เสียงนั่นฟังดูบีบเหมือนกับผ่านการปลอมแปลงมามู่หรงฉางอันเงยหน้าขึ้นและมองไปยังห้องส่วนตัวหมายเลขหนึ่ง ดวงตาของเขาก็หรี่ลงทันทีเขาได้สอบถามเกี่ยวกับแขกในห้องหมายเลขหนึ่ง และได้ยินมาว่าเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติของเจ้าของหอมหาสมบัติและสถานะของเขาก็พิเศษอย่างยิ่งแม้ว่ามู่หลงฉางอันจะเป็นหนุ่มสุรุ่ยสุร่ายและเจ้าสำราญ แต่เขาก็ไม่โง่ เขารู้ว่าควรยุ่งกับใครและไม่อาจยุ่งกับใครได้เขากัดฟันแล้วโยนถ้วยชาลงพื้นด้วยความโกรธ "ช่างมันเถอะ"ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่สามารถนำเงินออกมาหนึ่งแสนตำลึงเงินเลย หากบิดาของเขารู้เช่นนั้นแล้วจะต้องหักขาของเขาอย่างแน่นอน แม้ว่านี่จะน่าอายสักหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็แพ้ให้กับคนระดับเดียวกับเขา เช่นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นและมองไปยังห้องที่บุรุษผู้นั้นส่งเสียงออกมา ในที่สุดนางก็เอนตัวบนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียง หากไม่มีเงินพอนางก็ไม่อาจซื้อสิ่งนั้นได้ หนวดเคราบนใบหน้าของชายชราแทบจะปลิวไสวด้วยความดีใจ และเสียงกลองสามเสียงก็ดังก้องไปทั่วพื้นที่อันเงียบสงบของหอมหาสมบัติ "เม็ดบัวหิมะ หนึ่งแสนตำลึงเงิน ตกลงขาย!"ซูชิงอู
ซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในวันนั้นในชีวิตครั้งก่อนของนางที่สุดแล้วชุดเกราะเทียนหลินก็ตกอยู่ในมือของนางน้อยมู่หรงนี่จึงเป็นเหตุผลที่นางจำใบหน้าของเขาได้หากพวกเขาทั้งสองไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกันมาก่อน นอกเหนือจากความแค้นเก่าระหว่างตระกูลของพวกเขาแล้ว ตอนนี้มู่หรงฉางอันก็ได้ทำให้นางขุ่นเคืองอย่างมากจากเม็ดบัวหิมะ เหตุผลที่ซูชิงอู่ไม่ต่อสู้เพื่อเม็ดบัวหิมะต่อไปก็เพราะแม้แต่มู่หรงฉางอันยังกลัวบุรุษลึกลับผู้นั้นนั้น เช่นนั้นแล้วนางก็ไม่อาจทำให้เขาขุ่นเคืองได้เช่นกันทว่าครั้งนี้หากนางยอมให้มู่หรงฉางอันแย่งเกราะเทียนหลินไปในราคาหนึ่งแสนตำลึงเงิน…ฝันไปเถอะ!เนื่องจากคำพูดของมู่หลงฉางอัน ทุกคนด้านล่างจึงเงียบลงทันทีไม่มีใครกล้าทำให้บุตรชายของราชครูแคว้นหนานเย่ต้องขุ่นเคืองใจควรรู้เอาไว้ว่าในตระกูลมู่หรง นอกจากมู่หลงฉางอันบุรุษจอมสำราญผู้นี้แล้ว เขายังมีพี่ชายและน้องสาวอีกด้วยพี่ชายของเขาเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุน้อยอีกทั้งยังเป็นนายพลหนุ่มที่มีอำนาจทางทหารและน้องสาวของเขายังได้อภิเษกกับเจ้าชายองค์หนึ่ง เช่นนั้นแล้วนางจะมีฐานะเป็นพระชายาอีกด้วย!ยิ่งไปกว่านั้นฮองเฮายังมีศ
"ขอรับ!" แม้ว่าสิ่งต่างๆ จะไม่ราบรื่น แต่มู่หรงฉางอันก็ไม่รู้สึกอะไรมากนัก แม้ว่าชุดเกราะเทียนหลินจะมีราคาแพงกว่าเล็กน้อย แต่เมื่อได้มาครอบครองแล้วตนก็จะมีทั้งศักดิ์ศรีและความน่าเกรงขาม แม้ว่าเขาจะบอกท่านพ่อของเขา แต่ท่านพ่อก็จะไม่ตำหนิตนที่ใช้เงินมากเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นั้นมีเงินติดตัวมากมาย และไม่นานมานี้นางยังซื้อภาพวาดชื่อดังด้วยซ้ำ... สิ่งนี้จะต้องสามารถชดเชยความสูญเสียของเขาได้เป็นแน่ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ห้าแสนตำลึงเงิน” เสียงแหบแห้งและสงบ ไม่มีอารมณ์ใดออกมาจากน้ำเสียงของเขา ทว่าตัวเลขที่ถูกกล่าวขึ้นมานั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ทันใดนั้นมู่หรงฉางอันก็หันหน้าไปมองห้องส่วนตัวหมายเลขหนึ่ง เงินสามแสนห้าหมื่นตำลึงนั้นมากไปสำหรับเขาผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของมหาราชครูและหลานชายของฮองเฮา แต่ผลก็คือชายคนนี้ประมูลด้วยเงินห้าแสนตำลึง!เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน? แม้แต่องค์ชายในเมืองหลวงก่อนที่พวกเขาจะมีอำนาจที่แท้จริงก็ยังไม่สามารถหาเงินได้มากขนาดนี้ เว้นแต่ว่าขุนนางเหล่านั้นจะมีศักดินาอยู่แล้ว เขาคิดไ
ซูชิงอู่ยิ้มและพูดว่า “ยังมิทันทำงานก็ได้ค่าจ้างแล้วรึ ข้ามิเชื่อเรื่องโชคหล่นทับจากท้องฟ้า ข้ามิอยากเป็นหนี้บุญคุณผู้ใดที่ข้าไม่แม้แต่จะรู้จัก อีกทั้งยังไม่สามารถตอบแทนบุญคุณคนผู้นั้นได้” สิ่งสำคัญที่สุดคือนางกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลังน่ะสิ ใบหน้าของชายชราอึ้งงันไปแต่ก็ยังฝืนยิ้มไว้ได้ “แม่นาง ท่านอย่าได้ต้องคิดมาก ท่านผู้นั้นมีเงินมากอักโขนัก บางทีวันนี้เขาอาจเพียงแค่อยากทำความดี เนื่องจากเห็นแม่นางต้องการเขาจึงอยากทำให้ความปรารถนาของท่านเป็นจริง อีกทั้งก็มิได้หมายความว่าท่านผู้นั้นมิรับเงินจากท่านเสียหน่อย ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?” ชายชราพยายามโน้มน้าวนางอยย่างเต็มที่ ทว่าซูชิงอู่ยังคงมิคล้อยตาม ครั้งนี้คำตอบของนางทั้งกระชับและชัดเจนมากขึ้น “ข้ามิต้องการ” ชายชรา “...”เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในขณะนั้นเองสาวใช้คนหนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบข้างหูชายชรา ชายชราพยักหน้าและพูดกับซู่ชิงอู่อีกครั้งทันที “เช่นนั้นแม่นาง เจ้าคิดเช่นไรหากข้าขายสมบัติสองชิ้นนี้ในราคาประมูล?" ครั้งนี้ซูชิงอู่สนใจเล็กน้อย สิ่งที่นางต้องการมากที่สุดคือเม็ดบัวหิ
ซูชิงอู่เปิดม่านและเห็นผู้คนรุมรอบรถม้าของนาง ผู้คุ้มกันหลายสิบคนชี้อาวุธมาที่รถม้า และมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นช้า ๆ ตรงหน้าพวกเขา หาใช่ผู้ใดอื่นนอกจากมู่หรงฉางอันที่รอซูชิงอู่มานานแล้ว ใบหน้าของมู่หรงฉางอันเย็นชายิ่ง เขาถือพัดอยู่ในมือพลางโบกไปมา ซึ่งดูแปลกไปเล็กน้อยสำหรับวันในฤดูหนาวที่หนาวเย็นเช่นนี้ “หึหึ ลงมาให้ข้าคุณชายผู้นี้ดูหน่อยเถอะว่าสตรีผู้ขวัญกล้านั่นหน้าตาเป็นเยี่ยงไร!” สาวใช้ทั้งสองอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงรู้สึกหวาดกลัวและสีหน้าของพวกเขาค่อนข้างไม่พอใจ นางกระซิบ "พระชายา คงจะดีหากเราพาองครักษ์ไปด้วยในยามที่เราออกมาข้างนอกนะเพคะ... “ซูชิงอู่เบนสายตาของนางเล็กน้อย "เดิมข้าแค่อยากจะซื้อของอย่างลับ ๆ เพื่อให้ท่านอ๋องประหลาดใจเสียหน่อย คิดมิถึงเลยว่าจะกลายเป็นเยี่ยงนี้ไปเสียได้” ทว่าซูชิงอู่หาได้กังวลไม่ แม้นางจะมิได้พาองครักษ์มาด้วย แต่ก็ยังมีองครักษ์เงาบางส่วนคอยปกป้องนาง นี่คือความไว้วางใจที่แท้จริงของนางที่มีต่อเย่เสวียนถิง สิ่งสำคัญที่สุดคือนางไม่คิดว่าคนพวกนี้จะทำอะไรนางได้แม้จะไม่มีใครช่วยเหลือ นางก็สามารถแก้ไขปัญหา
เมื่อเห็นเย่เสวียนถิงมาถึง ซูชิงอู่ที่ก่อนหน้านี้สงบสติอารมณ์อยู่นั้นบัดนี้กลับแสดงสีหน้าตื่นเต้น จากนั้นนางก็เดินฝ่ากลุ่มคนเข้าไป เย่เสวียนถิงลงจากหลังม้าและกอดร่างนุ่ม ๆ ที่ทิ้งตัวลงมาในอ้อมแขนของตน เขาขมวดคิ้ว ใบหน้าหน้าเย็นชา โทสะในดวงตาพลุ่งพล่านเดือดปุด ๆ คล้ายจะระเบิดออกได้ทุกเมื่อ เสียงของเขาต่ำและแหบแห้งราวกับว่าเขากำลังระงับบางสิ่งอยู่ “อาอู่ เจ้าได้รับบาดเจ็บรึ?” ซู่ชิงอู่กอดเอวสอบของเย่เสวียนถิงไว้ บุรุษผู้นี้รูปร่างเพรียวบาง แต่นางรู้ว่าเขามีกล้ามเนื้อบาง ๆ อยู่ใต้อาภรณ์นั้นเมื่อได้สัมผัสก็ทำให้นางรู้สึกดียิ่ง... แก้มของซูชิงอู่แดงเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองและกะพริบตาอย่างน่าสงสาร “ไม่เพคะ โชคดีที่ท่านอ๋องมาได้ทันเวลา” เย่เสวียนถิงผ่อนคลายลง สีหน้าของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมาก ทันใดนั้น เขาก็หยิบวัตถุทรงกระบอกขนาดเท่าสองนิ้วมือออกมาจากใต้แขนเสื้อ และวางลงในอ้อมแขนของซูชิงอู่ “นี่เป็นดอกไม้เพลิง แค่ดึงแหวนนี้ออกและปล่อยมัน ครั้งต่อไปหากเราอยู่ไกลกันแล้วเจ้าเกิดอันตราย จงอย่าลืมใช้มัน” ซูชิงอู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เย่เสวียนถิงพยักหน้า จากนั้นหันกลับขึ้นไปบนหลังม้า เขาก้มลงมาเล็กน้อยพร้อมยื่นมือไปหาซูชิงอู่ ทันใดนั้น ซูชิงอู่ก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ นาง ร่างสูงของเขาบดบังแสงทองที่อยู่ด้านหลัง ข้อต่อนิ้วชัดเจนจากมือที่ยื่นออกมานั้นดูเหมือนจะเปล่งแสงจาง ๆ นางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตกตะลึงอยู่นานก่อนจะยื่นมือออกไป มือแกร่งจับมือของนาง ฉับพลันร่างกายของนางก็เบาลงและขึ้นไปนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเย่เสวียนถิง “ไป!”เสียงของเย่เสวียนถิงดังก้องในหูของนางราวกับฟ้าร้อง ซูชิงอู่รู้สึกค่อนข้างคุ้นเคยกับเสียงนั้น จิตใจของนางสับสนมากแต่นางคิดอะไรไม่ออก เย่เสวียนถิงคงไม่รู้ว่าเขามีเสน่ห์แค่ไหนเมื่อทำท่าทางเช่นนี้ ซูชิงอู่สัมผัสใบหน้าอันร้อนผ่าวและแดงก่ำของตน จากนั้นสัมผัสหัวใจที่เต้นระรัว โดยรู้ว่า… ตนคงไม่มีทางหนีจากความรู้สึกนี้ไปได้ตลอดชีวิตเย่เสวียนถิงพาคนเหล่านั้นไปที่ฝ่ายสืบคดีที่เขารับผิดชอบ ภายในเรือนจำเต็มไปด้วยคนชั่ว ทันทีที่ซูชิงอู่เดินลงบันไดไปยังคุกใต้ดินกับเย่เสวียนถิง นางก็เห็นดวงตานับไม่ถ้วนจ้องมองพวกเขาจากด้านหลังลูกกรงเหล็กที่ขนาบท
หลิงซื่อเงยหน้าขึ้นมองท่าทีของซูชิงอู่ด้วยความกลัว “ไม่ ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้าจริง ๆ...” นางรีบส่ายหัวรัว ๆ อย่างสิ้นหวัง มีคนอยู่ข้าง ๆ เดินเข้ามาพร้อมแส้เตรียมลงมือ ทันทีที่หลิงซื่อเห็นแส้ ม่านตาของนางก็หดตัวลง มันใดนั้นซูชิงอู่ก็พูดว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องจะถามหลิงซื่ออีกสักหน่อย ช่วยให้พวกเขาออกไปก่อนได้หรือไม่เพคะ” เย่เสวียนถิงโบกมือ คนอื่น ๆ ออกจากห้องขังกันไปทีละคน จากนั้นเขาก็หันหลังเดินออกไป แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกจากห้อง ซูชิงอู่ก็เอ่ยว่า “ท่านอ๋องโปรดอยู่กับหม่อมฉันก่อนเถิดเพคะ อยู่ตรงนี้คนเดียวหม่อมฉันกลัวนิดหน่อย” ฝีเท้าของเย่เสวียนถิงหยุดชะงัก พลันรู้สึกมีความสุขขึ้นมาในใจเขาชะงักฝีเท้าที่จะเดินออกไปพร้อมหันกลับมาด้วยท่าทีสงบ จากนั้นปิดประตูหินแล้วมายืนข้างซูชิงอู่ แสงเทียนในห้องขังสลัว และเงียบพอที่จะได้ยินการหายใจอันหนักหน่วงของหลิงซื่อ เสียงของนางแหบแห้งจากการถูกทรมานทั้งวันทั้งคืน “ข้าสารภาพทุกอย่างที่รู้ไปหมดแล้ว ขอร้องพวกท่าน ช่วยปล่อยข้าไปเถิด…” ซูชิงอู่มองดูท่าทางที่น่าสมเพชของหลิงซื่อโดยไ