เจียงจิ่นเหยียนรีบอธิบายทันที “ออกเดินทางหนนี้ ไม่นานข้าก็กลับมาแล้ว จากนั้นก็จะไม่ไปอีกแล้ว หลังจากกลับมาข้าต้องเตรียมตัวสอบคัดเลือกขุนนางในฤดูใบไม้ผลิแล้ว” “คุณชายเจียงบัดนี้ดำรงตำแหน่งอยู่ในกรมคลัง ยังต้องร่วมการสอบเคอจวี่อีกหรือ?” จางอวี่มั่วรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ขณะทอดสายตามองบุปผาใบหน้าในสวนเติบโตอย่างสดใสงดงาม ท่าทางดูมีชีวิตชีวา มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าได้รับการดูแลด้วยความตั้งใจ “ถูกต้องแล้ว ตำแหน่งในกรมคลังก็ไม่มีหน้าที่อะไรให้ทำมากนัก แค่จัดระเบียบสมุดบัญชีต่างๆ” สิ่งสำคัญคือไม่ได้รับความสนใจต่างหาก มิหนำซ้ำยังถูกคนครหาว่าไม่มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง อาศัยเส้นสายขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ยิ่งไปกว่านั้นโอกาสก้าวหน้าในอนาคตก็มิได้ยิ่งใหญ่อะไร หากว่าเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ก็อีกเรื่อง จางอวี่มั่วยิ้มพลางเอ่ย “ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องสอบผ่านแน่นอน” เขายอมคุยเรื่องนี้กับนางได้ นางก็ดีใจมากแล้ว อย่างน้อยก็แสดงว่าระหว่างพวกเขามีเรื่องให้คุยกันได้ เจียงจิ่นเหยียนผุดยิ้ม เขาไม่กล้าถือดี ขณะเดียวกันก็มิได้ดูแคลนตนเอง ท่าทางดูแล้วมั่นใจเต็มเปี่ยม สองคนพูดคุยกันหัวเราะให้กัน ราวกั
ขณะนั้น สิงโตก็เริ่มกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริงอีกครั้ง นักเชิดสิงโตกระโจนขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ฝีมือยอดเยี่ยมเป็นเลิศ กล้าหาญไร้ใดเปรียบ การแสดงเชิดสิงโตอันงดงามตระการตาของทั้งสองตัวช่วยเพิ่มสีสันและความครึกครื้นให้กับงานเลี้ยงวันเกิดไม่น้อย ทำให้แขกเหรื่อพากันส่งเสียงเกรียวกราวโห่ร้อง เสียงปรบมือดังขึ้นไม่หยุด ทันใดนั้น หนึ่งในนักเชิดสิงโตก็ถอดหัวสิงโตออกเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา ทุกคนจึงเห็นว่าคนที่มอบแหวนให้เมื่อครู่นี้ก็คือเหิงอ๋อง ผู้คนต่างพากันกลั้นหายใจด้วยความตื่นตะลึง พลางคิดว่าเขายังคงท่วงท่าสง่างามดังเคย โดดเด่นยอดเยี่ยมเป็นที่สุด เห็นเซี่ยซางส่งหัวสิงโตให้บ่าวรับใช้ของเขา จากนั้นก็กระโจนตัวไปเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว พร้อมกับเผยรอยยิ้มบางที่แฝงด้วยเสน่ห์อันยากจะต้านทานให้นาง “หรวนหร่วน พอใจกับของขวัญวันเกิดที่ข้ามอบให้เจ้าหรือไม่” เหงื่อเท่าเม็ดถั่วผุดขึ้นทั่วหน้าผากของเขา ทว่ารอยยิ้มกลับผลิบานเต็มใบหน้า นัยน์ตาสีดำสนิทดังหินเฮยเย่าจดจ้องที่ใบหน้าของนางอย่างแน่วแน่ ราวกับว่าสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ไม่สำคัญเท่าสตรีตรงหน้าเขา เจียงเฟิ่งหัวใจสั่นไหว นางคิดไม่ถึงเลยว่าเซี่
งานเลี้ยงวันเกิดดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว หมัวมัวที่กำลังปรนนิบัติรับใช้เฝิงจิ้งย่วนอยู่พลันร้องอุทานออกมา “ฮูหยิน เป็นอะไรไปเจ้าคะ? ใครก็ได้ ฮูหยินหมดสติไปแล้ว” เห็นเฝิงจิ้งย่วนพลันหมดสติล้มลงกับพื้น อ้าวเสวี่ยเห็นดังนั้นก็ก้าวขึ้นไปอย่างไม่รอช้าจับชีพจรของนางทันที แววตาของนางฉายประกายเยือกเย็นออกมา “ถูกยาพิษแล้ว” เห็นอ้าวเสวี่ยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางชิดกันและกดลงไปอย่างรุนแรงบริเวณจุดใต้ลำคอและทรวงอกของเฝิงจิ้งย่วน เสี้ยวพริบตาถัดมาก็พ่นโลหิตสีดำคำใหญ่ออกมาจากลำคอของนาง เฝิงจิ้งย่วนเองก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง อ้าวเสวี่ยหยิบโอสถลูกกลอนเม็ดหนึ่งจากขวดโอสถที่พกติดตัวป้อนใส่ปากเฝิงจิ้งย่วน จากนั้นก็จับชีพจรให้นางอีกครั้ง “นี่คือลูกกลอนถอนพิษ เคราะห์ดีที่พิษเพิ่งออกฤทธิ์ ยังไม่เข้าสู่ปอด” เจียงหวยซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งสำหรับบุรุษเข้ามาถึงเป็นคนแรก เซี่ยซางตอบสนองอย่างรวดเร็ว สั่งการด้วยเสียงเข้มทันที “ปิดล้อมจวนสกุลเจียงไว้ ตรวจสอบแขกทุกคนที่เข้ามาในจวนวันนี้” ทุกคนในโถงต่างตกตะลึงอึ้งงัน ไฉนงานเลี้ยงวันเกิดที่ควรจะราบรื่นเป็นมงคลกลับทำให้เจียงฮูหยินถูกวางยาพิษ ชั่วขณะเดียวทุกคนในจว
เจียงเฟิ่งหัวน้ำตาคลอเบ้า เพื่อลูกนางพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้ “อืม หรวนหร่วนเข้าใจแล้วเพคะ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต หรวนหร่วนก็จะปกป้องลูกของพวกเราให้ดี หม่อมฉันเพียงแค่กังวลท่านแม่รอดพ้นเคราะห์ร้ายครั้งนี้ไปได้ แต่ครั้งหน้า แค่คิดก็รู้สึกครั่นคร้ามแล้วเพคะ” “มีข้าอยู่ ไม่มีใครกล้าทำร้ายครอบครัวของหรวนหร่วน พวกเขาก็เป็นคนในครอบครัวของข้าเช่นกัน” เซี่ยซางเอ่ยด้วยเสียงขรึม: “และยิ่งไม่มีใครกล้าทำร้ายเจ้าและลูกของเราด้วย” แววตาของเขาฉายประกายโหดเหี้ยมอำมหิต ทำให้สั่นสะท้านหวาดหวั่น เขารู้ดีมารดาเจียงเป็นคนดีมาก ใครกันที่คิดจะทำร้ายนาง สกุลเจียงเป็นสกุลที่ดำรงซึ่งความซื่อสัตย์มาตลอด ไม่เคยผูกพยาบาทเป็นศัตรูกับผู้ใด ดังนั้นคนที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายเกรงว่าจะไม่ใช่เจียงฮูหยิน ในใจของเซี่ยซางคาดเดาว่าอาจจะเป็นฝีมือของคนสกุลซู หากว่าสกุลซูกล้าลงมือทำร้ายเจียงเฟิ่งหัวจริง เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าเขาไม่ไว้หน้าแม่ทัพซูแล้วกัน วันนี้ยิ่งคนมากสายตายิ่งมาก ยากต่อการสืบความจริง ไม่มีหลักฐานเขาก็ไม่กล้ากล่าวหาอย่างบุ่มบ่าม คนอื่นล้วนปลอดภัยดี มีเพียงมารดาเจียงเท่านั้นที่ถูกวางยาพิษ
เจียงจิ่นเหยียนผงะไป “นาง นางดีมาก เป็นตัวเลือกภรรยาที่ไม่เลวคนหนึ่ง พวกข้าคุยกันถูกคอ และถูกชะตากันมากทีเดียว” อย่างน้อยเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกันก็มิใช่ปัญหา เจียงเฟิ่งหัวรู้ว่าเขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ทว่าคู่สามีภรรยาก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? จะมีสามีภรรยาสักกี่คู่กันที่ได้อยู่ด้วยกันเพราะความรัก แต่สุดท้ายจะคู่ไหนล้วนจำเป็นต้องอาศัยการดูแลในภายหลังอยู่ดี สตรีที่มีความกล้าหาญไล่ตามความรักเหมือนจางอวี่มั่วมีน้อยมาก พี่ใหญ่คงพอจะรู้สึกชมชอบนางได้กระมัง นางเอ่ยขึ้น “หวังว่าจะได้ดื่มสุรามงคลของพวกท่านในเร็ววัน” “อืม ข้าจะเชิญมารดาไปพูดคุยสู่ขอสะใภ้ที่จวนสกุลจาง” เขาเอ่ย จางอวี่มั่วหลบอยู่ด้านนอกประตูได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเข้าโดยบังเอิญ ในที่สุดความปรารถนาของนางก็เป็นจริงแล้ว ดีใจจนแทบจะตะโกนส่งเสียงออกมา เพียงแต่อิ๋งเอ๋อร์ที่เขาพูดถึงคือใครกัน? นางพลันหดหู่ใจทันที ที่แท้ในใจของเขาก็มีใครบางคนอยู่ก่อนแล้ว อะไรคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน? “ยังไม่กลับอีกหรือ?” เจียงจิ่นเหยียนพลันปรากฏเบื้องหน้านาง จางอวี่มั่วสีหน้ากระอักกระอ่วน พูดติดขัด “ขะ…ข้าก็แค่ยังเป็นห่ว
จ้องมองเงาแผ่นหลังของเจียงเฟิ่งหัวที่เดินจากไป จางอวี่มั่วหน้าแดงเป็นผลพลับสุกปลั่ง นางอาศัยจังหวะที่หยาดน้ำตาบนขอบตาเอ่อล้นออกมาโผเข้าสู่อ้อมกอดของเจียงจิ่นเหยียนพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา เจียงจิ่นเหยียนไม่เคยมีประสบการณ์รับมือกับน้ำตาของสตรีมาก่อน เขานิ่งเหมือนเสาแข็งทื่อปล่อยให้จางอวี่มั่วกอดและร้องไห้ตามสบาย พลางคิดในใจ คงต้องคอยให้นางร้องไห้จนพอกระมัง เมื่อร้องไห้จนพอใจแล้วนางก็จะหยุดร้องเอง! จางอวี่มั่วก็สบโอกาสนี้เลื่อนมือขึ้นโอบรัดเอวของเขาไว้ ถึงอย่างไรก็จะแต่งงานกันแล้ว ในที่สุดนางก็สมดังใจปรารถนาแล้ว ขอกอดให้มากกว่านี้อีกสักนิดเถิด เหลียนเย่เดินอยู่ข้างกายเจียงเฟิ่งหัวแอบหรี่ตามองกลับไปแวบหนึ่ง “กับเรื่องปลอบโยนแม่นางคุณชายใหญ่ช่างปราดเปรื่องยิ่งนักเพคะ รวดเร็วเพียงนี้ก็กอดกันแล้ว” เจียงเฟิ่งหัวเอ่ยในใจ นั่นไม่ใช่เพราะจางอวี่มั่วใจกล้าพอหรืออย่างไร บุรุษล้วนพึงใจสตรีที่รู้จักออดอ้อนทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับคนที่รูปโฉมงดงามแล้วยังชอบออดอ้อนตัวติดคนแบบนั้น จางอวี่มั่วมีหน้าตางามล้ำ มีความสามารถเพียบพร้อม สตรีลักษณะเช่นนี้บุรุษใดเล่าจะไม่ชมชอบบ้าง เพียงแต่ก่อนหน้านี้ท่านพี
การบรรเทาพิบัติภัยในเมืองเจียงหนานเร่งด่วนมาก เซี่ยซางจึงเรียกเจียงจิ่นเหยียนให้เดินทางไปด้วยกัน ภายในเมืองหลวงเซิ่งจิ่งยังคงมีงานรื่นเริงครึกครื้นเหมือนเคย ร้องรำทำเพลงสนุกสนาน ผู้คนควรจะใช้ชีวิตอย่างไรก็ใช้ชีวิตไปตามปกติเช่นนั้น หนึ่งเดินต่อมา วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่เจ็ดสิบของท่านจางกั๋วกงพอดี ของขวัญอวยพรจากกรมวังก็ส่งมาถึงจวนจางกั๋วกงตั้งแต่เช้าตรู่ ขุนนางและตระกูลผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในเมืองเซิ่งจิ่งต่างรู้จักสังเกตท่าที เห็นในวังหลวงส่งของขวัญอวยพรมาให้ ทุกคนก็พากันหอบหิ้วของขวัญไปอวยพรถึงหน้าประตูจวน หลังจากเจียงฮูหยินฟื้นตัวก็รีบสั่งให้คนไปหารือกับเจียงเฟิ่งหัวเรื่องที่จะใช้โอกาสในวันคล้ายวันเกิดครบรอบปีที่เจ็ดสิบของจางกั๋วกงเพื่อสู่ขอสะใภ้จากสกุลจาง และจะได้ถือโอกาสอันดีในคราวนี้ปัดเป่าข่าวลือของสองคนให้หมดไป เจียงเฟิ่งหัวครุ่นคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านต้องคิดให้ดี หากต้องเดินทางไปสู่ขอสะใภ้จากสกุลจางในวันนี้จริง หากเกิดความผิดพลาดระหว่างทาง ผลลัพธ์อาจจะกลายเป็นตรงกันข้ามแทน” “แม่คิดดีแล้ว หากให้พวกเขาสมรสกันอย่างลับ ๆ นั่นก็เท่ากับตอกย้ำว่
ฮูหยินรองจางสอดสายตามองไปยังจีเฉินที่ท่วงท่าสง่างามผ่าเผย ก่อนจะถามขึ้นว่า “คุณชายท่านนี้คือผู้ใดกัน?” “เขาเป็นผู้น้อยที่ข้ายอมรับ รุ่นเดียวกับพวกหลาน ๆ ในสกุลซูของข้า ข้าจึงฉวยโอกาสอ้างความอาวุโสให้เขาเรียกตัวข้าว่าท่านย่าสักคำ และที่เขามาเมืองหลวงก็เพื่อเตรียมตัวสอบคัดเลือกขุนนางช่วงฤดูใบไม้ผลิ ข้าจึงพาเขามาเปิดหูเปิดตาสัมผัสความองอาจของจางกั๋วกงสักครั้ง” “ช่างเป็นหนุ่มรูปงามสง่าผ่าเผยเสียจริง มาสอบคัดเลือกขุนนางอย่างนั้นหรือ จะต้องมีความรู้มากแน่ๆ” จีเฉินรีบละสายตาจากเจียงเฟิ่งหัว ก่อนจะทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยนามว่าจีเฉิน คารวะฮูหยินขอรับ” “ไม่ต้องมากพิธี รีบเข้าไปด้านในเถิด! ผู้มาเยือนวันนี้เป็นบัณฑิตก็มาก ล้วนเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางฤดูใบไม้ผลิทั้งสิ้น ประเดี๋ยวพวกเจ้าพูดคุยสนทนากันให้เต็มที่เถิด ปัญญาชนควรอยู่ด้วยกันให้มาก ถกปัญหาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้” ขณะที่เดินผ่านข้างกายเฝิงจิ้งย่วนไป ฮูหยินผู้เฒ่าซูปรายสายตามองนางอย่างลุ่มลึก “เจียงฮูหยินสบายดีหรือ!” เฝิงจิ้งย่วนสีหน้าเรียบเฉย มิได้ถ่อมตัวและมิได้แข็งกร้าว “ฮูหยินผู้เฒ่าซูสบายดี” “ฟังว่าเจียงฮูหยินร
นางเดินไปที่เบื้องหน้าของหัวหน้ากองหยางและรองผู้ว่าจาง แล้วกล่าวเสียงหนักว่า “ใต้เท้าหยางและใต้เท้าจาง มือสังหารที่มาลอบสังหารข้าล้วนถูกจับหมดแล้ว รบกวนพวกท่านทั้งสองตรวจสอบว่าเป็นผู้ใดบงการให้พวกเขามาลอบสังหารข้า สกุลจางเกิดเพลิงไหม้ ท่านกั๋วกงและฮูหยินล้วนถูกสังหาร ทำให้ผู้คนโศกเศร้ายิ่งนัก ขอใต้เท้าโปรดตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อมอบคำอธิบายให้ท่านกั๋วกงและฮูหยินด้วย”จางอันอวี่ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเหิงอ๋องเช่นกัน ยามนี้เหิงอ๋องนำทัพไปออกศึก พวกเขาย่อมรักษาเขตเมืองหลวงให้ท่านอ๋องเป็นอย่างดี ใต้เท้าจางกล่าวด้วยความเคารพว่า “พระชายาโปรดวางพระทัย ผู้น้อยจะจัดการอย่างเข้มงวดพ่ะย่ะค่ะ”อ้าวเสวี่ยมาที่เบื้องหน้าของเจียงเฟิ่งหัวอย่างเร่งร้อน “ทูลพระชายา มือสังหารเสียชีวิตหมดแล้วเพคะ เป็นการตายจากพิษกำเริบ หัวหน้าหน่วยเย่อิ่งตรวจสอบแล้วเพคะ พวกมันไม่ใช่มือสังหารแต่เป็นหน่วยกล้าตายเพคะ”“จะพิษกำเริบได้อย่างไร?” จางอันอวี่สงสัยหยางเจิ้งก็กล่าวเสริมอีกประโยค “ฆ่าคนปิดปากน่ะสิ”หัวคิ้วของเจียงเฟิ่งหัวขมวดแน่น นางถามว่า “หน่วยกล้าตายคือสิ่งใด?” เจียงเฟิ่งหัวยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามือสังหารกับ
สกุลจางเกิดเรื่อง จางอวี่มั่วกับราชครูเจียงและฮูหยินเจียงล้วนพากันมาแล้วในเวลานี้ สกุลจางโกลาหลไปหมด ฤๅสวรรค์คงได้ยินเสียงร้องไห้ครวญคร่ำของจางอวี่มั่วที่ดังสะเทือนเลือนลั่นไปถึงฟ้า จึงได้ส่งสายพิรุณลงมาดับอัคคีภัยครั้งใหญ่ของจวนสกุลจางสุดท้าย ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลจางก็รอเจอหน้าจางอวี่มั่วเป็นครั้งสุดท้ายไม่ไหว เจียงเฟิ่งหัวยังจำได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าฝืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายกุมมือนางไว้ “สาวน้อย บอกมั่วเอ๋อร์อย่าได้เสียใจ ปกป้องนางด้วย ขอบคุณ…”จางอวี่มั่วมองศพของสองผู้เฒ่าสกุลจาง นางร้องไห้จนสลบไปแล้ว เจียงฮูหยินรีบตระกองนางไว้ในอ้อมแขนสกุลจางเกิดคดีฆาตกรรม คนของเขตเมืองหลวงและกองกำลังรักษาความปลอดภัยนครบาลล้วนมากันหมด เมื่อจับตัวฮูหยินรองสกุลจางได้นางก็มิได้ตื่นตระหนก แต่สารภาพทันทีว่านางเป็นผู้วางเพลิง และเหตุผลก็เป็นเพราะสกุลจางหย่าขาดนางเมื่อเจียงเฟิ่งหัวเห็นสภาพที่อันน่าอนาถภายใน นางก็โมโหจนแทบเสียสติ แต่นางรู้ว่าตอนนี้ไม่ว่าใครก็สามารถไร้สติได้ มีเพียงนางที่ไม่ได้ เพราะคนร้ายตัวจริงที่ชักนำและบงการให้เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนี้กำลังคุกเข่าอยู่ในลาน นางจะส่งมันไปลงนรกอเวจีขุมที่สิบแ
เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมิใช่เจียงเฟิ่งหัว เมื่อเข้ามาใกล้แล้วเห็นหน้านางชัดเขาถึงได้รู้ว่านางเป็นใคร ผู้ดูแลหลินของหอเซียงหย่า สตรีที่ทั้งมากรักและไม่สำรวม นางถึงกับเป็นวรยุทธ์เขาไม่คาดว่า ด้วยความสัมพันธ์ของนางกับสกุลจาง ทั้งที่สกุลจางเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้และเจียงเฟิ่งหัวก็มาถึงสกุลจางแล้ว นางยังจะหาคนมาปลอมแปลงเป็นนางได้อีกเรื่องราวถูกเปิดโปง จีเฉินอดทนต่อความเจ็บปวดที่มือคิดจะฉวยโอกาสหนีไปในความวุ่นวาย แต่หลินอวี่จะมอบโอกาสให้เขาได้อย่างไร จึงถีบหลังของเขาจนล้มหน้าคะมำจีเฉินสวมหมวกปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง ฟ้าก็มืดแล้วหลินอวี่จึงจำหน้าเขาไม่ได้ นางกล่าวว่า “ให้มารดาดูหน่อยเถอะว่าเป็นเศษสวะตัวใดที่คิดทำร้ายคนกัน”จีเฉินที่นอนหมอบอยู่บนพื้นพลิกมือคิดจะจับมือของหลินอวี่ไว้ ทว่าอ้าวเสวี่ยที่เหินกายมาอย่างกะทันหันเหยียบตัวเขาไว้ ประกายดาบในมือตวัดขึ้น ครั้งก่อนนางก็คิดจะจัดการมันแล้ว แต่ปล่อยให้มันหนีไปได้ทว่าเจียงเฟิ่งหัวเอ่ยห้าม “อ้าวเสวี่ย รอก่อน” หากเขาวางเพลิงเผาจวนสกุลจาง จนเป็นเหตุให้จางกั๋วกงและฮูหยินของจางกั๋วกงเสียชีวิตจริงๆ เขายังต้องมอบคำชี้แจงให้สกุลจาง กระทั่งยั
นางหันไปถามอ้าวเสวี่ยอีกครั้งว่า “เจ้าสามารถติดต่อองครักษ์คนอื่นของจวนอ๋องได้หรือไม่?” ตอนที่เซี่ยซางจากไป ได้ทิ้งคนไว้ให้นาง เพียงแต่นางอยู่ในวังมาตลอดจึงไม่ได้พบอ้าวเสวี่ยควักพลุสัญญาณชิ้นหนึ่งจากร่างโยนขึ้นไปบนฟ้า “เรียบร้อยแล้วเพคะ เมื่อพวกเขาเห็นสัญญาณก็จะตามมาเพคะ”รถม้าเพิ่งไปถึงหน้าจวนสกุลจาง ที่นี่ถูกชาวบ้านที่มาชมดูความวุ่นวายล้อมไว้จนแน่นขนัดไปหมด เมื่อเจียงเฟิ่งหัวเลิกม่านรถขึ้นมองออกไปด้านนอก สิ่งที่เห็นก็ทำให้รู้สึกตระหนกนัก สกุลจางเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ และเพลิงยังรุนแรงยิ่งด้วยนางจะมุดออกมาจากตัวรถแต่ถูกหลินอวี่ขวางไว้ “ครรภ์ของพระองค์ไม่สะดวกโปรดอย่าลงจากรถเลยเพคะ คนเยอะเกินไปหม่อมฉันเกรงว่าพระองค์จะถูกเบียด หม่อมฉันจะไปดูเองว่าที่แท้เกิดสิ่งใด กลับมาทูลแล้วค่อยทรงตัดสินใจก็ได้เพคะ”เจียงเฟิ่งหัวก็กังวลในเรื่องนี้เช่นกัน จึงพยักหน้า “ระวังหน่อย ให้ผู้คุ้มกันตามไปด้วยล่ะ”ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินอวี่ก็วิ่งหอบกลับมา “ได้ยินว่าไฟเริ่มไหม้มาจากเรือนของจางกั๋วกงเพคะ คฤหาสน์ของสกุลกว่าครึ่งถูกไหม้หมดแล้ว สกุลจางยังจับคนร้ายได้อีกด้วย เป็นฮูหยินรองของสกุลจางนั่นเองเพคะ”“จาง
เหลียนเย่กล่าวว่า “บ่าวก็คิดถึงอาหารของหอเซียงหย่าแล้วเช่นกันคะ”เจียงเฟิ่งหัวยิ้มน้อยๆ ว่า “อย่างนั้นก็ต้องให้ผู้ดูแลหลินสิ้นเปลืองแล้ว”เมื่อกินข้าวเสร็จและออกมาจากร้านอาหารฟ้าก็มืดแล้ว รถม้าของจวนอ๋องก็มาจอดอยู่หน้าร้านอาหารนานแล้วเช่นกัน อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ บนท้องถนนก็ไม่มีผู้คนนักหลินอวี่กล่าวว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว หม่อมฉันจะส่งพวกพระองค์กลับไป และให้ผู้คุ้มกันของหอตามไปด้วยเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวออกจากวังมาก็ตรงไปที่ศาลาการกุศลเลย นอกจากคนขับรถม้าของจวนอ๋อง ก็ไม่ได้พาองครักษ์อื่นมาอีก หลินอวี่จะส่งนาง นางจึงมิได้ปฏิเสธคนทั้งหลายสนทนาไปหัวเราะไปขณะขึ้นรถม้า เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า ที่ด้านหลังมีสายตาที่มืดหม่นและเยียบเย็นคู่หนึ่งกำลังจับจ้องอยู่ตลอด มุมปากของมันแสยะเป็นรอยยิ้มน่าเกลียด มั่นใจว่าครั้งนี้จะต้องวางแผนซ้อนแผนต่อเจียงเฟิ่งหัวได้แน่เพราะสายสัมพันธ์กับซูเซวี่ยน หลี่เฉิงกับจีเฉินจึงมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาเจ็บแล้วไม่จำ คิดเพียงจะแก้แค้นที่ถูกคนวางกับดักที่สกุลจางในวันนั้น แม้จีเฉินจะไม่มีหลักฐาน แต่สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือ นี่เป็นฝีมือของเจียงเฟิ่งหัวจางอวี่มั่วแต่งงาน
เจียงเฟิ่งหัวมอบหมายเรื่องนอกวังให้พระชายาอวี้อ๋อง อีกทั้งให้หงซิ่วไปแจ้งหลินอวี่ให้แอบช่วยพระชายาอวี้อ๋อง แล้วก็เตรียมตัวกลับวังเพิ่งถึงครึ่งทาง รถม้าของเจียงเฟิ่งหัวก็ถูกขวางทาง หลินอวี่ปรากฏตัวตรงหน้านาง กะพริบตาโต ๆ ใส่นาง “พระชายาในเมื่อออกมานอกวังแล้ว ก็ไม่เห็นบอกว่าจะไปเยี่ยมหม่อมฉันสักหน่อยเลยนะเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ได้พบกันนาน ผู้ดูแลหลินขึ้นรถสิ!”หลินอวี่ขึ้นรถม้าอย่างง่ายดาย แทรกตัวเข้าไปนั่งลงข้างเจียงเฟิ่งหัว เหลียนเย่กับอ้าวเสวี่ยก็นั่งอยู่ในรถม้า โชคดีที่รถม้าใหญ่พอ นั่งสี่คนก็ยังไม่รู้สึกว่าเบียดพวกนางไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือนแล้ว เพราะเรื่องกิจการ หลินอวี่ต้องออกเดินทางไกลไปเที่ยวหนึ่งถึงได้กลับมา นางมองไปทางอ้าวเสวี่ย รู้ว่านางน่าจะเป็นองครักษ์หญิงที่เหิงอ๋องส่งมาอารักขาข้างกายพระชายา หน้าตาดูสงบเสงี่ยมงดงามพอตัวที่จริงแล้วอ้าวเสวี่ยอายุมากกว่าหลินอวี่หนึ่งปีอีกด้วย แต่ว่าหลินอวี่เติบโตมาในหอนางโลมตั้งแต่เด็ก และยังประกอบกิจการมาตั้งหลายปี กระทำการใด ๆ จึงชำชาญมากกว่าพอสมควร แต่งตัวก็ยิ่งค่อนข้างดูเป็นผู้ใหญ่นางกล่าวอย่างสนิทชิดเชื้อ “น้อง
นางเล่าเรื่องทั้งหมดให้ถานหว่านชิงฟัง โชคดีที่พวกนางเตรียมการไว้นานแล้ว สำหรับศาลาการกุศลแล้ว เรื่องนี้ดำเนินการไม่ยากเลย ราชสำนักยังจะให้เงินพวกเขาอีกด้วย เพียงไม่นานศาลาการกุศลก็จะได้เงินก้อนใหญ่มา เมื่อทุกคนมีเงิน ฤดูหนาวนี้ก็ไม่ลำบากแล้วหารือธุระเสร็จ เจียงเฟิ่งหัวพาพระชายาอวี้อ๋องออกไปจากห้องโถงใหญ่ เจอเย่ซู่ซู่หอบตะกร้าสมุนไพรทำยาเดินผ่านมาพอดีเย่ซู่ซู่ก็เห็นเจียงเฟิ่งหัว นางถวายคำนับหนึ่งครั้งอย่างเคารพนบนอบ “หม่อมฉันถวายพระพรพระชายาเหิงอ๋องเพคะ”ตอนแรกนางสามารถเข้าไปอยู่ในจวนเหิงอ๋องได้ แต่กลับถูกหลินเฟิงพามาที่นี่ นางก็พูดอะไรไม่ได้ รู้ว่าศาลาการกุศลบริหารจัดการโดยจวนเหิงอ๋อง นางอาศัยอยู่ที่นี่อย่างไรก็ต้องได้พบท่านเหิงอ๋องอีก แต่ว่าเหิงอ๋องจะต้องไปรบอีกแล้ว นางก็คิดอยากไปจากศาลาการกุศลแล้วเจียงเฟิ่งหัวมองปราดเดียวก็ดูออกว่านางมีความคิดอยากมักใหญ่ใฝ่สูงจะเข้าหาผู้สูงศักดิ์ ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ถามด้วยความเป็นห่วง “แม่นางเย่อยู่ที่ศาลาการกุศลพอปรับตัวได้ไหม?”“ขอบพระทัยพระชายาที่ทรงเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันอยู่ได้สบายดีเพคะ ได้มีที่ซุกหัวนอนก็ถือเป็นความโชคดีของห
เจียงเฟิ่งหัวตะลึงงัน สิ่งที่พูดมานี้ก็พูดถูกแล้ว ก็เพราะทุกคนล้วนรู้สึกว่าแต่งเข้าเป็นเชื้อพระวงศ์แล้วไม่เพียงแต่ร่ำรวยอู้ฟู่ ยังฐานะสูงส่งอีกด้วย ยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ เพราะฉะนั้นทุกคนต่างทำใจสละตำแหน่งไม่ได้นางกลับมาเกิดใหม่อีกชาติหนึ่ง มุ่งปรารถนาสิ่งใดกันเล่า ก็ไม่พ้นยศถาบรรดาศักดิ์นั้นที่สูงส่งเหนือใคร ๆเจียงเฟิ่งหัวกล่าวเรียบ ๆ “แล้วแต่ท่านเถิด แต่หากท่านไม่สามารถปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกทำร้ายได้ ได้แต่อดทนยอมให้คนอื่นตลอดเวลาเท่านั้นเพื่อรักษาตำแหน่งพระชายาของท่านไว้ ข้าคิดว่าอย่างไรก็ไม่สมควรทำ ต่อให้แต่งกับท่านอ๋อง สุดท้ายคนที่ถูกทำร้ายได้รับความลำเค็ญก็คือตัวท่านเองอยู่ดี ได้ตำแหน่งพระชายาอ๋องมาแล้วมีความหมายอะไร”“แต่ข้าทำอะไรได้บ้างเล่า พวกผู้หญิงเราทำอะไรได้ เกิดอะไรนิดเดียวพวกเขาก็เอาเรื่องหย่ามาขู่แล้ว ไหนเลยจะเว้นหนทางรอดไว้ให้ผู้หญิงอย่างเรา” พระชายาอวี้อ๋องทอดถอนใจ “บอกเจ้าตรง ๆ ก็แล้วกัน หลายปีมานี้ที่ข้าได้ยินมาบ่อยที่สุดก็คือให้กำเนิดบุตรไม่ได้ ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกไม่ได้ แต่งกับใครก็ถูกคนชี้หน้าด่าอยู่ดีมิใช่หรือ แต่งกับท่านอ๋องดีกว่า อย่างน้อยมีฐานะสูงส่
“เยี่ยนเฟยทรงระวังคำพูดหน่อยจะดีกว่านะเพคะ! ทุกคนล้วนเป็นสตรีทั้งนั้น นางทั้งเป็นหลานสาวท่านและยังเป็นลูกสะใภ้ท่านอีกด้วย เหตุใดเยี่ยนเฟยจึงต้องทำให้นางต้องลำบากใจถึงเพียงนี้เล่า”“คนที่ข้าพูดถึงคือลูกสะใภ้ข้า แล้วเกี่ยวอะไรกับพระชายาเหิงอ๋องด้วย ฮองเฮาประชวร พระองค์มีลูกสะใภ้สองคนดูแลรับใช้อยู่ข้างพระวรกาย พอข้าป่วยแล้วข้าให้ลูกสะใภ้ข้าเข้าวังมารับใช้บ้างไม่ได้หรือไร? เป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้เหมือนกันแท้ ๆ เหตุใดจึงมีความแตกต่างเช่นนี้ หรือว่าข้าไม่ใช่แม่สามีเช่นนั้นหรือ” เยี่ยนเฟยไปสืบข่าวมาตั้งนานแล้ว ฮองเฮาก็ใช้งานพระชายารองซูไม่น้อยเหมือนกัน นางก็เพียงแค่เลียนแบบตามตัวอย่างที่มีเท่านั้นเจียงเฟิ่งหัวยังไม่เคยเจอคนที่ไร้สมองเช่นนี้ นางรู้สึกว่าเยี่ยนเฟยป่วยจริง ๆ แต่นางป่วยทางจิต“ขอเชิญพระชายาอวี้อ๋องมารับพระราชโองการเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวเสียงเข้ม “ข้านำพระราชกระแสรับสั่งจากฝ่าบาทมา หากเยี่ยนเฟยทำให้ธุระสำคัญของเสด็จพ่อล่าช้า เกรงว่ามีแต่จะต้องไปพำนักอยู่ที่ตำหนักเย็นเสียแล้ว”เยี่ยนเฟยดูท่าทางนางแล้วไม่ได้พูดโกหก แม้ว่าโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดมากอีกต่อไป แต่ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงทรง