เมื่อไทเฮาทรงได้ยินเช่นนั้น ก็ทรงเทยาหนึ่งเม็ดออกจากขวดแล้วกลืนลงไปโดยไม่ลังเลราชครูเฒ่าที่จ้องมองสีหน้าท่าทางของไทเฮาอย่างเงียบ ๆ ก็เห็นไทเฮาแสดงความประหลาดใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางตบหน้าอกของตัวเองแล้วตรัสว่า “ยาของราชครูนั้นช่างมหัศจรรย์จริง ๆ ข้ารู้สึกผ่อนคลายและมีเรี่ยวแรงมากมาย”ตามที่คาดไว้ ไทเฮาเคลื่อนตัวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ นำทุกคนไปที่ประตูวัดเหลียงซานพระภิกษุในนั้นยืนเข้าแถวรอต้อนรับอยู่นานไทเฮาทรงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก พลางทอดพระเนตรมองราชครูเฒ่าด้วยแววตาชื่นชม เห็นได้ชัดว่าเชื่อใจเขามากขึ้นซูชิงอู่มาถึงนานแล้ว แต่นางก็ไม่รีบร้อนที่จะเข้าไป ทว่านางกลับมองดูทุกย่างก้าวของราชครูเฒ่าเมื่อเห็นเขามอบขวดลายครามให้ไทเฮา ขณะที่มองดูพระองค์เสวยยา ซูชิงอู่ก็หรี่ตาลงดูเหมือนว่านี่จะเป็นยาที่ถูกต้องตามสรรพคุณที่อวดอ้างยาอมตะในตำนานยาประเภทนี้สามารถบีบศักยภาพทางกายภาพของมนุษย์และปรับปรุงสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้ในระยะเวลาอันสั้นแต่หากกินมากเกินไปอาจนำไปสู่การเสพติดและทำให้อายุขัยสั้นลงแล้วยาอายุวัฒนะเอย ยาอมตะเอย...โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตอย่างไรก็ตาม นา
หมดคำจะพูดจริง ๆ !อวิ๋นจื่อหรี่ตาลงและพูดด้วยความสงสาร “เจ้าอาวาสจิ้งซินจากไปนานกว่าสิบปี ตอนนี้มีคนในวัดเหลียงซานไม่กี่คนที่รู้จักเขา การค้นหาว่าเขาไปที่ไหนนั้นยากพอ ๆ กับการไปสวรรค์เลยเพคะ”ซูชิงอู่รวบผมของตัวเอง และทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่าง “ข้ากำลังคิดถึงคน ๆ หนึ่ง หากจะถามคนอื่น ก็ควรถามเขาโดยตรงจะดีกว่า”“เอ่อ ใครหรือเพคะ?”ซูชิงอู่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ก็เจ้าอาวาสไง”เพียงแต่เจ้าอาวาสอยู่กับไทเฮาจึงไม่ง่ายเลยที่จะไปพบเขาตามลำพังอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงผลัดกันยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูห้องโถงใหญ่ ใครก็ตามที่สังเกตเห็นว่าเจ้าอาวาสออกมาแล้วจะต้องมารายงานซูชิงอู่โดยเร็วที่สุดนี่เป็นจุดประสงค์ที่สองของซูชิงอู่ในการมาที่นี่ นางไม่ยอมที่จะจากไปมือเปล่าไม่ว่าจะเป็นการสืบสวนการตายของท่านแม่หรือการสังหารราชครู ล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญที่นางต้องการทำมากที่สุดซูชิงอู่เองก็ไม่ได้เกียจคร้าน นางเดินสำรวจวัดเพียงลำพังแม้จะมีพระหนุ่มคอยเฝ้าอยู่หลายแห่ง แต่เมื่อเห็นนางมาพวกเขาก็ไม่กล้าเอ่ยห้าม ทำได้เพียงหลีกทางให้นอกจากที่ห้องโถงหลักแล้ว โบสถ์อื่น ๆ กลับว่างเปล่า หรืออาจจะมีพระหนุ่มกำลังเ
เย่หมิงเยว่เดินนำขึ้นมาข้างหน้าแล้วพูดว่า “ท่านทั้งสอง ข้าจะเข้าไปกับพี่สะใภ้ด้วย ข้ารับรองว่าจะไม่แตะต้องสิ่งของใดข้างในเลย”นางมีใบหน้าที่อ่อนโยน และเมื่อนางแสดงสีหน้าขอร้อง นั่นทำให้จิตใจของอีกฝ่ายอ่อนลงไปด้วยเมื่อพระหนุ่มทั้งสองเห็นสีหน้าเช่นนั้น พวกเขาก็สะเทือนใจทันที “ถะ…ถ้าเช่นนั้นผู้บำเพ็ญหญิงทั้งสองก็ออกมาเร็ว ๆ หน่อยก็แล้วกัน”เย่หมิงเยว่ค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย “ท่านทั้งสองไม่ต้องกังวล แค่เข้าไปดูอะไร ๆ นิด ๆหน่อยเดี๋ยวก็ออกมา”หลังจากพูดจบ นางก็มาอยู่ข้าง ๆ ซูชิงอู่นางโบกมือให้คนอื่นไปรอห่าง ๆ นางตัดสินใจว่ามีเพียงนางและซูชิงอู่เท่านั้นที่จะเข้าไปซูชิงอู่ไม่ได้ปฏิเสธความเมตตาของนางในครั้งนี้ทั้งสองเข้าไปในกุฏิเจ้าอาวาสด้วยกันกุฏิมีขนาดใหญ่และกว้างขวางมากผนังด้านในตรงกลางสุดมีพระพุทธรูปสีทองวางอยู่พระพุทธรูปมีสีหน้าเมตตา ยกมือขึ้น และตามองไปข้างหน้าในห้องมีเครื่องเรือนน้อยมาก มีเพียงเบาะรองนั่งไม่กี่ผืนและโต๊ะไม้เนื้อแข็งที่มีกระถางธูปจุดอยู่ รวมไปถึงไม้มู่อวี๋และลูกประคำมีเตียงเรียบง่ายอยู่ไม่ไกลริมหน้าต่าง เมื่อมองไปจะเห็นเครื่องเรือนทั้งหมดในห
เย่หมิงเยว่ดูตกใจเมื่อได้ยินดังนั้นแต่กระนั้นนางก็พูดว่า “หากเป็นเรื่องจริงก็แย่มากเลย”ซูชิงอู่พยักหน้าอย่างจริงจัง “หากหม่อมฉันรู้ว่าคน ๆ นั้นคือใคร หม่อมฉันจะถลกหนังของมันแน่นอน แล้วจะหั่นมันออกเป็นแปดชิ้น สับนิ้วทีละนิ้วแล้วป้อนให้ตัวมันเองกินเข้าไป จะถอนฟันมันออกมาทีละซี่ ควักลูกตาออกทีละข้าง ทำให้มันกลายเป็นมนุษย์หมูแล้วใส่ไว้ในขวดโหล...”เย่หมิงเยว่ “...”น้ำเสียงของซูชิงอู่สงบ แต่ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แค่ฟังก็ทำให้ขนหัวลุกซู่นางไม่ได้ล้อเล่น นางจะทำมันจริง ๆเย่หมิงเยว่รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วมาก แต่สีหน้าของนางยังคงเหมือนเดิมและไม่กล้าแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา“ที่พี่สะใภ้พูดมาก็ดูโหดร้ายกับคนผู้นั้นเกินไปนะเจ้าคะ”เห็นได้ชัดว่าซูชิงอู่มีความสุขเล็กน้อย นางมองไปที่เย่หมิงเยว่และถามว่า “หากองค์หญิงสี่พบกับคนเช่นนั้น ท่านจะจัดการอย่างไรเพคะ?”“ข้า?”องค์หญิงสี่คาดไม่ถึงว่าซูชิงอู่จะถามนางอย่างตรงไปตรงมานางเงยหน้ามองพระพุทธรูปที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วลดเสียงลง “พี่สะใภ้ นี่เป็นวัดพุทธ คงไม่ดีสักเท่าไรหากจะพูดคุยเรื่องนี้กระมัง?”“ไม่ดี
มือของซูชิงอู่ยังคงปิดปากขององค์หญิงสี่ ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ข้อมือของเย่หมิงเยว่มีสร้อยข้อมือห้อยอยู่เมื่อครู่คือเสียงสร้อยข้อมือของนางชนกับพระพุทธรูปเย่หมิงเยว่ดูตื่นตระหนกและส่ายหัวอย่างสิ้นหวังไปที่ซูชิงอู่ พยายามบอกว่านางไม่ได้ตั้งใจนางเสียใจมากจนแม้แต่รอยคล้ำใต้ตาแทบจะกลายเป็นสีแดงซูชิงอู่รู้สึกถึงบางสิ่งในใจ นางเกือบจะได้ยินประเด็นสำคัญแล้วผลก็คือเนื่องจากเสียงที่เย่หมิงเยว่ทำ คนสองคนที่อยู่ข้างนอกจึงรู้สึกตัวสถานที่ที่เดิมทีไม่มีที่ซ่อน ขอเพียงอีกฝ่ายเดินมาตรงด้านหลังพระพุทธรูป พวกนางย่อมถูกจับได้อย่างแน่นอนจะซ่อนก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่พ้นเสียงฝีเท้าสองคู่เดินเข้ามาใกล้ ราชครูและพระเฒ่ายืนอยู่ขนาบข้างพระพุทธรูปพลางมองไปที่ซูชิงอู่อย่างระมัดระวังซูชิงอู่ปล่อยมือที่ปิดปากองค์หญิงสี่และโค้งคำนับให้ทั้งสองคน“ชิงอู่ทำความเคารพท่านราชครู และนมัสการท่านเจ้าอาวาสเจ้าค่ะ”ราชครูเฒ่าขมวดคิ้ว “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”ซูชิงอู่พูดทันที “วัดแห่งนี้กว้างใหญ่นัก เดินไปเดินมาก็มาถึงที่นี่ ใช่หรือไม่เพคะองค์หญิงสี่?”เย่หมิงเยว่ตอบอย่างรวดเร็ว “ใช่ พี่สะใภ้กับข้าไม่ได
เมื่อเย่หมิงเยว่ได้ยินคำตำหนิของราชครูเฒ่า นางก็เชิดคางขึ้นช้า ๆ โดยไม่มีการแสดงออกถึงความขี้ขลาดใด“ใครจะไปรู้ว่าจู่ ๆ ท่านราชครูจะมาที่นี่พร้อมกับท่านเจ้าอาวาส แม้ท่านจะอยู่ในถิ่นของตนเอง แต่ท่านก็ประมาทเกินไป”ราชครูเฒ่าที่ได้ยินดังนั้นก็พูดไม่ออกเขาวางใจกับสถานที่แห่งนี้เกินไปจริง ๆเขาคิดว่าหากมีคนคอยเฝ้าอยู่ก็คงไม่มีใครทะเล่อทะล่าเข้ามาแน่นอนว่านี่เป็นความผิดของเย่หมิงเยว่ด้วย หากนางไม่ได้เป็นคนพาเข้ามา ซูชิงอู่ก็คงไม่สามารถเข้ามาที่นี้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม“เอาล่ะ นางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว จะไปสร้างปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อนางไม่ได้ยินอะไรก็ไม่จำเป็นต้องจัดการต่อ ตอนกลางคืนก็คอยจับตาดูนางไว้ อย่าให้นางพูดอะไรไร้สาระออกมา ท่านเข้าใจหรือไม่?”เย่หมิงเยว่พยักหน้าเล็กน้อย “ข้าย่อมเชื่อฟังท่านราชครู เพราะท้ายที่สุดแล้ว ท่านก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลมู่หรงของข้า”ราชครูเหลือบมองนาง เห็นได้ชัดว่าพอใจกับความรู้และสติปัญญาของนางมาก “ตอนนี้ท่านและฮองเฮาได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ชนะก็ชนะด้วยกัน แพ้ก็ล่มจมทั้งคู่ ขอเพียงตระกูลมู่หรงได้ดีขึ้นมาและทำให้เย่
อวิ๋นซีเดินไปที่หน้าต่างและเห็นผู้คนมากมายอยู่ด้านนอก พระสงฆ์มากมายกำลังเดินวุ่นไปทั่วลานโดยแสร้งทำเป็นยุ่ง“พระชายา พระพวกนั้นที่อยู่ข้างนอกดูเหมือนกำลังเฝ้าดูพวกเราอยู่เพคะ”อวิ๋นชิงก็เห็นเช่นกัน “หม่อมฉันเห็นคนหลายคนแอบมองมาทางนี้ด้วยเพคะ”ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมส่งสายตาเย็นชา จู่ ๆ นางก็ลุกขึ้นเดินไปดูที่ประตู จากนั้นนางก็พูดกับอวิ๋นซีว่า “อวิ๋นซี เรียกพระหนุ่มที่มีรูปร่างพอ ๆ กันกับข้ามาทีสิ”“เพคะพระชายา”อวิ๋นซีสายตาดี นางเดินออกจากกุฏิไปโบกมือเรียกพระหนุ่มรูปหนึ่งเมื่อพระหนุ่มได้ยินดังนั้น เขาก็เดินตามนางผ่านประตูไปทันทีด้วยความกังวลใจม่านในห้องถูกดึงออกทันทีที่พระหนุ่มเข้าไป ภาพตรงหน้าของเขามืดลง แล้วเขาก็ล้มลงไปอย่างแผ่วเบาซูชิงอู่ดึงมือกลับ “พาเขาไปที่เตียง”อวิ๋นซีและอวิ๋นชิงช่วยกัน คนหนึ่งยกเท้าขึ้นและอีกคนหนึ่งยกศีรษะขึ้น พาตัวพระหนุ่มมาวางไว้บนเตียงแล้วห่มผ้าห่มให้เขาจากนั้นก็เห็นว่าซูชิงอู่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งแล้ว พลางเอื้อมมือไปหยิบถุงเล็ก ๆ ที่นางนำมาด้วยในนั้นมีอุปกรณ์ปลอมตัวต่าง ๆ มากมายอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงที่เคยเห็นขั้นตอนเหล่านั้นมาแล
ครึ่งชั่วยามผ่านไปในชั่วพริบตา ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงจนหมดแล้ว แสงเทียนสลัวส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ ทำให้สถานที่แห่งนี้สว่างราวกับตอนกลางวันอย่างไรก็ตามในขณะนี้ เปลวไฟที่ไหววูบไปมาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ทำให้ทั้งห้องโถงมีบรรยากาศแปลก ๆไทเฮาที่ยังทรงหลับตาอยู่ ทันใดนั้นก็ทรงสะดุ้งและลืมตาขึ้นมา“ว๊าย!”มีเสียงอุทานออกมาจากปากของนาง ทุกคนลืมตาขึ้นโดยอัตโนมัติและเห็นไทเฮาทรงเงยหน้ามองพระพุทธรูปตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าหวาดกลัวอย่างยิ่ง“ไทเฮาทรงเป็นอะไรไปเพคะ?”เจียวกุ้ยเฟยรีบเข้าไปประคองไทเฮา นางรู้สึกว่าพระวรกายของไทเฮากำลังสั่นสะท้าน เมื่อนางสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายก็พบว่าทรงมีใบหน้าซีดเพราะเกิดจากความกลัว“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดดวงตาของพระพุทธรูปถึงมีเลือดไหล!”ทุกคนตื่นตระหนกพระชายาและสนมบางคนกลัวมากจนไปซ่อนตัวอยู่ตามมุมเจ้าอาวาสท่องพระนามของพระพุทธองค์ แล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที เขายืนอยู่ต่อหน้าทุกคน ร่างกายที่ยืนตรงเหมือนหอคอยเหล็กของเขาทำให้ไทเฮาทรงรู้สึกปลอดภัย“ไทเฮา อาตมาเคยเห็นเหตุการณ์นี้มาก่อน คงเป็นเพราะการรุกรานของวิญญาณชั่ว พระพุทธองค์จึงทรงกรรแสงออก