นางแอบเหลือบมององค์ชายสี่กับพระชายาคราหนึ่ง ชาติก่อน องค์ชายสี่ผู้อ่อนแอไร้ความสามารถก่อกบฏล้มเหลว เซี่ยซางเห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้อง จวนขององค์ชายสี่ทั้งสายจึงถูกเนรเทศไปยังพื้นที่เหน็บหนาวทุรกันดารส่วนอวี้อ๋องที่เป็นปรปักษ์อย่างรุนแรงกับเซี่ยซาง เนื่องจากมัวเมาในนารีจึงใช้ชีวิตอย่างล่องลอยไร้สติไปชั่วชีวิต เขาก็ไม่ได้รับงานสำคัญจากเซี่ยซางเช่นกัน สุดท้ายจวนของอวี้อ๋องก็ตกต่ำ ช่วงชีวิตครึ่งหลังอยู่อย่างน่าเวทนา ได้ยินว่าพระชายาคนใหม่ที่เขาแต่งด้วยไม่ใช่คนว่าง่าย ร้ายกว่าหลัวจื่อฉยงมากนัก นางได้แต่ถอนใจ คนชั่วก็ต้องใช้คนชั่วมาปราบจริงๆ!องค์ชายสามเซี่ยเซวียนเพราะพิการแต่กำเนิด เขาเลือกรักษาตัวรอดอย่างชาญฉลาด ครองคู่กับพระชายาของเขาอย่างอิสรเสรีดุจดั่งนกเป็นน้ำนางก็มิได้รู้สึกเห็นใจพระชายาองค์ชายสี่ที่อยู่เบื้องหน้าเช่นกัน สำหรับผู้ที่กล้าก่อกบฏ นางจะน่าสงสารได้สักเท่าใดพระชายาอวี้อ๋องไม่มีทางเขลาถึงขนาดเลือกวันนี้มาวางแผนทำร้ายทารกที่อายุเพียงเดือนเดียว นอกจากนี้ยังมีข้ารับใช้คอยดูแลอยู่จำนวนมากขนาดนี้อีก นางเพิ่งออกมาท่านหญิงน้อยก็เสียโฉมแล้ว จะบังเอิญถึงเพียงนั้นได้อย่างไร นี่
เซี่ยซางก็ระมัดระวังเช่นกัน เขาหันไปกล่าวกับเซี่ยหยางว่า “เรียกตัวสาวใช้ในจวนอ๋องมาให้หมดเถิด ให้พระชายาของอวี้อ๋องดูตัวทีละคน หากนางชี้ตัวไม่ได้ พระชายาของอวี้อ๋องก็จะเป็นผู้ต้องสงสัยที่น่าสงสัยที่สุด เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงราชวงศ์ เกรงว่าข้าต้องรายงานให้เสด็จพ่อทรงทราบ ผู้ใดกล้าวางแผนทำร้ายพระราชนัดดา เมื่อตรวจสอบพบย่อมไม่มีทางละเว้นง่ายๆ แน่”เซี่ยหยางรีบกล่าวว่า “ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่แล้วกระมัง เรื่องก็เกิดไปแล้ว ตอนนี้ให้หมอหลวงพยายามรักษาเต็มกำลังก็พอ”เซี่ยซางรู้ว่าแต่ไรมาเขาก็เป็นพวกอ่อนแอขี้ขลาด แต่เขาก็มีสัญชาตญาณเฉียบคมอย่างมากเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นบุตรสาวของตนถูกผู้อื่นทำลายโฉม แต่เขายังคิดจะอดทนไม่เอาความอีก หรือเขาจะรู้ความนัยอะไร?เซี่ยซางจึงถามพระชายาขององค์ชายสี่ “พระชายาก็ไม่คิดจะตรวจสอบต่อแล้วเช่นกันหรือ?”พระชายาขององค์ชายสี่จะไม่สืบต่อได้อย่างไร นางกล่าวอย่างเร่งร้อน “ต้องตรวจสอบออกมาให้ได้ ข้าจะต้องหาตัวคนร้ายออกมาเพื่อขอคำอธิบายให้ลูกสาวของข้าให้ได้ เป็นใครที่จิตใจอำมหิตขนาดลงมือกับเด็กที่ยังเล็กเพียงนี้ได้”“พระชายาองค์ชายสี่เชิญมาพูดทางนี้สักหน่อยไ
พระชายาองค์ชายสี่ก็อดหวาดกลัวต่อคำขู่ขึ้นมาไม่ได้ ยามนี้นางก็บังเกิดความสงสัยขึ้นมาเช่นกัน จึงพึมพำออกมาอย่างปากไวว่า “จะใช่นังสารเลวเหลียนเอ๋อร์นั่นหรือเปล่านะ แต่นางจะกล้าทำร้ายลูกสาวของข้าได้อย่างไร”เจียงเฟิ่งหัวสบตายิ้มกับเซี่ยซาง “เหลียนเอ๋อร์คือผู้ใดหรือ?” บางทีอาจเป็นสาวใช้ที่แอบร้องไห้ที่พวกเขาเจอพระชายาองค์ชายสี่ปิดปากแน่น ไม่เต็มใจจะพูดถึง“ในเมื่อพระชายาองค์ชายสี่ไม่เต็มใจจะพูดสิ่งใดทั้งนั้น เช่นนั้นข้ากับพระชายาก็ไม่อาจจะช่วยท่านได้แล้ว” เซี่ยซางจงใจกล่าวด้วยเหตุนี้ องค์ชายสี่จึงได้เล่าเรื่องราวออกมาสุดท้าย นางยังด่าออกมาอีกประโยคว่า “นังสารเลวเหลียนเอ๋อร์นั่น นางถือโอกาสที่ข้าตั้งครรภ์ ปีนขึ้นเตียงของเซี่ยหยาง มั่วกับเขาจนท้องลูกนอกคอกขึ้นมา แล้วยังคิดจะใฝ่สูงอีก”หลังเซี่ยซางได้ยินก็เข้าใจทันที เขาก็มิได้รู้สึกเห็นใจพระชายาองค์ชายสี่เช่นกัน ทำเรื่องเลวร้ายเองก็ย่อมต้องรับผลกรรมนั้น เขาจึงกล่าวว่า “ไปเรียกตัวคนมาเถอะ”เมื่อออกจากห้องชั้นใน เซี่ยอวี้ก็พาตัวเซี่ยหยางกับสาวใช้นางหนึ่งชื่อเหลียนเอ๋อร์มาแล้วเมื่อชายาองค์ชายสี่ออกมาจากห้องชั้นในแล้วเห็นคนทั้งสองกลับ
ด้วยความโกรธเคืองอันรุนแรง นางจึงชี้หน้าชายาองค์ชายสี่ด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวว่า “อาศัยสิ่งใดบุตรสาวของเจ้าถือเป็นบุตรสาว แต่ลูกสาวของข้ากลับเป็นเด็กนอกคอก ข้าแค้นตนเองเสียจริง เหตุใดตอนนั้นข้าถึงไม่ใจแข็งบีบคอนางให้ตายไปเลยนะ ข้าควรจะบีบคอลูกสาวของเจ้าให้ตายไปซะ ให้นางชดใช้ชีวิตให้ลูกสาวของเจ้าเสีย”หลายวันมานี้ เหลียนเอ๋อร์ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส นางน้ำตาไหลไม่หยุด กรีดร้องออกมาจนเสียงแหบเครือว่า “ท่านอ๋องจะรับข้าเป็นอนุชัดๆ ล้วนเป็นเจ้า เป็นเจ้าที่ขัดขวางเพราะเจ้าริษยา เจ้ามันหญิงขี้อิจฉา เจ้ายังฆ่าลูกสาวของข้ากับท่านอ๋องอีก นังหญิงอำมหิต เหตุใดเจ้าถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้!”สาวใช้จิตใจแตกสลายแล้ว นางร้องไห้ออกมาเสียงดัง ทว่าเซี่ยหยางกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาเพียงกล่าวอย่างอ่อนแรงประโยคหนึ่งว่า “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่ควรไปกรีดหน้าของท่านหญิงน้อย”“เป็นพวกเจ้าฆ่าลูกสาวของข้า ตอนนางออกมาจากตัวข้าเพิ่งตัวใหญ่เท่าฝ่ามือเท่านั้น ท่านอ๋อง ท่านไม่ได้บอกว่าจะรับผิดชอบข้าหรือ?”เหลียนเอ๋อร์ดึงเซี่ยหยาง “ตอนนี้พระชายาก็คลอดบุตรแล้ว ลูกสาวของนางน่ารักถึงเพียงนั้น ท่านเคยคิดหรือไม
เมื่อขึ้นไปบนรถม้า เจียงเฟิ่งหัวเห็นเซี่ยซางไม่กล่าววาจา ก็คิดว่าคงกำลังคิดถึงซูถิงหว่านซูถิงหว่านถูกเขากักบริเวณสามเดือน ตอนนี้ถูกขังมาสองเดือนแล้ว เขาคงสงสารนางแล้วกระมัง!เจียงเฟิ่งหัวย่อมไม่สนใจว่าเขากำลังสงสารผู้ใด เป็นฝ่ายเริ่มกล่าวว่า “อย่าทรงใส่ใจคำพูดของพระชายาอวี้อ๋องเลย สองเดือนมานี้ชายารองซูนางเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ เพคะ” จู่ๆ พระชายาอวี้อ๋องก็ทำเช่นนี้ ทำให้นางประหลาดใจนัก นางคงไม่ต้องการติดค้างผู้ใดกระมังเซี่ยซางจับมือของนาง ไม่ได้เจอซูถิงหว่านมาสองเดือน เขารู้สึกว่าตนปรับเปลี่ยนไปมาก เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “เหตุใดวันนี้เจ้าจึงช่วยพระชายาอวี้อ๋อง เรื่องของเซี่ยอวี้ในครั้งก่อน นางคงว่าร้ายเจ้าไว้ไม่น้อยกระมัง!”“สตรีนางหนึ่งถูกสามีของตนทุบตีเช่นนั้น ขอเพียงเป็นสตรีก็คงเกิดความเวทนาสงสารกระมัง!” นางกล่าวต่ออีกว่า “พระชายาอวี้อ๋องน่าจะได้รับบาดเจ็บหนัก หม่อมฉันคิดว่านางคงไม่เรียกหมอหลวงมาดูอาการ พวกเราส่งยาไปให้นางสักขวดดีหรือไม่เพคะ”สองเท้าของเซี่ยอวี้เตะอย่างรุนแรงจริงๆ และตำแหน่งที่บาดเจ็บยังเป็น…เซี่ยซางอุ้มเจียงเฟิ่งหัวมาไว้บนตักของตน “เรื่องนี้ก็ให้จบแต่เพี
ในชาตินี้ พวกเขายังจะกลับมาอีกหรือไม่?อันที่จริง นางยังไม่ได้เตรียมตัวพร้อมเลยว่าจะเป็นมารดาอย่างไร นางหวาดหวั่น หวาดกลัว วิตก กังวลว่าตนจะสอนลูกได้ไม่ดี เป็นมารดาที่เหมาะสมไม่ได้เซี่ยซางชอบลูกสาว มิน่าชาติก่อนเขาถึงได้รักและตามใจลูกสาวของซูถิงหว่านขนาดนั้นเขาจะเป็นบิดาที่ดีของลูกๆ นางหรือไม่กันนะ? เพราะชาติที่แล้วเขารังเกียจลูกๆ ของนางนัก ไม่เคยอบรมสั่งสอนพวกเขาอย่างใส่ใจเหมือนที่เขาสอนลูกคนอื่นมาก่อนเจียงเฟิ่งหัวเหน็ดเหนื่อยจนหลับลึกไป ในความฝัน นางเห็นเด็กน้อยที่ชักสีหน้าใส่นางอย่างโกรธเคืองสองคนนั้น“เหตุใดท่านถึงได้ไร้ประโยชน์เช่นนี้กันนะ พวกเราไม่มีมารดาอย่างท่าน เหตุใดจึงเป็นท่านที่คลอดพวกเราออกมา แต่ไม่ใช่ซูฮองเฮากัน”“พวกเราเกลียดท่าน ท่านออกไปนะ พวกเราไม่ต้องการให้ท่านมายุ่ง ไม่ต้องการให้ท่านตลอดกาล”“ไสหัวไปสิ! พวกเรารู้สึกขายหน้านักที่มีมารดาแบบท่าน”“ข้าแค้นท่าน แค้นท่านแทบตายแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่ไปตายนะ เป็นท่านที่เป็นตัวถ่วงทำให้พวกเราเดือดร้อนไปด้วย”“ยังคงเป็นซูฮองเฮาที่ดีต่อพวกเรา ท่านทำเป็นแต่เรียกให้พวกเราเรียนหนังสืออยู่ตลอด พวกเราก็ไม่ใช่พวกสามัญชนชั้
เซี่ยซางจะไปจุดตะเกียง แต่นางรีบดึงเขาไว้แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “อย่า อย่าจุดตะเกียงเพคะ หม่อมฉันเกรงว่าหากจุดตะเกียงจะทำให้ทรงเห็นสภาพที่ไม่น่ามองของหม่อมฉันเข้า หม่อมฉันอยากรักษาภาพลักษณ์ที่งดงามที่สุดไว้ยามอยู่ต่อหน้าท่าน” คำพูดด้านหลังเป็นข้อแก้ตัวของนาง นางไม่อยากให้เขาเห็นความแข็งกร้าวในดวงตาของนางต่างหาก“เด็กโง่ มีสภาพแบบใดของเจ้าที่ข้าไม่เคยเห็นกัน ตอนเจ้าร้องไห้ไม่น่าเกลียดเลยสักนิด ยังคงงดงามอย่างมาก” เซี่ยซางพูดอย่างเป็นห่วง“หม่อมฉันฝันร้ายเพคะ หม่อมฉันกลัว อย่าทรงไปจากหม่อมฉัน กอดหม่อมฉันได้ไหมเพคะ?” เจียงเฟิ่งหัวหาข้ออ้าง นางคิดไม่ถึงว่าจะฝันถึงเรื่องในชาติก่อนเซี่ยซางกอดนางไว้ในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน “ความฝันล้วนกลับเป็นตรงข้าม เจ้าไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ข้างกายเจ้า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง นอกจากนี้ เจ้าเป็นพระชายาของเหิงอ๋องไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใดทั้งนั้น”นางหัวเราะทั้งน้ำตา กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “เยี่ยงนั้น ท่านอ๋องจะอยู่ข้างกายหรวนหร่วนตลอดไปไหมเพคะ จะทรงปกป้องหรวนหร่วนตลอดไปไหมเพคะ”เซี่ยซางไม่แม้แต่จะคิด “แน่นอน”เจียงเฟิ่งหัวมุดเข้าไปในอ้อมกอดของเขา เหตุใดในชาติก่อน
นับแต่เจียงเฟิ่งหัวดูแลเรื่องในจวน หงซิ่วก็รับช่วงต่อเรื่องในวังมาจำนวนมาก นางจึงเปลี่ยนเป็นสุขุมมากขึ้นเรื่อยๆพ่อบ้านเฉิงกล่าวว่า “หงซิ่วไม่ต้องรีบร้อน”เมื่อหงซิ่วเข้าไปในห้องชั้นใน เห็นพระชายาลืมตาทว่ายังไม่ลุกจากเตียง “จวนสกุลซูส่งเทียบมา เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซูกำลังรออยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า พระชายาจะทรงออกไปต้อนรับไหมเพคะ?”เหลียนเย่ตามเข้ามาติดๆ “ปล่อยให้นางรอสักพักค่อยว่ากันเถอะ บ่าวได้ข่าวมานานแล้วว่า สองเดือนก่อนฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซูก็เริ่มออกเดินทางจากชายแดนแล้ว ไม่กี่วันก่อนเพิ่งกลับถึงจวนสกุลซู คิดว่าคงเป็นเพราะได้รับข่าวที่ซูกุ้ยเฟยถูกส่งเข้าตำหนักเย็นถึงได้กลับมาเพคะ ที่มาเยือนถึงจวนในเวลานี้ ก็เกรงจะเป็นเพราะเรื่องของชายารองซูเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวคลานขึ้นมาจากเตียง พูดเรียบๆ ว่า “แต่งตัวเถอะ แขกสำคัญมาเยือน พวกเราไม่อาจละเลยเด็ดขาด” ในที่สุด สกุลซูก็มีความเคลื่อนไหวเสียที“แล้วทางชายารองซูจะทำอย่างไรเพคะ ต้องไปแจ้งความหรือไม่เพคะ?” เหลียนเย่ถาม“เป็นท่านอ๋องที่ต้องการกักบริเวณนาง ข้าไม่มีอำนาจไปยกเลิกการกักบริเวณของนางได้ ขังต่อไปเถอะ!” จากนั้นนางก็กล่าวต่อว่า “ฮูหย
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู