ซูชิงอู่ยิ้มและพูดว่า “ยังมิทันทำงานก็ได้ค่าจ้างแล้วรึ ข้ามิเชื่อเรื่องโชคหล่นทับจากท้องฟ้า ข้ามิอยากเป็นหนี้บุญคุณผู้ใดที่ข้าไม่แม้แต่จะรู้จัก อีกทั้งยังไม่สามารถตอบแทนบุญคุณคนผู้นั้นได้” สิ่งสำคัญที่สุดคือนางกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลังน่ะสิ ใบหน้าของชายชราอึ้งงันไปแต่ก็ยังฝืนยิ้มไว้ได้ “แม่นาง ท่านอย่าได้ต้องคิดมาก ท่านผู้นั้นมีเงินมากอักโขนัก บางทีวันนี้เขาอาจเพียงแค่อยากทำความดี เนื่องจากเห็นแม่นางต้องการเขาจึงอยากทำให้ความปรารถนาของท่านเป็นจริง อีกทั้งก็มิได้หมายความว่าท่านผู้นั้นมิรับเงินจากท่านเสียหน่อย ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?” ชายชราพยายามโน้มน้าวนางอยย่างเต็มที่ ทว่าซูชิงอู่ยังคงมิคล้อยตาม ครั้งนี้คำตอบของนางทั้งกระชับและชัดเจนมากขึ้น “ข้ามิต้องการ” ชายชรา “...”เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในขณะนั้นเองสาวใช้คนหนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบข้างหูชายชรา ชายชราพยักหน้าและพูดกับซู่ชิงอู่อีกครั้งทันที “เช่นนั้นแม่นาง เจ้าคิดเช่นไรหากข้าขายสมบัติสองชิ้นนี้ในราคาประมูล?" ครั้งนี้ซูชิงอู่สนใจเล็กน้อย สิ่งที่นางต้องการมากที่สุดคือเม็ดบัวหิ
ซูชิงอู่เปิดม่านและเห็นผู้คนรุมรอบรถม้าของนาง ผู้คุ้มกันหลายสิบคนชี้อาวุธมาที่รถม้า และมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นช้า ๆ ตรงหน้าพวกเขา หาใช่ผู้ใดอื่นนอกจากมู่หรงฉางอันที่รอซูชิงอู่มานานแล้ว ใบหน้าของมู่หรงฉางอันเย็นชายิ่ง เขาถือพัดอยู่ในมือพลางโบกไปมา ซึ่งดูแปลกไปเล็กน้อยสำหรับวันในฤดูหนาวที่หนาวเย็นเช่นนี้ “หึหึ ลงมาให้ข้าคุณชายผู้นี้ดูหน่อยเถอะว่าสตรีผู้ขวัญกล้านั่นหน้าตาเป็นเยี่ยงไร!” สาวใช้ทั้งสองอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงรู้สึกหวาดกลัวและสีหน้าของพวกเขาค่อนข้างไม่พอใจ นางกระซิบ "พระชายา คงจะดีหากเราพาองครักษ์ไปด้วยในยามที่เราออกมาข้างนอกนะเพคะ... “ซูชิงอู่เบนสายตาของนางเล็กน้อย "เดิมข้าแค่อยากจะซื้อของอย่างลับ ๆ เพื่อให้ท่านอ๋องประหลาดใจเสียหน่อย คิดมิถึงเลยว่าจะกลายเป็นเยี่ยงนี้ไปเสียได้” ทว่าซูชิงอู่หาได้กังวลไม่ แม้นางจะมิได้พาองครักษ์มาด้วย แต่ก็ยังมีองครักษ์เงาบางส่วนคอยปกป้องนาง นี่คือความไว้วางใจที่แท้จริงของนางที่มีต่อเย่เสวียนถิง สิ่งสำคัญที่สุดคือนางไม่คิดว่าคนพวกนี้จะทำอะไรนางได้แม้จะไม่มีใครช่วยเหลือ นางก็สามารถแก้ไขปัญหา
เมื่อเห็นเย่เสวียนถิงมาถึง ซูชิงอู่ที่ก่อนหน้านี้สงบสติอารมณ์อยู่นั้นบัดนี้กลับแสดงสีหน้าตื่นเต้น จากนั้นนางก็เดินฝ่ากลุ่มคนเข้าไป เย่เสวียนถิงลงจากหลังม้าและกอดร่างนุ่ม ๆ ที่ทิ้งตัวลงมาในอ้อมแขนของตน เขาขมวดคิ้ว ใบหน้าหน้าเย็นชา โทสะในดวงตาพลุ่งพล่านเดือดปุด ๆ คล้ายจะระเบิดออกได้ทุกเมื่อ เสียงของเขาต่ำและแหบแห้งราวกับว่าเขากำลังระงับบางสิ่งอยู่ “อาอู่ เจ้าได้รับบาดเจ็บรึ?” ซู่ชิงอู่กอดเอวสอบของเย่เสวียนถิงไว้ บุรุษผู้นี้รูปร่างเพรียวบาง แต่นางรู้ว่าเขามีกล้ามเนื้อบาง ๆ อยู่ใต้อาภรณ์นั้นเมื่อได้สัมผัสก็ทำให้นางรู้สึกดียิ่ง... แก้มของซูชิงอู่แดงเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองและกะพริบตาอย่างน่าสงสาร “ไม่เพคะ โชคดีที่ท่านอ๋องมาได้ทันเวลา” เย่เสวียนถิงผ่อนคลายลง สีหน้าของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมาก ทันใดนั้น เขาก็หยิบวัตถุทรงกระบอกขนาดเท่าสองนิ้วมือออกมาจากใต้แขนเสื้อ และวางลงในอ้อมแขนของซูชิงอู่ “นี่เป็นดอกไม้เพลิง แค่ดึงแหวนนี้ออกและปล่อยมัน ครั้งต่อไปหากเราอยู่ไกลกันแล้วเจ้าเกิดอันตราย จงอย่าลืมใช้มัน” ซูชิงอู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เย่เสวียนถิงพยักหน้า จากนั้นหันกลับขึ้นไปบนหลังม้า เขาก้มลงมาเล็กน้อยพร้อมยื่นมือไปหาซูชิงอู่ ทันใดนั้น ซูชิงอู่ก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ นาง ร่างสูงของเขาบดบังแสงทองที่อยู่ด้านหลัง ข้อต่อนิ้วชัดเจนจากมือที่ยื่นออกมานั้นดูเหมือนจะเปล่งแสงจาง ๆ นางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตกตะลึงอยู่นานก่อนจะยื่นมือออกไป มือแกร่งจับมือของนาง ฉับพลันร่างกายของนางก็เบาลงและขึ้นไปนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเย่เสวียนถิง “ไป!”เสียงของเย่เสวียนถิงดังก้องในหูของนางราวกับฟ้าร้อง ซูชิงอู่รู้สึกค่อนข้างคุ้นเคยกับเสียงนั้น จิตใจของนางสับสนมากแต่นางคิดอะไรไม่ออก เย่เสวียนถิงคงไม่รู้ว่าเขามีเสน่ห์แค่ไหนเมื่อทำท่าทางเช่นนี้ ซูชิงอู่สัมผัสใบหน้าอันร้อนผ่าวและแดงก่ำของตน จากนั้นสัมผัสหัวใจที่เต้นระรัว โดยรู้ว่า… ตนคงไม่มีทางหนีจากความรู้สึกนี้ไปได้ตลอดชีวิตเย่เสวียนถิงพาคนเหล่านั้นไปที่ฝ่ายสืบคดีที่เขารับผิดชอบ ภายในเรือนจำเต็มไปด้วยคนชั่ว ทันทีที่ซูชิงอู่เดินลงบันไดไปยังคุกใต้ดินกับเย่เสวียนถิง นางก็เห็นดวงตานับไม่ถ้วนจ้องมองพวกเขาจากด้านหลังลูกกรงเหล็กที่ขนาบท
หลิงซื่อเงยหน้าขึ้นมองท่าทีของซูชิงอู่ด้วยความกลัว “ไม่ ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้าจริง ๆ...” นางรีบส่ายหัวรัว ๆ อย่างสิ้นหวัง มีคนอยู่ข้าง ๆ เดินเข้ามาพร้อมแส้เตรียมลงมือ ทันทีที่หลิงซื่อเห็นแส้ ม่านตาของนางก็หดตัวลง มันใดนั้นซูชิงอู่ก็พูดว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องจะถามหลิงซื่ออีกสักหน่อย ช่วยให้พวกเขาออกไปก่อนได้หรือไม่เพคะ” เย่เสวียนถิงโบกมือ คนอื่น ๆ ออกจากห้องขังกันไปทีละคน จากนั้นเขาก็หันหลังเดินออกไป แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกจากห้อง ซูชิงอู่ก็เอ่ยว่า “ท่านอ๋องโปรดอยู่กับหม่อมฉันก่อนเถิดเพคะ อยู่ตรงนี้คนเดียวหม่อมฉันกลัวนิดหน่อย” ฝีเท้าของเย่เสวียนถิงหยุดชะงัก พลันรู้สึกมีความสุขขึ้นมาในใจเขาชะงักฝีเท้าที่จะเดินออกไปพร้อมหันกลับมาด้วยท่าทีสงบ จากนั้นปิดประตูหินแล้วมายืนข้างซูชิงอู่ แสงเทียนในห้องขังสลัว และเงียบพอที่จะได้ยินการหายใจอันหนักหน่วงของหลิงซื่อ เสียงของนางแหบแห้งจากการถูกทรมานทั้งวันทั้งคืน “ข้าสารภาพทุกอย่างที่รู้ไปหมดแล้ว ขอร้องพวกท่าน ช่วยปล่อยข้าไปเถิด…” ซูชิงอู่มองดูท่าทางที่น่าสมเพชของหลิงซื่อโดยไ
คำพูดที่ออกจากปากของนางนั้นค่อนข้างประชดประชัน นิสัยของหลิงซื่อเป็นเช่นนี้ และซูเชียนหลิงก็ได้รับสิ่งนี้มาจากนางเช่นกัน ซูชิงอู่หรี่ตาลง “เจ้าไม่คู่ควรที่จะตัดสินสิ่งที่แม่ของข้าทำ” “ใช่แล้ว นางเป็นดวงจันทร์ที่สว่างไสวในใต้หล้า ส่วนข้าก็เป็นแค่ไส้เดือนคลานอยู่ในโคลน จะเปรียบเทียบกับนางได้เยี่ยงไร” หลิงซื่อหัวเราะกับตัวเองแล้วพูดอีกครั้ง “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่ห้าของเจ้ามิได้ป่วยเลย ทว่าถูกวางยาพิษ และคนที่วางยาเขาคือคนไข้ของฟางอี๋ซิน แต่นางกลับปกป้องเด็กคนนั้นมิได้… ฟางอี๋ซินช่วยชีวิตผู้คนทุกวัน แต่สุดท้ายนางก็ไม่สามารถรักษาลูกของตัวเองได้ ต่อมานางค้นหายาอายุวัฒนะต่าง ๆ ทุกที่เพื่อล้างพิษพี่ห้าของเจ้า ข้าได้ยินมาว่านางเตรียมจะทำยาแก้พิษ แต่นางกลับต้องมาจากไปเสียก่อน ช่างน่าเสียดาย...” ซูชิงอู่ถามว่า “เจ้ามาบอกข้าเรื่องนี้ เจ้าต้องการสิ่งใด?”หลิงซื่อขมวดคิ้วและพูดอย่างอ่อนแอ “ข้าก็แค่เลื่อนลอย มีอะไรในใจข้าก็พูดออกไป…” ซูชิงอู่ยกริมฝีปาก “เจ้าอยากให้ข้ารู้สึกอึดอัดรึ? เจ้าอยากให้ข้ารู้สึกว่าทุกสิ่งที่ท่านแม่ทำในยามนั้นไม่คุ้มค่ารึ? หรือเจ้าต
“โอ้? ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะมีอำนาจและสถานะไม่น้อย เช่นนั้นข้าจะรอให้เขามาหาข้าเพื่อแก้แค้น” ซูชิงอู่ดูคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ดวงตาของนางไร้ความอบอุ่น หลิงซื่อตัวสั่นเมื่อเห็นเช่นนั้น นางลดสายตาลงพลางกัดฟันพูดว่า “เชียนหลิงเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นซีอู๋ตะวันตก ธิดาทางสายเลือดของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของแคว้นซีอู๋ตะวันตก... ข้าได้บอกความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่เจ้าแล้ว เจ้าปล่อยข้าไป…” ครู่ต่อมาเสียงของหลิงซื่อก็ขาดหาย ดูเหมือนคอของนางจะถูกปาด ซูชิงอู่มองดูนาง คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย และยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่กริชสีเงินที่นางถืออยู่ในมือแสดงให้เห็นว่านางทำอะไรไปเมื่อกี้ นางพูดว่า “ขอบคุณที่บอกความจริง แต่... ข้าแค่บอกว่าจะลองพิจารณาดู บัดนี้ข้าคิดได้แล้ว ข้าไม่คิดจะปล่อยเจ้าไป”ดวงตาของหลิงซื่อเบิกกว้าง สีหน้าของนางเริ่มบิดเบี้ยว ดุร้ายราวกับผี เลือดที่คอของนางยังคงไหลออกมา มิสามารถหยุดมันได้ นางทำได้เพียงรู้สึกถึงการหายใจไม่ออกและหนาวสั่น ความกลัวความตายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ดวงตาปูดโปน นางจ้องมองที่ซู่ชิงอู่ด้วยความขุ่นเคืองยิ่ง ความโกรธที่ถูกหลอก
บัดนี้แม้ว่ารูปลักษณ์ของนางจะเหมือนเดิมทุกประการ แต่นางรู้ดีว่าภายในนั้นเน่าเฟะไปนานแล้ว แม้ว่าตอนนี้นางไม่สามารถถูกเรียกว่าปิศาจร้ายได้ แต่นางก็ไม่ใช่คนใจดีและเป็นคนดีอย่างแน่นอน นางสามารถใช้ประโยชน์จากหัวใจของผู้คน วางแผนเพื่อผลประโยชน์ของตน และฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา... อ้อมกอดของบุรุษผู้นี้อบอุ่นและมั่นคง ทำให้การเต้นของหัวใจของซูชิงอู่ค่อย ๆ คงที่ ซูชิงอู่ยืนเขย่งเท้าแล้วจูบริมฝีปากอ่อนนุ่มของเย่เสวียนถิง นางจงใจแลบลิ้นโลมเลียอย่างเย้ายวน ทันใดนั้นแขนของเย่เสวียนถิงรอบเอวของนางก็ตึงขึ้น การหายใจของเขาก็หนักหน่วงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขาจ้องอย่างลึกล้ำ “อาอู่ พอก่อน”ซูชิงอู่ลืมไปเลยว่านี่คือห้องขังเปื้อนเลือดที่มีศพอยู่ข้าง ๆ ซึ่งจ้องมองมาตาไม่กะพริบ ในใจของนางค่อนข้างสงบ เสียงของนางอ่อนโยนราวกับนกขมิ้น “หม่อมฉันรู้เพคะ แม้ว่าท่านอ๋องจะเห็นสิ่งนี้ ท่านก็จะไม่ทิ้งหม่อมฉันไป…” เย่เสวียนถิงถอนหายใจ แววตาของเขานั้นช่างอ่อนโยน จากนั้นเขาก็อุ้มซู่ชิงอู่ขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องขังไป ผู้คุมหลายคนที่ประตูเห็นคนสองคนเดินออกจากห้