เย่หมิงเยว่เดินนำขึ้นมาข้างหน้าแล้วพูดว่า “ท่านทั้งสอง ข้าจะเข้าไปกับพี่สะใภ้ด้วย ข้ารับรองว่าจะไม่แตะต้องสิ่งของใดข้างในเลย”นางมีใบหน้าที่อ่อนโยน และเมื่อนางแสดงสีหน้าขอร้อง นั่นทำให้จิตใจของอีกฝ่ายอ่อนลงไปด้วยเมื่อพระหนุ่มทั้งสองเห็นสีหน้าเช่นนั้น พวกเขาก็สะเทือนใจทันที “ถะ…ถ้าเช่นนั้นผู้บำเพ็ญหญิงทั้งสองก็ออกมาเร็ว ๆ หน่อยก็แล้วกัน”เย่หมิงเยว่ค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย “ท่านทั้งสองไม่ต้องกังวล แค่เข้าไปดูอะไร ๆ นิด ๆหน่อยเดี๋ยวก็ออกมา”หลังจากพูดจบ นางก็มาอยู่ข้าง ๆ ซูชิงอู่นางโบกมือให้คนอื่นไปรอห่าง ๆ นางตัดสินใจว่ามีเพียงนางและซูชิงอู่เท่านั้นที่จะเข้าไปซูชิงอู่ไม่ได้ปฏิเสธความเมตตาของนางในครั้งนี้ทั้งสองเข้าไปในกุฏิเจ้าอาวาสด้วยกันกุฏิมีขนาดใหญ่และกว้างขวางมากผนังด้านในตรงกลางสุดมีพระพุทธรูปสีทองวางอยู่พระพุทธรูปมีสีหน้าเมตตา ยกมือขึ้น และตามองไปข้างหน้าในห้องมีเครื่องเรือนน้อยมาก มีเพียงเบาะรองนั่งไม่กี่ผืนและโต๊ะไม้เนื้อแข็งที่มีกระถางธูปจุดอยู่ รวมไปถึงไม้มู่อวี๋และลูกประคำมีเตียงเรียบง่ายอยู่ไม่ไกลริมหน้าต่าง เมื่อมองไปจะเห็นเครื่องเรือนทั้งหมดในห
เย่หมิงเยว่ดูตกใจเมื่อได้ยินดังนั้นแต่กระนั้นนางก็พูดว่า “หากเป็นเรื่องจริงก็แย่มากเลย”ซูชิงอู่พยักหน้าอย่างจริงจัง “หากหม่อมฉันรู้ว่าคน ๆ นั้นคือใคร หม่อมฉันจะถลกหนังของมันแน่นอน แล้วจะหั่นมันออกเป็นแปดชิ้น สับนิ้วทีละนิ้วแล้วป้อนให้ตัวมันเองกินเข้าไป จะถอนฟันมันออกมาทีละซี่ ควักลูกตาออกทีละข้าง ทำให้มันกลายเป็นมนุษย์หมูแล้วใส่ไว้ในขวดโหล...”เย่หมิงเยว่ “...”น้ำเสียงของซูชิงอู่สงบ แต่ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แค่ฟังก็ทำให้ขนหัวลุกซู่นางไม่ได้ล้อเล่น นางจะทำมันจริง ๆเย่หมิงเยว่รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วมาก แต่สีหน้าของนางยังคงเหมือนเดิมและไม่กล้าแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา“ที่พี่สะใภ้พูดมาก็ดูโหดร้ายกับคนผู้นั้นเกินไปนะเจ้าคะ”เห็นได้ชัดว่าซูชิงอู่มีความสุขเล็กน้อย นางมองไปที่เย่หมิงเยว่และถามว่า “หากองค์หญิงสี่พบกับคนเช่นนั้น ท่านจะจัดการอย่างไรเพคะ?”“ข้า?”องค์หญิงสี่คาดไม่ถึงว่าซูชิงอู่จะถามนางอย่างตรงไปตรงมานางเงยหน้ามองพระพุทธรูปที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วลดเสียงลง “พี่สะใภ้ นี่เป็นวัดพุทธ คงไม่ดีสักเท่าไรหากจะพูดคุยเรื่องนี้กระมัง?”“ไม่ดี
มือของซูชิงอู่ยังคงปิดปากขององค์หญิงสี่ ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ข้อมือของเย่หมิงเยว่มีสร้อยข้อมือห้อยอยู่เมื่อครู่คือเสียงสร้อยข้อมือของนางชนกับพระพุทธรูปเย่หมิงเยว่ดูตื่นตระหนกและส่ายหัวอย่างสิ้นหวังไปที่ซูชิงอู่ พยายามบอกว่านางไม่ได้ตั้งใจนางเสียใจมากจนแม้แต่รอยคล้ำใต้ตาแทบจะกลายเป็นสีแดงซูชิงอู่รู้สึกถึงบางสิ่งในใจ นางเกือบจะได้ยินประเด็นสำคัญแล้วผลก็คือเนื่องจากเสียงที่เย่หมิงเยว่ทำ คนสองคนที่อยู่ข้างนอกจึงรู้สึกตัวสถานที่ที่เดิมทีไม่มีที่ซ่อน ขอเพียงอีกฝ่ายเดินมาตรงด้านหลังพระพุทธรูป พวกนางย่อมถูกจับได้อย่างแน่นอนจะซ่อนก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่พ้นเสียงฝีเท้าสองคู่เดินเข้ามาใกล้ ราชครูและพระเฒ่ายืนอยู่ขนาบข้างพระพุทธรูปพลางมองไปที่ซูชิงอู่อย่างระมัดระวังซูชิงอู่ปล่อยมือที่ปิดปากองค์หญิงสี่และโค้งคำนับให้ทั้งสองคน“ชิงอู่ทำความเคารพท่านราชครู และนมัสการท่านเจ้าอาวาสเจ้าค่ะ”ราชครูเฒ่าขมวดคิ้ว “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”ซูชิงอู่พูดทันที “วัดแห่งนี้กว้างใหญ่นัก เดินไปเดินมาก็มาถึงที่นี่ ใช่หรือไม่เพคะองค์หญิงสี่?”เย่หมิงเยว่ตอบอย่างรวดเร็ว “ใช่ พี่สะใภ้กับข้าไม่ได
เมื่อเย่หมิงเยว่ได้ยินคำตำหนิของราชครูเฒ่า นางก็เชิดคางขึ้นช้า ๆ โดยไม่มีการแสดงออกถึงความขี้ขลาดใด“ใครจะไปรู้ว่าจู่ ๆ ท่านราชครูจะมาที่นี่พร้อมกับท่านเจ้าอาวาส แม้ท่านจะอยู่ในถิ่นของตนเอง แต่ท่านก็ประมาทเกินไป”ราชครูเฒ่าที่ได้ยินดังนั้นก็พูดไม่ออกเขาวางใจกับสถานที่แห่งนี้เกินไปจริง ๆเขาคิดว่าหากมีคนคอยเฝ้าอยู่ก็คงไม่มีใครทะเล่อทะล่าเข้ามาแน่นอนว่านี่เป็นความผิดของเย่หมิงเยว่ด้วย หากนางไม่ได้เป็นคนพาเข้ามา ซูชิงอู่ก็คงไม่สามารถเข้ามาที่นี้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม“เอาล่ะ นางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว จะไปสร้างปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อนางไม่ได้ยินอะไรก็ไม่จำเป็นต้องจัดการต่อ ตอนกลางคืนก็คอยจับตาดูนางไว้ อย่าให้นางพูดอะไรไร้สาระออกมา ท่านเข้าใจหรือไม่?”เย่หมิงเยว่พยักหน้าเล็กน้อย “ข้าย่อมเชื่อฟังท่านราชครู เพราะท้ายที่สุดแล้ว ท่านก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลมู่หรงของข้า”ราชครูเหลือบมองนาง เห็นได้ชัดว่าพอใจกับความรู้และสติปัญญาของนางมาก “ตอนนี้ท่านและฮองเฮาได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ชนะก็ชนะด้วยกัน แพ้ก็ล่มจมทั้งคู่ ขอเพียงตระกูลมู่หรงได้ดีขึ้นมาและทำให้เย่
อวิ๋นซีเดินไปที่หน้าต่างและเห็นผู้คนมากมายอยู่ด้านนอก พระสงฆ์มากมายกำลังเดินวุ่นไปทั่วลานโดยแสร้งทำเป็นยุ่ง“พระชายา พระพวกนั้นที่อยู่ข้างนอกดูเหมือนกำลังเฝ้าดูพวกเราอยู่เพคะ”อวิ๋นชิงก็เห็นเช่นกัน “หม่อมฉันเห็นคนหลายคนแอบมองมาทางนี้ด้วยเพคะ”ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมส่งสายตาเย็นชา จู่ ๆ นางก็ลุกขึ้นเดินไปดูที่ประตู จากนั้นนางก็พูดกับอวิ๋นซีว่า “อวิ๋นซี เรียกพระหนุ่มที่มีรูปร่างพอ ๆ กันกับข้ามาทีสิ”“เพคะพระชายา”อวิ๋นซีสายตาดี นางเดินออกจากกุฏิไปโบกมือเรียกพระหนุ่มรูปหนึ่งเมื่อพระหนุ่มได้ยินดังนั้น เขาก็เดินตามนางผ่านประตูไปทันทีด้วยความกังวลใจม่านในห้องถูกดึงออกทันทีที่พระหนุ่มเข้าไป ภาพตรงหน้าของเขามืดลง แล้วเขาก็ล้มลงไปอย่างแผ่วเบาซูชิงอู่ดึงมือกลับ “พาเขาไปที่เตียง”อวิ๋นซีและอวิ๋นชิงช่วยกัน คนหนึ่งยกเท้าขึ้นและอีกคนหนึ่งยกศีรษะขึ้น พาตัวพระหนุ่มมาวางไว้บนเตียงแล้วห่มผ้าห่มให้เขาจากนั้นก็เห็นว่าซูชิงอู่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งแล้ว พลางเอื้อมมือไปหยิบถุงเล็ก ๆ ที่นางนำมาด้วยในนั้นมีอุปกรณ์ปลอมตัวต่าง ๆ มากมายอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงที่เคยเห็นขั้นตอนเหล่านั้นมาแล
ครึ่งชั่วยามผ่านไปในชั่วพริบตา ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงจนหมดแล้ว แสงเทียนสลัวส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ ทำให้สถานที่แห่งนี้สว่างราวกับตอนกลางวันอย่างไรก็ตามในขณะนี้ เปลวไฟที่ไหววูบไปมาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ทำให้ทั้งห้องโถงมีบรรยากาศแปลก ๆไทเฮาที่ยังทรงหลับตาอยู่ ทันใดนั้นก็ทรงสะดุ้งและลืมตาขึ้นมา“ว๊าย!”มีเสียงอุทานออกมาจากปากของนาง ทุกคนลืมตาขึ้นโดยอัตโนมัติและเห็นไทเฮาทรงเงยหน้ามองพระพุทธรูปตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าหวาดกลัวอย่างยิ่ง“ไทเฮาทรงเป็นอะไรไปเพคะ?”เจียวกุ้ยเฟยรีบเข้าไปประคองไทเฮา นางรู้สึกว่าพระวรกายของไทเฮากำลังสั่นสะท้าน เมื่อนางสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายก็พบว่าทรงมีใบหน้าซีดเพราะเกิดจากความกลัว“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดดวงตาของพระพุทธรูปถึงมีเลือดไหล!”ทุกคนตื่นตระหนกพระชายาและสนมบางคนกลัวมากจนไปซ่อนตัวอยู่ตามมุมเจ้าอาวาสท่องพระนามของพระพุทธองค์ แล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที เขายืนอยู่ต่อหน้าทุกคน ร่างกายที่ยืนตรงเหมือนหอคอยเหล็กของเขาทำให้ไทเฮาทรงรู้สึกปลอดภัย“ไทเฮา อาตมาเคยเห็นเหตุการณ์นี้มาก่อน คงเป็นเพราะการรุกรานของวิญญาณชั่ว พระพุทธองค์จึงทรงกรรแสงออก
ไทเฮามองเจ้าอาวาสเฒ่าแล้วตรัสว่า “ท่านเจ้าอาวาส โปรดคิดหาทางแก้ไขโดยเร็วเถิด ที่นี่คือวัดพุทธ เราจะยอมให้คนเช่นนี้มาสร้างมลทินให้กับดินแดนแห่งพุทธศาสนาได้อย่างไร!”“ไทเฮาไม่ต้องทรงกังวล กระหม่อมจะไม่เพิกเฉยต่อเรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรนางก็คือบุคคลผู้สูงศักดิ์ในวัง หากไม่มีพระองค์ กระหม่อมและคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าจัดการพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาทรงขมวดคิ้วพลางทอดพระเนตรมองไปที่ซูเฟยเส้นสีดำหนาแน่นบนคอของซูเฟยทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกหวาดกลัวไทเฮาตรัสด้วยใบหน้าซีดเซียว “เรื่องนั้นข้าจะทูลฝ่าบาทด้วยตัวเอง ตอนนี้ขอให้ท่านเจ้าอาวาสกำจัดพลังงานชั่วร้ายออกจากตัวซูเฟยก่อนเถิด หลังจากนั้นก็มัดนางไว้ แล้วค่อยจัดการทีหลังเมื่อกลับไปถึงพระราชวังแล้ว!”เจ้าอาวาสพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของซูเฟย“ใครก็ได้มาพาท่านผู้บำเพ็ญหญิงไปชำระล้างร่างกายทีซิ”พระหนุ่มหลายคนมาจากด้านข้างและล้อมรอบซูเฟยเอาไว้ทุกคนเฝ้าดูอย่างไม่แยแส เมื่อซูเฟยเห็นใครบางคนเอื้อมมือออกมา นางก็เริ่มขัดขืนทันที“อย่าเข้ามานะ ห้ามแตะต้องข้า!”แต่การต่อสู้ของนางไม่มีประโยชน์สำหรับพระสงฆ์เหล่านั้น ข้อมือของนางถ
“อาตมาจะปิดประตูให้ ไม่ต้องสนใจอะไร พวกท่านสองคนป้อนยาให้นางเถอะ ท่านเจ้าอาวาสให้สิ่งนี้มาเพื่อขจัดสิ่งสกปรก”“ขอรับศิษย์พี่”พระรูปหนึ่งปิดประตู และอีกรูปหนึ่งคว้าข้อมือของซูเฟย แล้วกดนางลงกับพื้นสีหน้าของซูเฟยเกรี้ยวกราด “พวกเจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับข้า ท่านอ่องเสวียนไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ คนที่ซูเฟยพอจะนึกถึงได้ก็คือเย่เสวียนถิงเขาคือคนเดียวที่นางสามารถพึ่งพาได้นางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งที่เติบโตมาอย่างเก็บเนื้อเก็บตัว แล้วนางจะยืนหยัดต่อสู้กับคนเลวทรามเหล่านี้ได้อย่างไรพระทั้งสองมีสีหน้าไร้อารมณ์ ทันทีที่ประตูปิดเสียงดังปัง พระที่ปิดประตูก็เดินกะโผลกกะเผลกและล้มลงกับพื้นพระจิตใจหยาบช้าที่จับข้อมือซูเฟยเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวและมองมา “เจ้าไปดูทีว่าศิษย์พี่เป็นอะไร?”ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยสีหน้าวิตกกังวล “อาตมาไม่รู้ ศิษย์พี่ล้มลงไปกะทันหัน เขาตายรึยังก็ไม่รู้ ท่านรีบมาดูทีสิ!”เขาเหลือบมองซูเฟย เมื่อเขาแน่ใจว่านางหนีไม่พ้นก็เดินไปที่ประตู เขายื่นมือไปอังดูลมหายใจของพระที่นอนอยู่บนพื้นชั่วครู่ต่อมาเขาก็ล้มลงกับพื้นเช่นก