เจียงจิ่นเหยียนนึกว่านางรู้แล้ว จึงเอาแต่เงียบ ได้ยินเพียงซางอวี๋เพียนเพียนกล่าวว่า “พรุ่งนี้ข้าจะต้องกลับแล้ว วันนี้มาเพื่อบอกลาท่าน”นางกอดเอวเขาไว้ ซุกหัวเข้าไปที่บ่ากว้าง ๆ ของเขา “คราวนี้ ข้ากลับอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย ทำอย่างไรดีเล่า?”เจียงจิ่นเหยียนรู้ว่านางเป็นหญิงที่ไม่ยึดติดกับจารีตประเพณี ความรู้สึกเจ็บในตัวทำให้เขาไม่อยากขยับแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นห้องนอนของเขาอีกด้วย คนที่ออกไปควรเป็นนางจึงจะถูก“องค์หญิง…” เขาอยากดึงมือคู่นั้นที่โอบเอวเขาไว้ออก “เช่นนี้ไม่เหมาะสม ข้าเป็นบุรุษ ท่านเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเจาซี ย่อมพึงรู้จัก…”ซางอวี๋เพียนเพียนไหนเลยจะสนใจว่าเหมาะสมหรือไม่ นางเพียงแค่อยากทำตามใจปรารถนาก็พอ จึงผลักเขาล้มลงบนเตียงเลย ประกบริมฝีปากลงไป ราวกับว่าไม่มียางอายแม้แต่นิดเดียวเจียงจิ่นเหยียนโกรธสุดขีดแล้ว “ข้าไม่ใช่คุณชายไร้เทียมทานที่ท่านชอบ องค์หญิงโปรดระมัดระวังพระองค์ด้วย”ซางอวี๋เพียนเพียนตะลึง คนที่นางใส่ใจคือเจียงจิ่นเหยียน หรือว่าคุณชายไร้เทียมทาน นางก็แยกไม่ออกแล้ววันต่อมา องค์หญิงแคว้นเจาซีกลับแคว้นแล้ว ฮ่องเต้ส่งคนของกรมพิธีการไปส่งเสด
เจียงเฟิ่งหัวได้ยินข่าวลือข้างนอกแล้ว ใบหน้านางก็ไม่ได้แสดงอารมณ์มากมายแต่อย่างใด นางแววตาลุ่มลึก หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยอยู่ไม่นานก็กลับมานิ่งสงบดังเดิมอย่างรวดเร็ว ท่าทางไม่สะทกสะท้านเหลียนเย่กล่าวอย่างร้อนใจ “พระชายา เหตุใดท่านจึงไม่มีปฏิกิริยาเลย ข้างนอกพูดถึงคุณชายใหญ่จนกลายเป็นแบบนี้แล้วนะเพคะ! คนพวกนั้นก็ปั้นน้ำเป็นตัวเสียจริงๆ”“เจ้าเลิกรบกวนพระชายาได้แล้ว พระชายาย่อมมีวิจารณญาณอยู่แล้ว” หงซิ่วฝนหมึกให้นางอย่างเงียบ ๆ เหลียนเย่ก็ไม่ส่งเสียงรบกวนแล้ว ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยมเจียงเฟิ่งหัวชอบคัดลายมือ เวลาคัดตัวอักษรนางจะทำใจให้สงบเพื่อใช้ความคิดได้ เวลานี้ ในสมองนางมีความคิดอยู่ร้อยแปดพันเก้า เพราะว่าประสบการณ์โชกโชน ทุกเรื่องที่นางคิดก็คิดไปในแง่ผลประโยชน์เสียมากกว่าด้วยความเคยชิน คิดอยากแสวงหาเงินทองถือว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ ทำลายชื่อเสียงคนก็เกี่ยวพันกับผลประโยชน์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะได้ประโยชน์ และใครจะเสียประโยชน์จากเรื่องนี้ เรื่องเหล่านี้ต่างหากที่สำคัญฟังดูทีแรกเหมือนจะเป็นแค่เรื่องปัญหารัก ๆ ใคร่ ๆ ของชายหญิงสองสามคน แต่คิดให้ลึก ๆ แล้วกลับไม
พิจารณานิสัยขี้หึงของเซี่ยซางแล้ว จุดนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมากเจียงเฟิ่งหัวให้เหลี่ยนเย่แต่งตัวให้นางอย่างพิถีพิถัน เห็นหน้าตาท่าทางที่ดูน่ารักบริสุทธิ์ในกระจกแล้ว นางเกือบหลงใหลในใบหน้าของตัวเองใบหน้าผัดแป้งและแต่งแต้มอย่างประณีต การแต่งหน้าก็ไม่เกินพอดี ราวกับดอกไม้ที่เหนียมอายดอกหนึ่งที่กำลังรอผลิบาน ดึงดูดสายตาของผู้คนเจียงเฟิ่งหัวเดินไปที่เรือนด้านหน้า นางก็นั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นนี้ สาวใช้เฝ้าขนาบนางซ้ายขวา สงบเสงี่ยมเรียบร้อยพ่อบ้านเฉิงนำสมุดบัญชีของจวนอ๋องมาถวายให้ดูทีละเล่ม ๆ “ผลกำไรเดือนนี้ไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ ความเห็นจากพระชายาเดือนที่แล้วมีประโยชน์จริง ๆ นี่จึงมีกำไรเพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง”เจียงเฟิ่งหัวดูทีละเล่ม ๆ อย่างถี่ถ้วน ภายใต้แสงอาทิตย์สีทอง ทั้งตัวของนางเหมือนมีรัศมีแผ่ออกมา ชวนให้คนหลงใหลก็ได้ยินนางกล่าวเสียงหนักแน่นว่า “ก็เพราะทุกคนให้ความร่วมมือกับข้า พ่อบ้านเฉิงไปจัดการเถิด เงินรางวัลเดือนนี้ของทุกคนให้เพิ่มอีกเท่า”พ่อบ้านเฉิงตกใจ “เดือนที่แล้วพระชายาก็ให้เงินค่าแรงพวกเขาเพิ่มไปแล้ว อีกทั้งยังให้รางวัลเพิ่มเติม เด
เซี่ยซางยกเลิกคำสั่งกักบริเวณซูถิงหว่านแล้ว เขาก็ให้อวิ๋นฟางไปทำงานเป็นบ่าวชั้นต่ำที่เรือนคนรับใช้ ซูถิงหว่านถูกส่งตัวออกไปแล้ว ก็พาไปแต่อิ๋นซิ่ง เซี่ยซางไม่ยุ่งกับเรื่องของผู้หญิงในเรือน เขาเอ่ยปากไล่นางไปเรือนคนรับใช้แล้วก็ลืมอวิ๋นฟางไปเสียสนิท นางจึงถือว่ารอดจากความซวยมาได้ อวิ๋นฟางเฉียบแหลมมาก นางรู้สึกได้ว่าซูถิงหว่านห่างเหินจากนาง ถึงขั้นไม่เชื่อใจ นางก็เริ่มทดสอบดูนี่จึงเพิ่งรู้จากปากซูถิงหว่านว่า ที่จริงเหิงอ๋องรู้เรื่องเหล่านั้นที่พวกนางทำ และถึงกับรู้ว่านางเป็นคนยุแยงพระชายารองให้ไปทำอีกด้วย นางคิดอยากหนีเอาตัวรอด แต่เมื่อนึกว่าหากนางหนีไปจริง ๆ ต่อไปก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว นอกจากนั้นนางไม่มีหนังสือยืนยันสถานะอยู่กับตัว สัญญาขายตัวเป็นบ่าวของนางยังอยู่ในวังนางไม่เคลื่อนไหวมาตลอด จนกระทั่งจีเฉินปรากฏตัว นางคิดว่าโอกาสของตัวเองมาถึงอีกครั้งแล้วนางรู้ว่าตัวเองหน้าตามีความงามอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นจีเฉินจึงคอยส่งสายตาให้นาง แต่ที่ผ่านมานางก็ไม่ยอมด้อยกว่าคนอื่น ยิ่งไม่อยากให้จีเฉินได้เปรียบ จึงไว้เชิงมาตลอดไว้เชิงอย่างไร นางก็มีกลวิธีของตัวเองจีเฉินนึกว่าแค่พูดจาหวานหูไม่ก
อวิ๋นฟางตะลึงงัน ปฏิเสธว่า “ท่านว่าอะไรน่ะ ข้าเปล่านะเจ้าคะ”จีเฉินกระชากกระเป๋าที่เอวนางออกมาทันที ควักของที่อยู่ด้านในออกมา ยกขึ้นมาอังที่จมูก ลองดมดู “พกยาปลุกกำหนัดพวกนี้ไว้กับตัว เจ้าคงคิดหาโอกาสจะเอาไปใช้กับเซี่ยซางสินะ”อวิ๋นฟางสะดุ้ง รีบไปแย่งคืน “คืนให้ข้านะเจ้าคะ ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด นี่ไม่ใช่ยาปลุกกำหนัด เป็นเพียงยาหอมที่ทำให้ตื่นตัวโล่งสมองเท่านั้นเจ้าค่ะ”มีอะไรบ้างที่จีเฉินไม่เคยเห็น เขาบีบคางนางไว้คิดจะกรอกเม็ดยาใส่ปากนาง “ในเมื่อเจ้าบอกว่าเป็นยาหอม กินสักหน่อยก็คงไม่ถึงตายหรอก!”อวิ๋นฟางตกใจจนร้องไห้ รีบขอความเมตตา “ข้าผิดไปแล้ว นี่ไม่ใช่ยาหอม แต่เป็นยาปลุกกำหนัด ขอให้คุณชายจีผู้สูงศักดิ์อย่าถือโทษคนต่ำต้อยเลยเจ้าค่ะ คราวหน้าบ่าวจะนำเสื้อผ้ามาให้คุณชายที่ห้องด้วยตัวเองแน่นอนเจ้าค่ะ”จีเฉินไม่ชอบบังคับขืนใจผู้หญิง เขาต้องการความยินยอมสมัครใจ เขายื่นยากลับไปใส่มือนาง สูดดมฟุดฟิดที่ลำคอนางอย่างวิปริต งับติ่งหูของนางแล้วพ่นลมอุ่น ๆ ออกมา “หวังว่าเซี่ยซางจะทำให้เจ้าสมใจปรารถนาได้”อวิ๋นฟางรู้สึกร้อนขึ้นมาในทรวงอก นึกถึงภาพตอนที่เหิงอ๋องร่วมห้องกับพระชายารองซู ทันใดนั้
เมื่อเซี่ยซางกลับมา ไม่เห็นเงาเจียงเฟิ่งหัวที่หอหล่านเยว่ จึงถามสาวใช้ในเรือนว่าเจียงเฟิ่งหัวอยู่ที่ใดสาวใช้ตอบอย่างเคารพนบนอบ “พระชายาอยู่ที่ห้องครัวน่ะเพคะ”เขากลับห้องไปเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่บางเบาใส่สบาย อาบน้ำอาบท่าจนสะอาดแล้วจึงค่อยเดินไปทางห้องครัวบริเวณรอบห้องครัวมีข้ารับใช้รุมล้อมเต็มไปหมด จุดสนใจและสายตาของทุกคนล้วนอยู่ที่เจียงเฟิ่งหัว จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าเขามาเห็นท่าทางที่เจียงเฟิ่งหัวทำอาหารแล้ว เขาทั้งประหลาดใจ ดีใจ และกังวล เมื่อนึกถึงว่าในครรภ์นางมีลูกอยู่ เขาก็อยากก้าวเข้าไปห้าม แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเหล่าข้ารับใช้เฮขึ้นมาเขาก็มองดูจนเหม่อลอยไปชั่วขณะ ไม่เคยเห็นด้านนี้ของเจียงเฟิ่งหัวมาก่อนผ่านมานานขนาดนี้แล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจียงเฟิ่งหัวในครัว ปกตินางไม่ถือหนังสือเปิดดูก็จะคัดลายมือ เต้นระบำหรือไม่ก็ดีดพิณ ชุดแม่ครัวน้อยวันนี้ทำให้ดูสวยงามไปอีกแบบผมของนางห่อไว้ด้วยผ้าสีเข้มผืนหนึ่ง ใบหน้าขาวใสปรากฏให้เห็นแก้มแดงระเรื่อ ดูแล้วยิ่งเหมือนลูกท้อที่มีสีแดงสวยงามแซมอยู่ในสีขาว บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ซึมออกมาทุกอณู ดูเหมือนจะสาละวนอยู่ในครั
เซี่ยซางเต็มไปด้วยคำหวาน จูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากนาง “หรวนหร่วนมีกลิ่นอะไรข้าก็ชอบทั้งนั้น”เจียงเฟิ่งหัวหน้าแดงหูแดงไปหมด กล่าวเสียงเบาว่า “ต่อหน้าข้ารับใช้มากมายเช่นนี้ พวกเรารักษามาดหน่อยได้ไหมเพคะ”เซี่ยซางกวาดสายตาไปทั่วรอบหนึ่งด้วยสายตาลุ่มลึกเย็นชา เวลาที่จ้องหน้าเจียงเฟิ่งหัวกลับยิ้มร่าอย่างไม่วางท่า มีแต่ความเบิกบานใจอยู่ทุกที่บนใบหน้า “ดูสิ ไม่มีใครกล้าล้อเลียนข้าสักคน”เจียงเฟิ่งหัวนิ่งเงียบ นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เหิงอ๋องเป็นผู้ประทานเสื้อผ้าและอาหารให้พวกเขาเขาจูงมือนางเดินไปในจวน เวลานี้เอง ก็เห็นจีเฉินกำลังอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้นอยู่ในศาลากลางสวนดอกไม้ เหมือนไม่เห็นพวกเขาเลยเจียงเฟิ่งหัวซบอยู่ข้างกายเซี่ยซาง กล่าวเสียงเบาว่า “พี่ชายบุญธรรมของท่านอ๋องนี่ขยันจริง ๆ เลยนะเพคะ! ฟ้าจะมืดแล้วยังอ่านหนังสืออยู่ในสวนอีก”“เขาจะเข้าร่วมการสอบระดับประเทศต้นฤดูใบไม้ผลิ ย่อมต้องพากเพียรเป็นพิเศษอยู่แล้ว” เซี่ยซางกล่าวเรียบ ๆเจียงเฟิ่งหัวหัวเราะเบา ๆ “เมื่อกลางวันคุณชายจีอ่านบทกลอนนกเป็ดน้ำเสียงดังลั่นอยู่ที่ระเบียงทางเดินเรือนด้านหน้า ดึงดูดให้สาวใช้ในจวนเราพากันไปดู สาวใช้ใ
“มิน่าล่ะคุณชายจีจึงชอบอ่านบทกลอนอย่างกลอนนกเป็ดน้ำถึงเพียงนี้” เจียงเฟิ่งหัวพูดพอให้เข้าใจแล้วหยุดไว้เท่านั้นคราวนี้นางไม่ให้โอกาสจีเฉินได้พูดอีก เดินฝ่าเขาไปแล้วก็เดินไปทางด้านหน้าเลยจนกระทั่งเจียงเฟิ่งหัวเดินไปไกลแล้ว เจียงเฟิ่งหัวก็ยังมองตาค้าง เขายิ้มมุมปากขึ้นมาเบา ๆ อย่างชั่วร้าย รู้สึกเพียงว่าบริเวณที่เจียงเฟิ่งหัวเดินผ่านหอมไปหมด แค่คุยกับนางก็ทำเขาเลือดลมสูบฉีดกระปรี้กระเปร่าเซี่ยซางยืนอยู่ในมุมมืด หากเจียงเฟิ่งหัวไปเดินจากไป เขาจะออกมาปรากฏตัวเลยเขานึกไม่ถึงว่าจีเฉินอ่านหนังสืออยู่ในลานเรือนก็เพื่อดักรอเจียงเฟิ่งหัว ถึงกับจงใจอ่านบทกลอนขอความรักอย่างกลอนนกเป็ดน้ำต่อหน้านาง เขากำหมดแน่น พูดกับหลินเฟิงว่า “ส่งคนไปจับตามองจีเฉินไว้”หลินเฟิงก็ไม่นึกว่าท่านอ๋องจะแอบกลับมาที่จวนเงียบ ๆ เพราะเรื่องนี้ “จีเฉินช่างเป็นคนชั่วหน้าเนื้อใจเสือจริง ๆ ต่อหน้าเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องกับท่านอ๋อง ลับหลังกลับคิดหว่านเสน่ห์ใส่พระชายา หากเขากล้าคิดอะไรชั่ว ๆ ต่อหน้าพระชายา อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”เซี่ยซางมองเขาแวบหนึ่ง เป็นนัยว่าเจ้าเป็นห่วงพระชายาของข้าเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!หลินเฟิงเ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู