เจียงเฟิ่งหัวยิ้ม “แต่ไรมาท่านพ่อก็มีนิสัยเช่นนี้ ก็ดี พวกท่านจะได้ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้ทั้งวันจนกระทบกับอารมณ์ ทุกคนดูเป็นเรื่องธรรมดาก็พอเจ้าค่ะ”“เพียงแต่คุณหนูจางถูกคนลือไปเช่นนี้ เกรงว่าวันหน้าคงพูดคุยเรื่องการแต่งงานได้ยากแล้ว พี่ชายของเจ้าก็ยังไม่แต่งภรรยา ได้พบคุณหนูจางมาสองหน แม่รู้สึกชอบนางอยู่มาก หากพวกเขาต่างเห็นด้วย แม่ก็ไม่สนใจคำร่ำลือข้างนอกพวกนั้นหรอก จะจัดงานแต่งให้พวกเขาเสียเลย ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะไปล่วงเกินเจ้ากรมหลี่อะไรนั่น แม่ไม่กลัวจะล่วงเกินพวกเขาหรอก” เฝิงจิ้งย่วนพูดอย่างห้าวหาญเจียงเฟิ่งหัวถูกการแสดงออกของนางทำให้ขำออกมา “นั่นสิ จอมยุทธ์หญิงเฝิงของพวกเราเคยกลัวผู้ใดที่ไหนกันเจ้าคะ”ก่อนที่แม่ของนางจะออกเรือน เคยเดินทางคุ้มกันสินค้ากับท่านตามาก่อน ขึ้นเขาลงห้วย ไม่อ่อนแอกระมิดกระเมี้ยนเลยสักนิด กลับเป็นบิดาของนางเจียงหวยที่ทั้งวันสำรวมกิริยาพูดหลักวิชาการ สุดท้ายถูกท่านแม่ของนางกำราบจนสงบเสงี่ยมเรียบร้อยไปเสียแล้วเจียงเฟิ่งหัวพูดคุยเป็นเพื่อนมารดาคู่หนึ่ง แล้วจึงตรงไปที่เรือนของเจียงจิ่นเหยียนทันทีที่นางเข้าไปในเรือน ก็รู้สึกที่นี่มีบางสิ่งเปลี่ยนไปแล
เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้”เจียงจิ่นเหยียนนั่งตัวตรงขึ้นมา รอยแผลบนใบหน้าก็ดีขึ้นมากแล้ว “แล้วเจ้ามาด้วยเหตุใด?”เจียงเฟิ่งหัวที่เห็นบาดแผลบนใบหน้าของเขาก็คิดจะประชดประชันเขาสักเล็กน้อย “เพื่อจางอวี่มั่วถึงกับคิดวิธีที่โง่งมเช่นนี้ขึ้นมา หากเป็นข้า ไม่ว่าจะเป็นวันใดข้าก็ไม่มีทางยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่ พี่ใหญ่ท่านน่ะ ควรศึกษาตำรานักปราชญ์ให้น้อยลงหน่อย อ่านจนสมองทึบไปหมดแล้ว”เจียงจิ่นเหยียนรู้สึกเพียงว่าตนเองอับอายจนหน้าแดงไปหมด “ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นเพื่อจางอวี่มั่ว” เสียงของเขาค่อยๆ เบาลง แม้แต่ตนเองก็ไม่เชื่อตนเอง“การจัดการกับคนต่ำช้าเช่นหลี่เฉิง สามารถเปลี่ยนเป็นวิธีที่โหดเหี้ยมกว่านั้นได้ ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้ตัวเองเดือดร้อนไปด้วยเลย” ดวงตานั้นคู่ของเจียงเฟิ่งหัวมีประกายเยียบเย็นวาบผ่าน ไม่เหมือนผู้ที่อายุเพียงสิบหกแม้แต่น้อยเมื่อเจียงจิ่นเหยียนเห็นแววตาที่นางจ้องมองเขาก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา แต่ไรมาน้องสามแม้อายุยังน้อยแต่ก็เป็นคนซุกซนเจ้าความคิด อันที่จริงแล้วเขาก็เคยไปหานางมาก่อน คิดจะให้นางโน้มน้าวจางอวี่มั่วมิให้รับปากหลี่
เจียงเฟิ่งหัวแอบหมิ่นอยู่ในใจ “พี่ใหญ่ สาเหตุที่แท้จริงก็เป็นเช่นนั้นแหละ อย่างน้อยในชาติก่อนนางก็ไม่ได้รับความชื่นชอบจากเซี่ยซาง ชาตินี้ล้วนอาศัยการวางแผนของนางถึงได้ช่วงชิงความโปรดปรานมา”ทว่านางก็มิได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย ก็แค่ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจรเท่านั้น“ข้าเห็นว่าเหิงอ๋องเกรงใจและให้ความสำคัญกับเขานัก หรวนหร่วนอยู่ที่จวนอ๋องต้องระวังหน่อย แต่หรวนหร่วนรู้ได้อย่างไรว่าเป็นจีเฉินที่ก่อกวนอยู่เบื้องหลังเล่า แต่ฤดูกาลมาหรวนหร่วนก็เปี่ยมไปด้วยความสามารถกว้างไกลไร้ขอบเขต ที่เขาออกไปบุกเบิกกิจการสร้างรายได้เพิ่มข้างนอก ก็เป็นความคิดของนาง อย่าน้อยจวนสกุลเจียงก็มิได้อาศัยเพียงเงินเดือนอันน้อยนิดของท่านพ่อในการรักษาสภาพการดำรงชีวิตของคนทั้งบ้าน”คนสกุลเจียงใช้ชีวิตอย่างดีมากจริงๆ ไม่มีสมาชิกในครอบครัวแม้แต่คนเดียวที่ต้องกังวลเพราะเรื่องเงินแม้แต่การก่อตั้งสำนักหลิงอวิ๋นก็เป็นความคิดของหรวนหร่วน บัดนี้สำนักหลิงอวิ๋นได้กลายเป็นศาลาการกุศลที่ถูกบริหารโดยจวนอ๋องไปแล้ว ทว่าเวลานั้น หรวนหร่วนยังมิได้ถูกฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้กับเหิงอ๋อง แล้วนางรู้ได้อย่างไรว่าสำนักหลิงอวิ๋นจะไปต้องตาเหิงอ๋อ
เซี่ยซางมองหน้าของเจียงเฟิ่งหัวอย่างรักใคร่ “ย่อมต้องเป็นหรวนหร่วน อาหารที่นางทำเป็นอันดับหนึ่งในใจข้า”มันอร่อยจริงๆ เมื่อคืนแม้เขาจะกินอาหารเต็มโต๊ะไปจนหมดก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ แต่นางท้องแล้วไม่อาจให้นางไปทำอาหารได้อีกเฝิงจิ้งย่วนยิ้มจนปิดปากไม่ลง ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ อย่างน้อยเขาก็ใส่ใจต่อหรวนหร่วนแล้ว นางจึงกล่าวว่า “วันหลังที่นี่ก็คือบ้านของอาซาง พวกเจ้าคิดจะอยู่นานเท่าใดก็อยู่นานเท่านั้น”สีหน้าของเซี่ยซางไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงกินต่ออย่างเอร็ดอร่อยจริงๆเมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ เจียงเฟิ่งหัวก็เกือบจะมุดหน้าลงในชาม เซี่ยซางเปลี่ยนมารู้จักพูดจาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน กล่อมท่านพ่อกับท่านแม่ของนางจนเบิกบานถึงเพียงนี้ท่านแม่ของนางเอาแต่เรียก ‘อาซาง’ เต็มปากเต็มคำ ทำให้นางนึกถึงซูถิงหว่านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ นางรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อยจึงได้กินน้อยลงอยู่บ้างเจียงจื้อชินก็พูดไม่น้อย เรียกพี่เขยไม่หยุด เกือบทำให้เซี่ยซางตกปากรับคำแล้ว ทว่าเซี่ยซางก็ดูเหมือนจะเริ่มต้นความสัมพันธ์เป็นเช่นกัน สำหรับน้องชายผู้งดงามคนนี้ของนาง ดูเหมือนเขาจะไม่ตระหนี่แม้แต่น้อยเจียงจิ่นเหยียนเน
หัวใจของนางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ยิ่งไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ที่จริงแล้วนางมิได้ถือสา เพียงแต่รู้สึกรังเกียจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ ยามอยู่ต่อหน้านาง ซูถิงหว่านไม่เคยเปลี่ยนคำเรียกอื่นมาก่อน นางเรียกเขาว่าอาซางมาโดยตลอด นางรู้ว่าซูถิงหว่านเพียงต้องการแสดงอำนาจ ประกาศความเป็นเจ้าของต่อหน้านาง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพิเศษของนางในใจเขาเท่านั้น และเซี่ยซางก็ไม่เคยปฏิเสธมาก่อน พวกเขายังพลอดรักกันอย่าไร้ขอบเขตต่อหน้านางผู้เป็นภริยาเอกที่ถูกต้องชอบธรรมคนนี้ด้วยเซี่ยซางไม่รู้ถึงความคิดในใจของนาง เขากล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “วันหลังหรวนหร่วนสามารถเรียกข้าว่าท่านพี่ หรือฉี่อวิ๋นก็ได้”เจียงเฟิ่งหัวพยายามปรับอารมณ์ แสร้งทำเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางกล่าวเบาๆ ว่า “เดินไปถึงต้นน้ำ นั่งชมหมู่เมฆลอย” ที่แท้ท่านอ๋องก็ต้องการชีวิตที่อิสรเสรีเช่นนี้ในใจของเขาเกิดความสุขขึ้นมาที่เจียงเฟิ่งหัวเข้าใจเขาถึงเพียงนี้หวานหว่านมีแต่จะพูดว่า ชื่อของอาซางเป็นฮ่องเต้ตั้งให้ ล้ำค่าสูงศักดิ์เพียงใด เซี่ยฉี่อวิ๋นไม่เพราะเหมือนเซี่ยซางสักนิด อันที่จริงแล้ว ชื่อที่เสด็จพ่อประทานคือ ‘เซี่ย
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง เดิมจีเฉินคิดจะรอช่วงเวลาที่เจียงเฟิ่งหัวกลับจวนอ๋อง แล้วแสร้งบังเอิญเจอกับนาง คาดไม่ถึงว่า เขารอมาทั้งวันก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเจียงเฟิ่งหัวเขากลับจวนอ๋องไปพร้อมจิตใจหดหู่ไร้เรี่ยวแรง เมื่อมองจวนอ๋องที่ใหญ่โตหรูหรา เขาก็ถอนใจอย่างอดไม่ได้ว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม อาศัยสิ่งใดกัน เซี่ยซางเกิดมาก็เป็นองค์ชาย ความสูงศักดิ์มั่งคั่งแค่ยื่นมือออกไปก็ไขว่คว้ามาได้อย่างง่ายดาย เหล่าสาวงามก็วิ่งเข้าหาเขาเป็นฝูงเขาเดินเรื่อยเปื่อยตามสบายไปเหมือนยามปกติ ในขณะที่เขากำลังจะเดินจากเรือนชั้นหน้าไปเรือนชั้นใน ก็ถูกองครักษ์ขวางไว้อย่างกะทันหัน “คุณชายโปรดหยุดฝีเท้า เรือนชั้นในของจวนอ๋องไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าขอรับ”เมื่อจีเฉินได้ยินคำพูดนี้ ในดวงตาก็มีไอโทสะปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง เขาพูดว่า “ข้าเป็นพี่ชายบุญธรรมของเหิงอ๋อง ยังนับเป็นคนนอกด้วยหรือ? ข้าก็แค่เดินดูเล่นๆ เท่านั้น”องครักษ์ได้รับคำสั่งอยู่ก่อนแล้ว จึงกล่าวอย่างแข็งกร้าวว่า “ต่อให้คุณชายจีเป็นพี่น้องแท้ๆ ของท่านอ๋อง ท่านก็ไม่อาจเข้าไปในเรือนชั้นในได้ เดินเล่นเฉยๆ ก็ไม่ได้ คุณชายจียังคงอย่าได้เดินเล่นตามใจเ
แม้นางจะทำงานเป็นสาวใช้ในเรือนคนรับใช้ที่ทำงานหยาบเช่นงานซักล้าง แต่นางสามารถเข้าไปในเรือนชั้นในได้ เช่นนั้นก็มีโอกาสได้พบเหิงอ๋อง และมีโอกาส…แม้จะบอกว่ามีโอกาส แต่นางรอมานานขนาดนี้แล้ว ยังคงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเหิงอ๋องเลยบัดนี้ชายารองซูถูกส่งตัวไปแล้ว นางจึงไม่มีผู้ช่วยในจวนอ๋องอีก แต่หากจีเฉินเต็มใจจะช่วยนางจีเฉินเห็นนางพร้อมจะลงมือ จึงยื่นถุงผ้าไปที่มือของนาง “เสื้อผ้าของข้าก็มอบให้สาวใช้คนอื่นซักเถอะ แม่นางอวิ๋นฟางตั้งใจซักให้ท่านอ๋องก็พอ”กล่าวจบ เขาก็จะจากไปอวิ๋นฟางหยุดเขาไว้ “หากคุณชายจีมีเสื้อผ้า บ่าวก็สามารถช่วยซักได้เช่นกันเจ้าค่ะ” ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นพี่บุญธรรมของเหิงอ๋อง หากเขาช่วยได้…จีเฉินยิ้มบางๆ “งั้นแม่นางอวิ๋นฟางตามข้ามาเถอะ ข้ามีเสื้อผ้าสกปรกสองสามตัวจะให้แม่นางอวิ๋นฟางนำกลับไปพอดีเลย”อวิ๋นฟางชะงักไป ทว่ายังคงเดินตามเขาไปแล้วนางรู้ว่าจีเฉินมาขอพักอาศัยในจวนอ๋องชั่วคราว แต่ต่อให้เป็นการมาขอพักอาศัย เขาก็ได้รับการปรนนิบัติเช่นเดียวกับเจ้านาย ไม่เหมือนนาง แม้นางจะเป็นนางกำนัล แต่เมื่อมาถึงจวนอ๋องนางก็ยังเป็นข้ารับใช้ กระทั่งตอนนี้ยังต้องทำงานชั้นต่ำที่
ที่นี่เป็นห้องของจีเฉิน แล้วนางจะกล้าร้องได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นก็คงอธิบายได้แล้วเขาพลันเขยิบกายเข้ามาใกล้นาง“คุณชายจี ท่านคิดจะทำสิ่งใด?” เท้าของอวิ๋นฟางเหมือนถูกร่ายมนตร์สะกดร่าง ทำอย่างไรก็ไม่สามารถขยับได้ นางมีโอกาสจากไปแท้ๆ แต่นางก็ยังคงรั้งอยู่ที่นี่จีเฉินเห็นฟันที่ขาวราวไข่มุกของนางกัดริมฝีปากแน่น เขาจึงพูดเบาๆ ว่า “ราตรียาวนานนัก ข้าย่อมปรารถนาจะช่วยแม่นางอวิ๋นฟางข้ามผ่านราตรีอันยาวนานนี้ไป” แสร้งทำเป็นสูงส่งอะไรกัน“ไม่ได้ ท่านห้ามแตะต้องข้า” ร่างกายของนางต้องเก็บไว้ให้เหิงอ๋อง แน่นอนว่าคำพูดประโยคหลังนางย่อมมิได้พูดออกมาอวิ๋นฟางอายุยี่สิบสามแล้ว ควรออกเรือนนานแล้ว และเพราะนางเคยเห็นฉากการร่วมอภิรมย์ของชายหญิงจนคุ้นชิน ภายในใจจึงมีความปรารถนาดั้งเดิมอันแรงกล้ามานานแล้ว ในเวลานี้นางก็เพียงกล่าวว่าไม่ต้องการอย่างปากไม่ตรงกับใจเท่านั้นจีเฉินก็มิได้รีบแตะต้องนาง เพราะเขามองความปรารถนาของอวิ๋นฟางออกนานแล้ว และก็มองความคิดของอวิ๋นฟางได้อย่างทะลุปรุโปร่งด้วย ต่อให้นางต้องการเป็นผู้หญิงของเซี่ยซาง เขาก็ต้องได้ลองลิ้มชิมรสดูก่อน เพราะสายตาหญิงสาวทุกนางล้วนจับจ้องไปที่เซี่ยซาง
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู