เสียงนั่นฟังดูบีบเหมือนกับผ่านการปลอมแปลงมามู่หรงฉางอันเงยหน้าขึ้นและมองไปยังห้องส่วนตัวหมายเลขหนึ่ง ดวงตาของเขาก็หรี่ลงทันทีเขาได้สอบถามเกี่ยวกับแขกในห้องหมายเลขหนึ่ง และได้ยินมาว่าเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติของเจ้าของหอมหาสมบัติและสถานะของเขาก็พิเศษอย่างยิ่งแม้ว่ามู่หลงฉางอันจะเป็นหนุ่มสุรุ่ยสุร่ายและเจ้าสำราญ แต่เขาก็ไม่โง่ เขารู้ว่าควรยุ่งกับใครและไม่อาจยุ่งกับใครได้เขากัดฟันแล้วโยนถ้วยชาลงพื้นด้วยความโกรธ "ช่างมันเถอะ"ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่สามารถนำเงินออกมาหนึ่งแสนตำลึงเงินเลย หากบิดาของเขารู้เช่นนั้นแล้วจะต้องหักขาของเขาอย่างแน่นอน แม้ว่านี่จะน่าอายสักหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็แพ้ให้กับคนระดับเดียวกับเขา เช่นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นและมองไปยังห้องที่บุรุษผู้นั้นส่งเสียงออกมา ในที่สุดนางก็เอนตัวบนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียง หากไม่มีเงินพอนางก็ไม่อาจซื้อสิ่งนั้นได้ หนวดเคราบนใบหน้าของชายชราแทบจะปลิวไสวด้วยความดีใจ และเสียงกลองสามเสียงก็ดังก้องไปทั่วพื้นที่อันเงียบสงบของหอมหาสมบัติ "เม็ดบัวหิมะ หนึ่งแสนตำลึงเงิน ตกลงขาย!"ซูชิงอู
ซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในวันนั้นในชีวิตครั้งก่อนของนางที่สุดแล้วชุดเกราะเทียนหลินก็ตกอยู่ในมือของนางน้อยมู่หรงนี่จึงเป็นเหตุผลที่นางจำใบหน้าของเขาได้หากพวกเขาทั้งสองไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกันมาก่อน นอกเหนือจากความแค้นเก่าระหว่างตระกูลของพวกเขาแล้ว ตอนนี้มู่หรงฉางอันก็ได้ทำให้นางขุ่นเคืองอย่างมากจากเม็ดบัวหิมะ เหตุผลที่ซูชิงอู่ไม่ต่อสู้เพื่อเม็ดบัวหิมะต่อไปก็เพราะแม้แต่มู่หรงฉางอันยังกลัวบุรุษลึกลับผู้นั้นนั้น เช่นนั้นแล้วนางก็ไม่อาจทำให้เขาขุ่นเคืองได้เช่นกันทว่าครั้งนี้หากนางยอมให้มู่หรงฉางอันแย่งเกราะเทียนหลินไปในราคาหนึ่งแสนตำลึงเงิน…ฝันไปเถอะ!เนื่องจากคำพูดของมู่หลงฉางอัน ทุกคนด้านล่างจึงเงียบลงทันทีไม่มีใครกล้าทำให้บุตรชายของราชครูแคว้นหนานเย่ต้องขุ่นเคืองใจควรรู้เอาไว้ว่าในตระกูลมู่หรง นอกจากมู่หลงฉางอันบุรุษจอมสำราญผู้นี้แล้ว เขายังมีพี่ชายและน้องสาวอีกด้วยพี่ชายของเขาเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุน้อยอีกทั้งยังเป็นนายพลหนุ่มที่มีอำนาจทางทหารและน้องสาวของเขายังได้อภิเษกกับเจ้าชายองค์หนึ่ง เช่นนั้นแล้วนางจะมีฐานะเป็นพระชายาอีกด้วย!ยิ่งไปกว่านั้นฮองเฮายังมีศ
"ขอรับ!" แม้ว่าสิ่งต่างๆ จะไม่ราบรื่น แต่มู่หรงฉางอันก็ไม่รู้สึกอะไรมากนัก แม้ว่าชุดเกราะเทียนหลินจะมีราคาแพงกว่าเล็กน้อย แต่เมื่อได้มาครอบครองแล้วตนก็จะมีทั้งศักดิ์ศรีและความน่าเกรงขาม แม้ว่าเขาจะบอกท่านพ่อของเขา แต่ท่านพ่อก็จะไม่ตำหนิตนที่ใช้เงินมากเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นั้นมีเงินติดตัวมากมาย และไม่นานมานี้นางยังซื้อภาพวาดชื่อดังด้วยซ้ำ... สิ่งนี้จะต้องสามารถชดเชยความสูญเสียของเขาได้เป็นแน่ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ห้าแสนตำลึงเงิน” เสียงแหบแห้งและสงบ ไม่มีอารมณ์ใดออกมาจากน้ำเสียงของเขา ทว่าตัวเลขที่ถูกกล่าวขึ้นมานั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ทันใดนั้นมู่หรงฉางอันก็หันหน้าไปมองห้องส่วนตัวหมายเลขหนึ่ง เงินสามแสนห้าหมื่นตำลึงนั้นมากไปสำหรับเขาผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของมหาราชครูและหลานชายของฮองเฮา แต่ผลก็คือชายคนนี้ประมูลด้วยเงินห้าแสนตำลึง!เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน? แม้แต่องค์ชายในเมืองหลวงก่อนที่พวกเขาจะมีอำนาจที่แท้จริงก็ยังไม่สามารถหาเงินได้มากขนาดนี้ เว้นแต่ว่าขุนนางเหล่านั้นจะมีศักดินาอยู่แล้ว เขาคิดไ
ซูชิงอู่ยิ้มและพูดว่า “ยังมิทันทำงานก็ได้ค่าจ้างแล้วรึ ข้ามิเชื่อเรื่องโชคหล่นทับจากท้องฟ้า ข้ามิอยากเป็นหนี้บุญคุณผู้ใดที่ข้าไม่แม้แต่จะรู้จัก อีกทั้งยังไม่สามารถตอบแทนบุญคุณคนผู้นั้นได้” สิ่งสำคัญที่สุดคือนางกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลังน่ะสิ ใบหน้าของชายชราอึ้งงันไปแต่ก็ยังฝืนยิ้มไว้ได้ “แม่นาง ท่านอย่าได้ต้องคิดมาก ท่านผู้นั้นมีเงินมากอักโขนัก บางทีวันนี้เขาอาจเพียงแค่อยากทำความดี เนื่องจากเห็นแม่นางต้องการเขาจึงอยากทำให้ความปรารถนาของท่านเป็นจริง อีกทั้งก็มิได้หมายความว่าท่านผู้นั้นมิรับเงินจากท่านเสียหน่อย ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?” ชายชราพยายามโน้มน้าวนางอยย่างเต็มที่ ทว่าซูชิงอู่ยังคงมิคล้อยตาม ครั้งนี้คำตอบของนางทั้งกระชับและชัดเจนมากขึ้น “ข้ามิต้องการ” ชายชรา “...”เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในขณะนั้นเองสาวใช้คนหนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบข้างหูชายชรา ชายชราพยักหน้าและพูดกับซู่ชิงอู่อีกครั้งทันที “เช่นนั้นแม่นาง เจ้าคิดเช่นไรหากข้าขายสมบัติสองชิ้นนี้ในราคาประมูล?" ครั้งนี้ซูชิงอู่สนใจเล็กน้อย สิ่งที่นางต้องการมากที่สุดคือเม็ดบัวหิ
ซูชิงอู่เปิดม่านและเห็นผู้คนรุมรอบรถม้าของนาง ผู้คุ้มกันหลายสิบคนชี้อาวุธมาที่รถม้า และมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นช้า ๆ ตรงหน้าพวกเขา หาใช่ผู้ใดอื่นนอกจากมู่หรงฉางอันที่รอซูชิงอู่มานานแล้ว ใบหน้าของมู่หรงฉางอันเย็นชายิ่ง เขาถือพัดอยู่ในมือพลางโบกไปมา ซึ่งดูแปลกไปเล็กน้อยสำหรับวันในฤดูหนาวที่หนาวเย็นเช่นนี้ “หึหึ ลงมาให้ข้าคุณชายผู้นี้ดูหน่อยเถอะว่าสตรีผู้ขวัญกล้านั่นหน้าตาเป็นเยี่ยงไร!” สาวใช้ทั้งสองอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงรู้สึกหวาดกลัวและสีหน้าของพวกเขาค่อนข้างไม่พอใจ นางกระซิบ "พระชายา คงจะดีหากเราพาองครักษ์ไปด้วยในยามที่เราออกมาข้างนอกนะเพคะ... “ซูชิงอู่เบนสายตาของนางเล็กน้อย "เดิมข้าแค่อยากจะซื้อของอย่างลับ ๆ เพื่อให้ท่านอ๋องประหลาดใจเสียหน่อย คิดมิถึงเลยว่าจะกลายเป็นเยี่ยงนี้ไปเสียได้” ทว่าซูชิงอู่หาได้กังวลไม่ แม้นางจะมิได้พาองครักษ์มาด้วย แต่ก็ยังมีองครักษ์เงาบางส่วนคอยปกป้องนาง นี่คือความไว้วางใจที่แท้จริงของนางที่มีต่อเย่เสวียนถิง สิ่งสำคัญที่สุดคือนางไม่คิดว่าคนพวกนี้จะทำอะไรนางได้แม้จะไม่มีใครช่วยเหลือ นางก็สามารถแก้ไขปัญหา
เมื่อเห็นเย่เสวียนถิงมาถึง ซูชิงอู่ที่ก่อนหน้านี้สงบสติอารมณ์อยู่นั้นบัดนี้กลับแสดงสีหน้าตื่นเต้น จากนั้นนางก็เดินฝ่ากลุ่มคนเข้าไป เย่เสวียนถิงลงจากหลังม้าและกอดร่างนุ่ม ๆ ที่ทิ้งตัวลงมาในอ้อมแขนของตน เขาขมวดคิ้ว ใบหน้าหน้าเย็นชา โทสะในดวงตาพลุ่งพล่านเดือดปุด ๆ คล้ายจะระเบิดออกได้ทุกเมื่อ เสียงของเขาต่ำและแหบแห้งราวกับว่าเขากำลังระงับบางสิ่งอยู่ “อาอู่ เจ้าได้รับบาดเจ็บรึ?” ซู่ชิงอู่กอดเอวสอบของเย่เสวียนถิงไว้ บุรุษผู้นี้รูปร่างเพรียวบาง แต่นางรู้ว่าเขามีกล้ามเนื้อบาง ๆ อยู่ใต้อาภรณ์นั้นเมื่อได้สัมผัสก็ทำให้นางรู้สึกดียิ่ง... แก้มของซูชิงอู่แดงเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองและกะพริบตาอย่างน่าสงสาร “ไม่เพคะ โชคดีที่ท่านอ๋องมาได้ทันเวลา” เย่เสวียนถิงผ่อนคลายลง สีหน้าของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมาก ทันใดนั้น เขาก็หยิบวัตถุทรงกระบอกขนาดเท่าสองนิ้วมือออกมาจากใต้แขนเสื้อ และวางลงในอ้อมแขนของซูชิงอู่ “นี่เป็นดอกไม้เพลิง แค่ดึงแหวนนี้ออกและปล่อยมัน ครั้งต่อไปหากเราอยู่ไกลกันแล้วเจ้าเกิดอันตราย จงอย่าลืมใช้มัน” ซูชิงอู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เย่เสวียนถิงพยักหน้า จากนั้นหันกลับขึ้นไปบนหลังม้า เขาก้มลงมาเล็กน้อยพร้อมยื่นมือไปหาซูชิงอู่ ทันใดนั้น ซูชิงอู่ก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ นาง ร่างสูงของเขาบดบังแสงทองที่อยู่ด้านหลัง ข้อต่อนิ้วชัดเจนจากมือที่ยื่นออกมานั้นดูเหมือนจะเปล่งแสงจาง ๆ นางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตกตะลึงอยู่นานก่อนจะยื่นมือออกไป มือแกร่งจับมือของนาง ฉับพลันร่างกายของนางก็เบาลงและขึ้นไปนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเย่เสวียนถิง “ไป!”เสียงของเย่เสวียนถิงดังก้องในหูของนางราวกับฟ้าร้อง ซูชิงอู่รู้สึกค่อนข้างคุ้นเคยกับเสียงนั้น จิตใจของนางสับสนมากแต่นางคิดอะไรไม่ออก เย่เสวียนถิงคงไม่รู้ว่าเขามีเสน่ห์แค่ไหนเมื่อทำท่าทางเช่นนี้ ซูชิงอู่สัมผัสใบหน้าอันร้อนผ่าวและแดงก่ำของตน จากนั้นสัมผัสหัวใจที่เต้นระรัว โดยรู้ว่า… ตนคงไม่มีทางหนีจากความรู้สึกนี้ไปได้ตลอดชีวิตเย่เสวียนถิงพาคนเหล่านั้นไปที่ฝ่ายสืบคดีที่เขารับผิดชอบ ภายในเรือนจำเต็มไปด้วยคนชั่ว ทันทีที่ซูชิงอู่เดินลงบันไดไปยังคุกใต้ดินกับเย่เสวียนถิง นางก็เห็นดวงตานับไม่ถ้วนจ้องมองพวกเขาจากด้านหลังลูกกรงเหล็กที่ขนาบท
หลิงซื่อเงยหน้าขึ้นมองท่าทีของซูชิงอู่ด้วยความกลัว “ไม่ ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้าจริง ๆ...” นางรีบส่ายหัวรัว ๆ อย่างสิ้นหวัง มีคนอยู่ข้าง ๆ เดินเข้ามาพร้อมแส้เตรียมลงมือ ทันทีที่หลิงซื่อเห็นแส้ ม่านตาของนางก็หดตัวลง มันใดนั้นซูชิงอู่ก็พูดว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องจะถามหลิงซื่ออีกสักหน่อย ช่วยให้พวกเขาออกไปก่อนได้หรือไม่เพคะ” เย่เสวียนถิงโบกมือ คนอื่น ๆ ออกจากห้องขังกันไปทีละคน จากนั้นเขาก็หันหลังเดินออกไป แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกจากห้อง ซูชิงอู่ก็เอ่ยว่า “ท่านอ๋องโปรดอยู่กับหม่อมฉันก่อนเถิดเพคะ อยู่ตรงนี้คนเดียวหม่อมฉันกลัวนิดหน่อย” ฝีเท้าของเย่เสวียนถิงหยุดชะงัก พลันรู้สึกมีความสุขขึ้นมาในใจเขาชะงักฝีเท้าที่จะเดินออกไปพร้อมหันกลับมาด้วยท่าทีสงบ จากนั้นปิดประตูหินแล้วมายืนข้างซูชิงอู่ แสงเทียนในห้องขังสลัว และเงียบพอที่จะได้ยินการหายใจอันหนักหน่วงของหลิงซื่อ เสียงของนางแหบแห้งจากการถูกทรมานทั้งวันทั้งคืน “ข้าสารภาพทุกอย่างที่รู้ไปหมดแล้ว ขอร้องพวกท่าน ช่วยปล่อยข้าไปเถิด…” ซูชิงอู่มองดูท่าทางที่น่าสมเพชของหลิงซื่อโดยไ
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้