บุรุษวัยกลางคนยังคงอ่านกลอนต่อไปในบรรยากาศที่เงียบสงบและน่าขนลุกนี้“เทียมเขาทับซ้อน ถนนคดเคี้ยว ทิวไม้สูงใหญ่ และน้ำพุไหลหลั่ง…”กลอนคำคู่หลายสิบคู่ติดต่อกัน แต่ละคู่มีฉันทลักษณ์เฉพาะตัวหลังจากที่บุรุษวัยกลางคนอ่านจบแล้ว แต่ผู้คนด้านล่างก็ยังคงสนใจที่จะฟังหลังจากนั้นเป็นเวลานาน เสียงปรบมือนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้นบางคนมองไปที่ม่านของห้องที่ห้า โดยหวังว่าจะสามารถมองทะลุสิ่งกีดขวางและดูได้ว่าใครอยู่ข้างในนั้นซูชิงอู่มีท่าทีสงบ สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉย นางฉลาดมาตั้งแต่เล็ก เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และมีความสามารถโดดเด่น ทว่าในฐานะสตรีแล้ว ไม่ว่าจะมีความสามารถมากเพียงใดก็ไม่มีใครยอมรับในความสามารถของนางซูเชียนหลิงเป็นสตรีซึ่งมีความสามารถเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง คนนอกต่างชื่มชมนางที่ทั้งมั่งคั่งร่ำรวยมากด้วยความรู้ความสามารถทั้งด้านดนตรี หมากรุก การประดิษฐ์ตัวอักษร และการวาดภาพ แต่นางกลับไม่ได้เข้าใจทุกเรื่องอย่างถ่องแท้ในชีวิตครั้งก่อนนั้น ซูเชียนหลิงไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของนาง เช่นนั้นจึงเกลี้ยกล่อมซูชิงอู่ไม่ให้เปิดเผยความฉลาดในสิ่งที่นางรู้นอกจากนี
อันที่จริงแล้วบทกวีทั้งสองนั้นใกล้เคียงกันมากโดยเฉพาะในการเปรียบเทียบกันแล้ว เป็นการยากที่จะตัดสินว่าอันไหนดีกว่าหรือแย่กว่ากันแต่ทุกคนล้วนมีความคิดแบบเดียวกัน พวกเขาต่างประทับใจกับบทกวีของซูชิงอู่ในนามของคุณชายห้องที่ห้า พร้อมทั้งรู้สึกว่านางลึกลับเป็นอย่างมากผู้คนต่างอยากรู้อยากเห็น"ตอนนี้ขอประกาศว่า ผู้ชนะในวันนี้คือคุณชายห้องที่ห้า!"“คุณชายหวังหรือ? ดูเหมือนข้าจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคนผู้นี้มาก่อนเลย...”“ภายในเมืองหลวง มีตระกูลขุนนางมากมายนับไม่ถ้วน หากจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”“แต่เหตุใดผู้มีความสามารถเช่นนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงไร้ชื่อเสียงเล่า?”หลายคนเริ่มถกเกียงกันซูชิงอู่นั่งเงียบ ๆ อยู่ภายในห้อง นางรู้ดีว่าถึงแม้นางจะไม่ได้มองหาเขา แต่ในไม่ช้า คนผู้นั้นจะต้องตกหลุมพรางนางอย่างแน่นอนเสียงเคาะประตูดังขึ้นอวิ๋นชิงเปิดประตูห้องทันทีอย่างรวดเร็วซูชิงอู่มองตามไป นางเห็นร่างหนึ่งปรากฏที่ประตู ร่าง ๆ นั้นสูงสง่าราวกับต้นสนและไม้ไผ่นางรู้ดีว่าบุรุษผู้มีความสามารถและเยือกเย็นผู้นี้จะสนใจใครก็ตามที่สามารถเอาชนะเขาได้ในทางบทกวี
เจ้าของหอที่อยู่ด้านหลังพูดขึ้น“หาที่นั่งให้แขกผู้มีเกียรติทั้งสอง”"ขอรับ!"บุรุษวัยกลางคนเตรียมเก้าอี้ เขาขอให้ทั้งสองนั่งข้างโต๊ะน้ำชาด้านหนึ่งของห้อง เขาเติมชาลงในถ้วยแล้วหันหลังกลับแล้วจึงออกไปและปิดประตูอย่างระมัดระวังเหลือเพียงสามคนเท่านั้นในห้องเจ้าของหอพูดอีกครั้ง เสียงนั้นคล้ายกับเสียงที่ซูชิงอู่คุ้นเคย เมื่อตั้งใจฟังก็ยิ่งรู้สึกคุ้นชินมากขึ้นเรื่อยๆ“นี่คือชาปี้หลัวชุนที่ดีที่สุด ท่านทั้งสองลองลิ้มรสดูได้”ชิงอู่หยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่ทันใดนั้นนางกลับได้กลิ่นพิเศษในถ้วยชาทันทีนางหรี่ตาลงอย่างเงียบ ๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจิบมันอวิ๋นเซียงหรูให้ความสำคัญกับมารยาทเป็นอย่างมาก เช่นนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายเชื้อเชิญให้ดื่มน้ำชาแล้ว เขาก็ไม่อาจมีว่าความสงสัยใดหลงเหลืออยู่ เขาจึงจิบน้ำชาตามมารยาททันทีเมื่อเห็นว่าทั้งคู่ดื่มชาแล้ว เจ้าของหอที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นก็เดินออกมาเมื่อซูชิงอู่เห็นคนผู้นั้น นางแทบจะพ่นชาที่นางเพิ่งดื่มเข้าไปออกมาทันที มือของนางสั่นเทาถ้วยชาแทบจะหล่นลงพื้นนางคิดไม่ถึงมาก่อนเลยว่าเจ้าของหอผู้ลึกลับที่ซ่อนอยู่หลังฉากกั้นจะเป็น... เย่อวิ๋นถู!เม
ซูชิงอู่ลองคำนวณดู ทองคำแผ่นเมื่อครู่มีมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งร้อยตำลึง ทองคำราคาสูงพอที่จะซื้อคฤหาสน์ในหวงเฉิงได้ ทองคำจำนวนสามเท่านั้น ผู้ใดได้ไปเกรงว่าจะได้มีชีวิตที่มั่งคั่งไปอีกสิบปี สำหรับครอบครัวยากจนแล้ว ถือเป็นโชคลาภมหาศาลอย่างแน่นอน! แต่ซูชิงอู่เป็นคนขาดเงินเช่นนั้นหรือ? นางไม่ใช่…… ร้านขายยาตระกูลฟางที่นางถืออยู่ในมือทำกำไรได้มากที่สุดในเมืองหลวง และยังมีสินเดิมหลายแสนตำลึงที่นางเพิ่งได้รับจากจวนอัครเสนาบดี แม้จะพูดไม่ได้ว่าร่ำรวยเท่าที่สุดในแคว้น แต่นางก็เป็นหนึ่งในสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในหวงเฉิง เพียงแต่ไม่มีเหตุผลใดที่นางจะไม่รับทองคำที่ได้มาฟรี ๆ เท่านั้นเอง ซูชิงอู่ลังเลและหวั่นไหวมาก จากนั้นนางก็พูดว่า “เป็นเกียรติของกระหม่อมยิ่งนักที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับสามัญชน แต่กระหม่อมมีคำขอพ่ะย่ะค่ะ” เย่อวิ๋นถูเลิกคิ้ว “คำขออะไร?” “มอบทองให้กระหม่อมก่อนได้ไหม?” เย่อวิ๋นถู “...” อวิ๋นเซียงหรู “...” อวิ๋นเซียงหรูคิดไม่ถึงว่าเพื่อนที่เขาเพิ่งรู้จักจะรักเงินมากขนาดนี้ เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ และดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ซูชิงอู่สังเกตเห็นว่าเขาไม่พอใจ แ
ใบหน้าหล่อเหลาของอวิ๋นเซียงหรูยิ่งซีดลง หากเขาถูกคนเหล่านี้พาตัวไป เกรงว่าเขาจะไม่สามารถออกมาได้อีก จู่ ๆ คนสองสามคนก็บุกเข้ามาจากข้างนอก แม้ว่าคนเหล่านั้นจะสวมชุดธรรมดาแต่กลับมีอาวุธติดตัว สีหน้าของเย่อวิ๋นถูเย็นชาและเคร่งขรึม เขาไม่มีความอดทนเลยแม่แต่นิด “เอาตัวไป!”มือและเท้าของอวิ๋นเซียงหรูเย็นเฉียบและมีเหงื่อไหลออกมาบนหน้าผากของเขา แต่เขาทำได้เพียงหลับตาด้วยความสิ้นหวังรอถูกจับ ท้ายที่สุดแล้ว เขาเป็นเพียงบัณฑิตที่อ่อนแอไม่สามารถต้านทานผู้มีอำนาจได้ แต่พฤติกรรมเช่นนี้ขององค์ชายสามแสดงให้เห็นว่าเมื่อสิ่งใดที่ตนไม่ได้มาครองก็ขอทำลายมันทิ้งเสียแขนของเขาถูกรัดไว้แน่น ทำให้อวิ๋นเซียงหรูไม่สามารถขยับได้ ความเกลียดชังลึก ๆ นี้แวบขึ้นมาในแววตาของเขา นิ้วพลันประสานเข้ากับฝ่ามือ เย่อวิ๋นถูเดินเข้ามาเขาด้วยสีหน้าเย็นชา เขามองบัณฑิตรูปงามที่โดนจับกดจนตัวโค้งงอ ดวงตาเรียวของเขาหรี่ลงเล็กน้อย และเขาก็เยาะเย้ยอย่างเหยียดหยาม “อย่าลืมว่านี่คือเมืองหลวง เจ้าควรรู้ว่าไม้ซีกไม่อาจงัดไม้ซุง เอามันออกไป!” “ช้าก่อน!” จู่ ๆ เย่อวิ๋นถูก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง ก่อนที่เขาจะทันได้โต
อวิ๋นเซียงหรูเม้มริมฝีปาก กัดฟันเขียนว่า ‘องค์ชายค้นพบความจริงแล้ว มีวิธีแก้ไขหรือไม่?’ ซูชิงอู่ขยับปลายนิ้วของนางเบา ๆ ‘มี’ “ดี ข้าตกลง!” ตอนนี้อวิ๋นเซียงหรูสิ้นหวังแล้ว แม้ว่าเขาจะซื่อตรง แต่เขากลับต้องพลิกแพลง เมื่อเผชิญกับความตาย ตอนนี้ซูชิงอู่ได้มอบหนทางอื่นในการเอาชีวิตรอดให้เขาแล้ว ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตามมันก็คุ้มที่จะลอง ประตูเปิดออก ซูชิงอู่พาอวิ๋นเซียงหรูไปหาเย่อวิ๋นถูทันที “องค์ชาย หลังจากการโน้มน้าวใจจากกระหม่อม คุณชายอวิ๋นตกลงที่จะยอมจำนนต่อท่านแล้ว” อวิ๋นเซียงหรูพลันคุกเข่าลงบนพื้นและทำความเคารพเย่อวิ๋นถู “กระหม่อมคำนับองค์ชายสาม” เย่อวิ๋นถูไม่คิดว่าซูชิงอู่จะสามารถโน้มน้าวอวิ๋นเซียงหรูได้รวดเร็วขนาดนี้ เขาจึงก็อดไม่ได้ที่จะมองนางด้วยท่าทางพึงพอใจมากขึ้น องครักษ์ที่แอบฟังการสนทนาอยู่ข้างในก็พยักหน้าให้เย่อวิ๋นถูเช่นกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าสิ่งที่ซูชิงอู่พูดนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ การแสดงออกของเย่อวิ๋นถูดูผ่อนคลายมาก “เจ้ารู้จักสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร เนื่องจากเจ้าตั้งใจยอมจำนน ข้าก็จะให้โอกาสเจ้า” อวิ๋นเซียงหรูกล่าว “ขอบพระทัยองค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ” จู่ ๆ
ด้านนอกหอจวี๋เสียนมีกองทหารต้องห้ามมากมาย พวกเขาล้วนมีใบหน้าที่เคร่งขรึม แต่งกายด้วยชุดเกราะอย่างประณีตและถืออาวุธ หอจวี๋เสียนรายล้อมไปด้วยผู้คน ผู้คนข้างในที่กำลังดื่มและท่องบทกวีต่างพากันตื่นตระหนก “เรามาจับพวกกบฏตามคำสั่งของท่านอ๋อง ทุกท่านโปรดอยู่กับที่ อย่าขยับ!” เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ เหล่าบัณฑิตที่อยู่ชั้นหนึ่งต่างหมอบลงอย่างเชื่อฟัง พวกเขาเงียบกริบแต่ร่างสั่นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าทุกคนอยู่กับที่ แม่ทัพก็หันกลับมาคำนับชายร่างสูงที่อยู่บนหลังม้า “รายงานท่านอ๋อง ขณะนี้ทุกคนอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว” เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพลิกตัวและลงจากหลังม้า เขายังคงเดินกะเผลกอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าขาของเขาจะหายดีแล้ว แต่เย่เสวียนถิงก็ไม่ได้ความตั้งใจจะเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ ความลับของขานี้จะกลายเป็นหนึ่งในไพ่เด็ดของเขา เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่ประตูหอจวี๋เสียน ดวงตาแหลมคมเหล่านั้นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเย็นชา “ทหาร จับกุมทุกคนในหอจวี๋เสียนเป็นการชั่วคราว ข้าจะสอบปากคำพวกเขาเป็นการส่วนตัว” “พ่ะย่ะค่ะ!” แม่ทัพโบกมือ และทหารที่อยู่ข้างหลังเขาก็บุกออกเป็นสอง
กลุ่มกบฏหน้าถอดสีเช่นกัน เมื่อมองไปที่ดวงตาของเย่เสวียนถิงก็มีความไม่แน่ใจเล็กน้อย แม่ทัพกลุ่มกบฏกล่าวอีกครั้ง “เจ้าเห็นชัดเจนแล้วว่านี่คือองค์ชายสาม หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา เกรงว่าท่านอ๋องต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมา!” เย่เสวียนถิงอยู่ที่นี่ น้ำเสียงของเขาไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย ดวงตาอันเฉียบคมของเขากวาดไปทั่วใบหน้าของเย่อวิ๋นถู “องค์ชายสามถูกฮ่องเต้สั่งกักบริเวณเป็นเวลาสามเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากตำหนัก เขาต้องอยู่ในตำหนัก ไม่ใช่ที่นี่ ฉะนั้น... สังหารเขาอย่างไร้ปรานี!” “พ่ะย่ะค่ะ!” แม่ทัพเล็กรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งไปข้างหน้า คนเหล่านั้นไม่คาดคิดว่าเย่เสวียนถิงจะไม่สนใจชีวิตของเย่อวิ๋นถูเลย จิตใจของพวกเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะ โดยไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไร ดวงตาของแม่ทัพกบฏเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาออกแรงดาบยาวในมือและกำลังจะสังหารทุกสิ่ง... “หยุด!” ทันใดนั้น คนในฝูงชนด้านล่างก็ตะโกนทันที! การเคลื่อนไหวของทุกคนหยุดชั่วขณะเพราะเสียงนี้ เสียงนั้นรีบกล่าวว่า “พวกข้ารู้จักองค์ชายสามและสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาคือองค์ชายสามหรือไม่ หากท่านอ๋องปล่อยให้องค์ชาย