การบรรเทาพิบัติภัยในเมืองเจียงหนานเร่งด่วนมาก เซี่ยซางจึงเรียกเจียงจิ่นเหยียนให้เดินทางไปด้วยกัน ภายในเมืองหลวงเซิ่งจิ่งยังคงมีงานรื่นเริงครึกครื้นเหมือนเคย ร้องรำทำเพลงสนุกสนาน ผู้คนควรจะใช้ชีวิตอย่างไรก็ใช้ชีวิตไปตามปกติเช่นนั้น หนึ่งเดินต่อมา วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่เจ็ดสิบของท่านจางกั๋วกงพอดี ของขวัญอวยพรจากกรมวังก็ส่งมาถึงจวนจางกั๋วกงตั้งแต่เช้าตรู่ ขุนนางและตระกูลผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในเมืองเซิ่งจิ่งต่างรู้จักสังเกตท่าที เห็นในวังหลวงส่งของขวัญอวยพรมาให้ ทุกคนก็พากันหอบหิ้วของขวัญไปอวยพรถึงหน้าประตูจวน หลังจากเจียงฮูหยินฟื้นตัวก็รีบสั่งให้คนไปหารือกับเจียงเฟิ่งหัวเรื่องที่จะใช้โอกาสในวันคล้ายวันเกิดครบรอบปีที่เจ็ดสิบของจางกั๋วกงเพื่อสู่ขอสะใภ้จากสกุลจาง และจะได้ถือโอกาสอันดีในคราวนี้ปัดเป่าข่าวลือของสองคนให้หมดไป เจียงเฟิ่งหัวครุ่นคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านต้องคิดให้ดี หากต้องเดินทางไปสู่ขอสะใภ้จากสกุลจางในวันนี้จริง หากเกิดความผิดพลาดระหว่างทาง ผลลัพธ์อาจจะกลายเป็นตรงกันข้ามแทน” “แม่คิดดีแล้ว หากให้พวกเขาสมรสกันอย่างลับ ๆ นั่นก็เท่ากับตอกย้ำว่
ฮูหยินรองจางสอดสายตามองไปยังจีเฉินที่ท่วงท่าสง่างามผ่าเผย ก่อนจะถามขึ้นว่า “คุณชายท่านนี้คือผู้ใดกัน?” “เขาเป็นผู้น้อยที่ข้ายอมรับ รุ่นเดียวกับพวกหลาน ๆ ในสกุลซูของข้า ข้าจึงฉวยโอกาสอ้างความอาวุโสให้เขาเรียกตัวข้าว่าท่านย่าสักคำ และที่เขามาเมืองหลวงก็เพื่อเตรียมตัวสอบคัดเลือกขุนนางช่วงฤดูใบไม้ผลิ ข้าจึงพาเขามาเปิดหูเปิดตาสัมผัสความองอาจของจางกั๋วกงสักครั้ง” “ช่างเป็นหนุ่มรูปงามสง่าผ่าเผยเสียจริง มาสอบคัดเลือกขุนนางอย่างนั้นหรือ จะต้องมีความรู้มากแน่ๆ” จีเฉินรีบละสายตาจากเจียงเฟิ่งหัว ก่อนจะทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยนามว่าจีเฉิน คารวะฮูหยินขอรับ” “ไม่ต้องมากพิธี รีบเข้าไปด้านในเถิด! ผู้มาเยือนวันนี้เป็นบัณฑิตก็มาก ล้วนเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางฤดูใบไม้ผลิทั้งสิ้น ประเดี๋ยวพวกเจ้าพูดคุยสนทนากันให้เต็มที่เถิด ปัญญาชนควรอยู่ด้วยกันให้มาก ถกปัญหาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้” ขณะที่เดินผ่านข้างกายเฝิงจิ้งย่วนไป ฮูหยินผู้เฒ่าซูปรายสายตามองนางอย่างลุ่มลึก “เจียงฮูหยินสบายดีหรือ!” เฝิงจิ้งย่วนสีหน้าเรียบเฉย มิได้ถ่อมตัวและมิได้แข็งกร้าว “ฮูหยินผู้เฒ่าซูสบายดี” “ฟังว่าเจียงฮูหยินร
เอ่ยถึงอวิ๋นฟาง ไฟโทสะในแววตาของจีเฉินพลันปะทุขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มุ่งหวังเพียงจะปีนป่ายให้ได้ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ ทว่าบัดนี้กลับเปลี่ยนใจมาพัวพันกับเขาแทน บอกว่านางเสียตัวให้เขาแล้วกลายเป็นคนของเขาแล้ว มิวายยังบอกอีกว่าเหิงอ๋องออกหน้าทวงความยุติธรรมให้นางบัดนี้นางเป็นภรรยาของเขาไปแล้วอีก อวิ๋นฟางถึงกับวิ่งไปร่ำไห้ฟูมฟายร้องทุกข์ต่อเบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซู จนสุดท้ายนางก็กลายเป็นคนของสกุลซูไป อีกทั้งยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซูต้องการผลักดันให้เขาเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ เขาจึงต้องรับอวิ๋นฟางเป็นภรรยาอย่างจนใจ บัดนี้เขาไม่กล้าล่วงเกินเจียงเฟิ่งหัว ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนบงการเรื่องระหว่างเขากับอวิ๋นฟางอย่างแนบเนียนไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และจับจุดอ่อนของพวกเขาเอาไว้อยู่หมัด ไม่รอให้จีเฉินเอ่ยปาก สีหน้าของฮูหยินรองจางก็ไม่สู้ดีแล้ว ที่แท้ก็สมรสแล้วหรือ มิหนำซ้ำคู่สมรสยังเป็นสาวใช้ของจวนเหิงอ๋องอีก ฮูหยินรองจางเอ่ยขึ้น “ฮูหยินผู้เฒ่าซูเชิญเถิด” ฮูหยินรองจางถือโอกาสนี้ค้อมกายให้เจียงเฟิ่งหัวเล็กน้อย “พระชายา เจียงฮูหยินเองก็เชิญเข้าไปด้วยกันเถิด!” ท่าทางแสด
ฮูหยินรองจางมองจางอวี่มั่วปราดหนึ่ง และเดินมาข้างกายนาง พลางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “มั่วเอ๋อร์ ยังไม่รีบไปคุกเข่าคารวะอวยพรท่านปู่ของเจ้าอีกหรือ นั่งเซ่ออยู่ตรงนี้เพื่ออะไร” จางอวี่มั่วหันไปทักทายคนสกุลเจียงแล้ว มารดาเจียงก็เอ่ยว่า “ไปเถิด” นางรีบลุกไปหาจางกั๋วกงทันที ก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าจางกั๋วกงและโขกศีรษะคำนับเสียงดังสามครั้ง “อวี่มั่วอวยพรให้ท่านอายุยืน ขอให้ท่านปู่มีโชคลาภมากมายดุจทะเลตะวันออก อายุยืนยาวกว่าขุนเขาทางใต้” เป็นเด็กสาวที่จางกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจางเลี้ยงดูฟูมฟักจนเติบใหญ่มากับมือ พวกเขาย่อมรักและเอ็นดูเป็นที่สุด “รีบลุกขึ้นเถิด” จางอวี่มั่วเดินไปข้างกายจางกั๋วกง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงกระซิบ “ท่านปู่ วันนี้ท่านป้าเจียงก็มาร่วมยินดีด้วย นางอยากจะพบหน้าท่านและท่านย่าลำพังสักครั้งเจ้าค่ะ” จางกั๋วกงผงะไป เพราะมั่วเอ๋อร์พัวพันอยู่กับเจียงจิ่นเหยียนเอง บัดนี้จะต่อว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้แล้ว หากว่าเจียงจิ่นเหยียนไม่ยินยอมก็มิอาจบีบบังคับ เพราะเจียงจิ่นเหยียนมิได้เข้ามาสู่ขอ จางอวี่มั่วก็มิได้อธิบายความคิดของเข้าให้สองผู้เฒ่าสกุลจางเข้าใจ อีกทั้งยังออกเดินทางกะทันหัน
ฮูหยินรองจางเห็นจางอวี่มั่ววิ่งเข้าไปร้องไห้ในอ้อมกอดคนนอก ความโกรธขึ้งก็ปรากฏขึ้นในแววตา ทำอย่างกับว่าสกุลจางรังแกนางเสียอย่างนั้นนางกระชากจางอวี่มั่วออกมาจากอ้อมอกเฝิงจิ้งย่วน กล่าวอย่างกระแทกแดกดัน “เรื่องในบ้านสกุลจางของเราเจียงฮูหยินก็ไม่ต้องมาเป็นห่วงให้ลำบากหรอก อวี่มั่วไร้พ่อแม่ตั้งแต่เด็ก พวกข้าที่เป็นอาหญิงก็เห็นนางเป็นลูกสาวแท้ ๆ มาตลอด เรื่องตบแต่งของนางซึ่งเป็นเรื่องใหญ่พวกเราย่อมเป็นผู้ตัดสิน สกุลจางเราตกลงรับการสู่ขอของสกุลซูแล้ว อีกไม่นานมั่วเอ๋อร์กับแม่ทัพน้อยซูก็จะแต่งงานกันแล้ว”เฝิงจิ้งย่วนมองที่ฮูหยินผู้เฒ่าจาง กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านก็เห็นชอบกับการแต่งงานครั้งนี้ของอวี่มั่วหรือ?”ฮูหยินผู้เฒ่าจางมองจางกั๋วกงแวบหนึ่ง กล่าวเสียงหนักแน่น “เห็นชอบแล้ว มั่วเอ๋อร์ของบ้านเราก็ควรจะออกเรือนได้แล้ว”พวกเขารู้สึกว่าไม่ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือเหล่านี้ของจางอวี่มั่วกับเจียงจิ่นเหยียน ชื่อเสียงก็ย่อยยับเช่นนี้แล้ว สกุลเจียงก็ไม่มาสู่ขออย่างจริงใจ ตอนนี้สกุลเจียงก็มาขอพอดี ให้นางแต่งออกไปอยู่ไกล ๆ หน่อยเสียจะดีกว่า ไปชายแดน นางมีครอบครัวแล้วต่อไปก็จะม
ทะเลสาบลึกขนาดนี้ พอลงไปก็ไม่เห็นตัวคนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจางกับจางกั๋วกงกังวลจนเกือบเป็นลมล้มพับพวกผู้ชายยิ่งไม่กล้าลงน้ำไปช่วยคน ถึงอย่างไรจางอวี่มั่วก็ไม่เพียงข้องแวะกับคุณชายสกุลเจียง เพิ่งถอนหมั้นกับบ้านเจ้ากรมหลี่ ตอนนี้ยังหมั้นหมายกับแม่ทัพน้อยสกุลซูแล้วอีก ใครก็ไม่กล้าลงไปยุ่งเกี่ยวกับนางให้เกิดความคลุมเครืออีกแล้ว ร่างกายของหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนคนหนึ่งใครกันจะกล้าแตะต้องเจียงเฟิ่งหัวว่ายน้ำเป็น แต่ว่านางกำลังมีครรภ์ ยังไม่ต้องพูดถึงน้ำในทะเลสาบอันหนาวเย็นในช่วงฤดูนี้ กำลังกายของนางก็พยุงจางอวี่มั่วไม่ได้ ถึงเวลาทั้งสองคนจะสิ้นชีพกันพอดี “อ้าวเสวี่ย” นางกล่าวอ้าวเสวี่ยกอดกระบี่ไว้เฝ้าอยู่ข้างกายนาง ไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียวอ้าวเสวี่ยตัดสินใจว่า “หน้าที่ของข้าน้อยคือปกป้องพระชายา อีกอย่างข้าน้อยก็ว่ายน้ำไม่แข็งนัก น้ำในทะเลสาบในจวนสกุลจางนี้ไม่นิ่ง เกรงว่าจะเชื่อมต่อกับทะเลสาบด้านนอก ใครลงไปก็เกิดอันตรายได้ทั้งนั้น”จีเฉินคิดอยากจะลงไปช่วยคน หากช่วยขึ้นมาได้จริง เช่นนั้นแล้วแม่สาวน้อยคนสวยนี้ก็ไม่พ้นต้องแต่งกับเขา แต่หากเขาตายขึ้นมาก็ไม่คุ้ม เขาจึงเลือกที่จะถอย ความม
ทุกคนเห็นการกระทำของเขาแล้ว ก็ปิดตาด้วยความกระดากอาย “อย่าไปดูเรื่องไม่งาม จะตายแล้วจริง ๆ สินะ ฟื้นขึ้นมานางก็ไม่มีคนเอาแล้ว โดนแตะหน้าอกไปแล้วยังจูบปากอีกต่างหาก”“นานขนาดนี้แล้ว เกรงว่าจะช่วยไม่ได้แล้ว!”“ดูท่าคงตายแล้ว ช่างเป็นสาวงามที่ชะตาอาภัพจริงๆ!”“คุณชายใหญ่สกุลเจียงมาแส่หาเรื่องใส่ตัวทำไมกัน ชายที่หล่อเหลาสง่างามเช่นนี้ไปจูบคนตายคนหนึ่ง…”หลี่ฮูหยินเห็นว่าคนไม่ฟื้นขึ้นมา ก็พูดจาเสียดสีอยู่ข้าง ๆ “เฮ้อ ช่างดวงอาภัพเสียจริง ๆ ยังดีที่นางไม่ได้แต่งกับเฉิงเอ๋อร์ของเรา ไม่เช่นนั้นก็จะได้ซวยเข้าจริง ๆ”ฮูหยินรองจางก็ไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยจากใจจริง “นางคิดสั้นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน พ่อแม่นางก็อายุสั้นจากไปก่อนวัยอันควรแล้ว ตอนนี้นางยังมาเป็นเช่นนี้อีก ช่างเป็น…เด็กที่ทำให้กังวลจริง ๆ”ฮูหยินสี่จางก็ยืนดูเหตุการณ์อยู่ ตายหรือเป็นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกนาง พวกนางยังดูแลลูก ๆ ตัวเองไม่ไหว จะไปสนใจเด็กกำพร้าพ่อแม่คนหนึ่งได้อย่างไร ก็เพียงแค่แสดงทีท่าพอเป็นพิธีเท่านั้นเจียงฮูหยินก็ไม่กล้าเอ่ยปากง่าย ๆ กลัวเป็นอย่างยิ่งว่าหากเกิดเรื่องแล้วจะโทษลูกชายนาง แต่นางก็ทนฟังคนเหล่านี้วิพากษ์วิจา
รอบข้างมีคนยืนเต็มไปหมด ล้วนจ้องพวกเขาตาไม่กะพริบ ไม่กล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียวเจียงเฟิ่งหัวก็ดีใจจนเกือบร้องไห้ จางอวี่มั่วกดดันมากจริง ๆ นางก็แทบฟื้นกลับสู่สภาพปกติไม่ได้ มีเพียงคนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาเท่านั้นจึงจะรู้ว่าชีวิตมีค่าเพียงใดเจียงหรูเมิ่งก็คุกเข่าคอยช่วยพวกเขาอยู่ข้าง ๆ นางเป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา ก็เห็นว่าบนหลังเจียงจิ่นเหยียนเหมืองมีคราบเลือดซึมออกมา ตกใจจนตะโกนออกมา “พี่ใหญ่ บนหลังท่านมีคราบเลือดได้อย่างไร? ท่านได้รับบาดเจ็บหรือนี่”ขณะนี้เจียงจิ่นเหยียนก็เพิ่งรู้สึกว่าส่วนหลังเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย เขากล่าว “ไม่เป็นไร แผลเล็ก ๆ น้อย ๆ”“เลือดออกแล้ว ยังจะเป็นแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้อย่างไรกัน ต้องเป็นเมื่อครู่ตอนที่ท่านลงไปช่วยคุณหนูจางโดนน้ำเลยเลือดออกอีกแน่ๆ” เจียงหรูเมิ่งกล่าวเวลานี้ จางอวี่มั่วเพิ่งหยุดร้องไห้ มองไปที่เจียงหรูเมิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็มองไปที่คนที่มุงอยู่รอบ ๆ อย่างหนาแน่น อีกทั้งท่านปู่ของนาง ท่านป้าเจียง อาสะใภ้รอง…“ข้ายังไม่ตาย…” นางพึมพำเจียงหรูเมิ่งแกะมือนางออก “ท่านยังไม่ตาย พี่ใหญ่ของข้ารีบมาช่วยท่านไว้”นางก็ให้สาวใช้ของตัว
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู