ครึ่งชั่วยามผ่านไปในชั่วพริบตา ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงจนหมดแล้ว แสงเทียนสลัวส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ ทำให้สถานที่แห่งนี้สว่างราวกับตอนกลางวันอย่างไรก็ตามในขณะนี้ เปลวไฟที่ไหววูบไปมาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ทำให้ทั้งห้องโถงมีบรรยากาศแปลก ๆไทเฮาที่ยังทรงหลับตาอยู่ ทันใดนั้นก็ทรงสะดุ้งและลืมตาขึ้นมา“ว๊าย!”มีเสียงอุทานออกมาจากปากของนาง ทุกคนลืมตาขึ้นโดยอัตโนมัติและเห็นไทเฮาทรงเงยหน้ามองพระพุทธรูปตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าหวาดกลัวอย่างยิ่ง“ไทเฮาทรงเป็นอะไรไปเพคะ?”เจียวกุ้ยเฟยรีบเข้าไปประคองไทเฮา นางรู้สึกว่าพระวรกายของไทเฮากำลังสั่นสะท้าน เมื่อนางสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายก็พบว่าทรงมีใบหน้าซีดเพราะเกิดจากความกลัว“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดดวงตาของพระพุทธรูปถึงมีเลือดไหล!”ทุกคนตื่นตระหนกพระชายาและสนมบางคนกลัวมากจนไปซ่อนตัวอยู่ตามมุมเจ้าอาวาสท่องพระนามของพระพุทธองค์ แล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที เขายืนอยู่ต่อหน้าทุกคน ร่างกายที่ยืนตรงเหมือนหอคอยเหล็กของเขาทำให้ไทเฮาทรงรู้สึกปลอดภัย“ไทเฮา อาตมาเคยเห็นเหตุการณ์นี้มาก่อน คงเป็นเพราะการรุกรานของวิญญาณชั่ว พระพุทธองค์จึงทรงกรรแสงออก
ไทเฮามองเจ้าอาวาสเฒ่าแล้วตรัสว่า “ท่านเจ้าอาวาส โปรดคิดหาทางแก้ไขโดยเร็วเถิด ที่นี่คือวัดพุทธ เราจะยอมให้คนเช่นนี้มาสร้างมลทินให้กับดินแดนแห่งพุทธศาสนาได้อย่างไร!”“ไทเฮาไม่ต้องทรงกังวล กระหม่อมจะไม่เพิกเฉยต่อเรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรนางก็คือบุคคลผู้สูงศักดิ์ในวัง หากไม่มีพระองค์ กระหม่อมและคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าจัดการพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาทรงขมวดคิ้วพลางทอดพระเนตรมองไปที่ซูเฟยเส้นสีดำหนาแน่นบนคอของซูเฟยทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกหวาดกลัวไทเฮาตรัสด้วยใบหน้าซีดเซียว “เรื่องนั้นข้าจะทูลฝ่าบาทด้วยตัวเอง ตอนนี้ขอให้ท่านเจ้าอาวาสกำจัดพลังงานชั่วร้ายออกจากตัวซูเฟยก่อนเถิด หลังจากนั้นก็มัดนางไว้ แล้วค่อยจัดการทีหลังเมื่อกลับไปถึงพระราชวังแล้ว!”เจ้าอาวาสพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของซูเฟย“ใครก็ได้มาพาท่านผู้บำเพ็ญหญิงไปชำระล้างร่างกายทีซิ”พระหนุ่มหลายคนมาจากด้านข้างและล้อมรอบซูเฟยเอาไว้ทุกคนเฝ้าดูอย่างไม่แยแส เมื่อซูเฟยเห็นใครบางคนเอื้อมมือออกมา นางก็เริ่มขัดขืนทันที“อย่าเข้ามานะ ห้ามแตะต้องข้า!”แต่การต่อสู้ของนางไม่มีประโยชน์สำหรับพระสงฆ์เหล่านั้น ข้อมือของนางถ
“อาตมาจะปิดประตูให้ ไม่ต้องสนใจอะไร พวกท่านสองคนป้อนยาให้นางเถอะ ท่านเจ้าอาวาสให้สิ่งนี้มาเพื่อขจัดสิ่งสกปรก”“ขอรับศิษย์พี่”พระรูปหนึ่งปิดประตู และอีกรูปหนึ่งคว้าข้อมือของซูเฟย แล้วกดนางลงกับพื้นสีหน้าของซูเฟยเกรี้ยวกราด “พวกเจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับข้า ท่านอ่องเสวียนไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ คนที่ซูเฟยพอจะนึกถึงได้ก็คือเย่เสวียนถิงเขาคือคนเดียวที่นางสามารถพึ่งพาได้นางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งที่เติบโตมาอย่างเก็บเนื้อเก็บตัว แล้วนางจะยืนหยัดต่อสู้กับคนเลวทรามเหล่านี้ได้อย่างไรพระทั้งสองมีสีหน้าไร้อารมณ์ ทันทีที่ประตูปิดเสียงดังปัง พระที่ปิดประตูก็เดินกะโผลกกะเผลกและล้มลงกับพื้นพระจิตใจหยาบช้าที่จับข้อมือซูเฟยเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวและมองมา “เจ้าไปดูทีว่าศิษย์พี่เป็นอะไร?”ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยสีหน้าวิตกกังวล “อาตมาไม่รู้ ศิษย์พี่ล้มลงไปกะทันหัน เขาตายรึยังก็ไม่รู้ ท่านรีบมาดูทีสิ!”เขาเหลือบมองซูเฟย เมื่อเขาแน่ใจว่านางหนีไม่พ้นก็เดินไปที่ประตู เขายื่นมือไปอังดูลมหายใจของพระที่นอนอยู่บนพื้นชั่วครู่ต่อมาเขาก็ล้มลงกับพื้นเช่นก
พระสนมซูเฟยตกใจ “นี่คืออะไรกัน?”ซูชิงอู่บดยาในมือจนเป็นผงร่วงหล่นลงบนพื้น “หลังจากกินเข้าไป ใบหน้าของเสด็จแม่จะเป็นแผล แม้ให้หมอหลวงตรวจดูก็จะไม่เจอสาเหตุใดใด เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนก็จะพากันพูดว่าเสด็จแม่เสียโฉมเพราะผลกระทบจากการใช้คาถามนตราเพคะ”ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ซูเฟยก็เป็นสนมของฮ่องเต้ มีเพียงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเท่านั้นที่สามารถจัดการกับนางได้คนอื่นไม่กล้าทิ้งร่องรอยใดใดไว้บนร่างกายของนางเป็นแน่นั่นเป็นสาเหตุที่อีกฝ่ายใช้อุบายที่น่ารังเกียจเช่นนั้นแม้เมื่อถึงตอนนั้นนางจะเป็นผู้บริสุทธิ์และถูกกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรม ทว่าหากได้ทอดพระเนตรมองสตรีที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ ฮ่องเต้ก็คงไม่อยากที่จะแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดและลบล้างมลทินให้นางสตรีผู้เสียโฉมในพระราชวังนั้นคงกลายเป็นผู้ไร้ค่าไร้ราคา ไม่ว่าสถานะใดของนางก็คงไม่มีผลอีกต่อไปหลังจากที่ซูเฟยได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด พละกำลังทั้งหมดของนางดูเหมือนจะหมดลงนางนั่งบนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ สักพักแล้วพูดว่า “ชิงอู่ เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?”เมื่อเห็นซูเฟยสงบลง ใบหน้าของซูชิงอู่ที่ปลอมตัวเป็นพระหนุ่มก็ยิ้มขึ้นมาแม้จ
ต้องแสดงความจริงใจของตัวเองออกมา ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทำก่อนหน้านี้อาจไร้ประโยชน์เพียงแต่ไทเฮาทรงเชื่อไปแล้วอย่างไม่กังขาเลยว่าซูเฟยรู้คาถามนตรา นางจึงไม่สามารถขัดต่อพระประสงค์ของไทเฮาได้เจียวกุ้ยเฟยกลอกตาไปมาแล้วกระซิบกับไทเฮา “ไทเฮาเพคะ แม้คนในวัดเหลียงซานทั้งหมดจะเป็นพระสงฆ์ แต่ซูเฟยก็เป็นหนึ่งในสนมของฝ่าบาท คงไม่ดีที่จะขังนางไว้ตามลำพัง ให้หม่อมฉันส่งคนของหม่อมฉันไปเฝ้าจะดีกว่า พระองค์ทรงคิดว่าอย่างไรเพคะ?”ไทเฮาทรงขมวดคิ้ว “เช่นนั้นฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน”เจียวกุ้ยเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอกและสั่งให้คนของนางรีบไปทันทีนางสั่งเสียงเบา “อย่าปล่อยให้คนอื่นเข้าใกล้ซูเฟยตามอำเภอใจ"“เพคะกุ้ยเฟย”การทำเช่นนี้ทำให้นางสามารถปกป้องความปลอดภัยของซูเฟยทางอ้อมได้ หวังว่าหากซูชิงอู่รู้เรื่องนี้ นางคงไม่เข้าใจผิดว่าตนไม่ได้ออกแรงช่วยคราวนี้เจียวกุ้ยเฟยรู้สึกสบายใจแล้วจึงรับประทานอาหารร่วมกับทุกคนแต่ทันทีที่หยิบตะเกียบขึ้นมา ก็มีพระหนุ่มจากข้างนอกวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนกเจ้าอาวาสเฒ่าและราชครูที่เพิ่งหยิบชามข้าวก็เห็นพระหนุ่มเข้ามารายงานเสียงดังว่า “ท่านเจ้าอาวาส ในอาหารมีพิษขอรับ!
เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ทำได้อีกแล้วผู้คนที่วัดเหลียงซานระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และกระบวนการทดสอบพิษก่อนรับประทานอาหารถือเป็นสิ่งสำคัญกล่าวคือความเร็วในการออกฤทธิ์ของยาที่ซูชิงอู่จ่ายให้ในครั้งนี้นับว่าช้ามาก เพื่อที่นางจะได้ประสบความสำเร็จแต่ถึงกระนั้นก็มีภิกษุในวัดเพียงสองสามร้อยรูปเท่านั้นที่ได้รับการคัดเลือก ผู้ที่รับประทานอาหารช้าจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันทีเมื่อเห็นผู้คนมีอาการโชคดีที่ซูชิงอู่ตอบสนองอย่างรวดเร็วและดำเนินการเพื่อทำให้คนเหล่านั้นหมดสติทันทีที่พวกเขารู้ตัวขณะนี้ผู้คนมากกว่าเจ็ดในสิบส่วนในวัดเหลียงซานล้วนหมดสติไป และเหลือพระสงฆ์เพียงประมาณสามร้อยรูปเท่านั้นที่ต้องคอยดูแลสถานที่ทำให้ยังไม่รับประทานอาหารนางวางแผนที่จะหาวิธีจัดการกับคนกลุ่มนี้ก่อน จากนั้นจึงสังหารคนสองคนที่อยู่ตรงหน้านาง!หลังจากได้ยินรายงานของซูชิงอู่ เจ้าอาวาสเฒ่าก็เอ่ยปากทันที "ไร้สาระ ไปพาคนที่เหลือมาที่นี่ ฆาตกรจะต้องอยู่ในบรรดาคนกลุ่มนี้แน่!""ขอรับ!"ซูชิงอู่ไปทำตามคำสั่งทันทีนางได้บอกแก่ภิกษุรูปอื่น ๆ ที่ยังมีสติและไม่ได้กินดื่มอะไรมารวมตัวกันนอกจากพระนักรบเหล่านั้นแล้ว ภิกษุมากกว่าห
ชายคนนั้นมีรูปร่างผอมเพรียว สวมเสื้อคลุมสีดำสนิท และมีหน้ากากผีบิดบังใบหน้าซึ่งทำให้แม้เห็นเพียงแวบเดียว ก็ทำให้ผู้คนตัวสั่นได้ชายสวมหน้ากากผีนั้นดุร้ายและน่าสะพรึงกลัว ดูราวกับผีร้ายที่ผุดขึ้นจากนรก หยดเลือดยังคงหลั่งรินลงมาจากหน้ากาก ราวกับผีร้ายที่กัดกินมนุษย์ทันทีที่เห็นหน้ากากอย่างชัดเจน ดวงตาของราชครูเฒ่าก็เบิกกว้างขึ้น และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองสามก้าว“โหลวชา!”เมื่อเอ่ยถึงโหลวชาความรู้สึกแรกของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ย่อมคิดถึงความชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัวปฏิกิริยาที่สองคือ ความรู้สึกกลัวจนขนหัวลุก!แม้แต่เจ้าอาวาสเฒ่าก็ยังมีความกลัวปรากฏในดวงตาอันสุกใสของเขาทันใดเขาเงยหน้าขึ้นและมองไปยังฝั่งตรงข้าม "อมิตาพุทธ นี่คือวัดพุทธ จะก่อบาปหนักอย่างการฆ่าคนต่อหน้าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เมื่อถึงคราวตายเขาจะถูกโยนลงนรกขุมที่สิบแปดแน่!” โชคดีที่อีกฝ่ายมีเพียงคนเดียวทุกคนในวัดมองไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างจริงจัง พวกเขาพากันกลืนน้ำลายอย่างประหม่าพระนักรบในตอนนี้ยังมาไม่ถึง เดาว่าคงกำลังต่อกรกับกลุ่มโหลวชาอยู่ และไม่นานเหล่าพระนักรบจะต้องพ่ายแพ้การที่คนผุ้นี้สามารถฝ่าวงล้อมข
ซูชิงอู่ก้มศีรษะลงและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวเจ้าอาวาสเฒ่าก็เป็นพระนักรบมาก่อนเช่นกันและเขาก็เป็นปรมาจารย์ที่มีฝีมือสูงมากอีกด้วย ในขณะนี้ เขากำลังต่อสู้กับชายสวมหน้ากากผีอยู่แต่ปรากฏชัดว่าเจ้าอาวาสเฒ่าเป็นฝ่ายถูกชายสวมหน้ากากผีเล่นงานเสียอย่างนั้นเกรงว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เจ้าอาวาสเฒ่าคงทนไม่ไหวแล้วถอยกลับไปตอนนี้เจ้าอาวาสเฒ่ากำลังถ่วงเวลาอยู่ แม้ว่ากลุ่มคนของเขาจะไม่มาช่วยเหลือแต่ราชครูเฒ่าก็ไม่ตื่นตระหนกนัก เขาหยิบขวดออกมาจากอ้อมแขนของตนแล้วยื่นให้ซูชิงอู่ "โยนสิ่งนี้ใส่ชายสวมหน้ากากผีเสีย"ซูชิงอู่หยิบขวดดังกล่าวมาไว้ในมือมีสีหน้ากังวลและหวาดกลัวบนใบหน้าของนาง“อาตมาทำไม่ได้ เกิดขว้างไม่ดีขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?”เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ดูขลาดเขลาของนาง ใบหน้าของราชครูเฒ่าก็มืดลงทันที "ไปเถอะ บอกให้เจ้าไปก็ไปเสีย ไม่เช่นนั้นทั้งเจ้าและข้าจะต้องตายอยู่ที่นี่ทั้งคู่!"นอกจากนี้เขายังหยิบกริชออกมาจากแขนเสื้อของตนอีกด้วย สันคมของกริชเรืองแสงสีฟ้าจาง ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยพิษ“หากขวดยาไม่ได้ผลก็หาโอกาสใช้กริชนี้ทำร้ายชายสวมหน้ากากผีก็ได้ เจ้าอาวาสเฒ่าคอยยับยั้ง