจ้าอาวาสไง”เพียงแต่เจ้าอาวาสอยู่กับไทเฮาจึงไม่ง่ายเลยที่จะไปพบเขาตามลำพังอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงผลัดกันยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูห้องโถงใหญ่ ใครก็ตามที่สังเกตเห็นว่าเจ้าอาวาสออกมาแล้วจะต้องมารายงานซูชิงอู่โดยเร็วที่สุดนี่เป็นจุดประสงค์ที่สองของซูชิงอู่ในการมาที่นี่ นางไม่ยอมที่จะจากไปมือเปล่าไม่ว่าจะเป็นการสืบสวนการตายของท่านแม่หรือการสังหารราชครู ล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญที่นางต้องการทำมากที่สุดซูชิงอู่เองก็ไม่ได้เกียจคร้าน นางเดินสำรวจวัดเพียงลำพังแม้จะมีพระหนุ่มคอยเฝ้าอยู่หลายแห่ง แต่เมื่อเห็นนางมาพวกเขาก็ไม่กล้าเอ่ยห้าม ทำได้เพียงหลีกทางให้นอกจากที่ห้องโถงหลักแล้ว โบสถ์อื่น ๆ กลับว่างเปล่า หรืออาจจะมีพระหนุ่มกำลังเ
เย่หมิงเยว่เดินนำขึ้นมาข้างหน้าแล้วพูดว่า “ท่านทั้งสอง ข้าจะเข้าไปกับพี่สะใภ้ด้วย ข้ารับรองว่าจะไม่แตะต้องสิ่งของใดข้างในเลย”นางมีใบหน้าที่อ่อนโยน และเมื่อนางแสดงสีหน้าขอร้อง นั่นทำให้จิตใจของอีกฝ่ายอ่อนลงไปด้วยเมื่อพระหนุ่มทั้งสองเห็นสีหน้าเช่นนั้น พวกเขาก็สะเทือนใจทันที “ถะ…ถ้าเช่นนั้นผู้บำเพ็ญหญิงทั้งสองก็ออกมาเร็ว ๆ หน่อยก็แล้วกัน”เย่หมิงเยว่ค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย “ท่านทั้งสองไม่ต้องกังวล แค่เข้าไปดูอะไร ๆ นิด ๆหน่อยเดี๋ยวก็ออกมา”หลังจากพูดจบ นางก็มาอยู่ข้าง ๆ ซูชิงอู่นางโบกมือให้คนอื่นไปรอห่าง ๆ นางตัดสินใจว่ามีเพียงนางและซูชิงอู่เท่านั้นที่จะเข้าไปซูชิงอู่ไม่ได้ปฏิเสธความเมตตาของนางในครั้งนี้ทั้งสองเข้าไปในกุฏิเจ้าอาวาสด้วยกันกุฏิมีขนาดใหญ่และกว้างขวางมากผนังด้านในตรงกลางสุดมีพระพุทธรูปสีทองวางอยู่พระพุทธรูปมีสีหน้าเมตตา ยกมือขึ้น และตามองไปข้างหน้าในห้องมีเครื่องเรือนน้อยมาก มีเพียงเบาะรองนั่งไม่กี่ผืนและโต๊ะไม้เนื้อแข็งที่มีกระถางธูปจุดอยู่ รวมไปถึงไม้มู่อวี๋และลูกประคำมีเตียงเรียบง่ายอยู่ไม่ไกลริมหน้าต่าง เมื่อมองไปจะเห็นเครื่องเรือนทั้งหมดในห
เย่หมิงเยว่ดูตกใจเมื่อได้ยินดังนั้นแต่กระนั้นนางก็พูดว่า “หากเป็นเรื่องจริงก็แย่มากเลย”ซูชิงอู่พยักหน้าอย่างจริงจัง “หากหม่อมฉันรู้ว่าคน ๆ นั้นคือใคร หม่อมฉันจะถลกหนังของมันแน่นอน แล้วจะหั่นมันออกเป็นแปดชิ้น สับนิ้วทีละนิ้วแล้วป้อนให้ตัวมันเองกินเข้าไป จะถอนฟันมันออกมาทีละซี่ ควักลูกตาออกทีละข้าง ทำให้มันกลายเป็นมนุษย์หมูแล้วใส่ไว้ในขวดโหล...”เย่หมิงเยว่ “...”น้ำเสียงของซูชิงอู่สงบ แต่ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แค่ฟังก็ทำให้ขนหัวลุกซู่นางไม่ได้ล้อเล่น นางจะทำมันจริง ๆเย่หมิงเยว่รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วมาก แต่สีหน้าของนางยังคงเหมือนเดิมและไม่กล้าแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา“ที่พี่สะใภ้พูดมาก็ดูโหดร้ายกับคนผู้นั้นเกินไปนะเจ้าคะ”เห็นได้ชัดว่าซูชิงอู่มีความสุขเล็กน้อย นางมองไปที่เย่หมิงเยว่และถามว่า “หากองค์หญิงสี่พบกับคนเช่นนั้น ท่านจะจัดการอย่างไรเพคะ?”“ข้า?”องค์หญิงสี่คาดไม่ถึงว่าซูชิงอู่จะถามนางอย่างตรงไปตรงมานางเงยหน้ามองพระพุทธรูปที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วลดเสียงลง “พี่สะใภ้ นี่เป็นวัดพุทธ คงไม่ดีสักเท่าไรหากจะพูดคุยเรื่องนี้กระมัง?”“ไม่ดี
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้