“วันที่เจ้ารู้ว่าเด็กคนนั้น คือบุตรชายแท้ ๆ ของเจ้าหาใช่เสวี่ยอี้ของข้าไม่ เมื่อใดที่เสวี่ยอี้กลับมาทวงทุกอย่างคืน เป็นเจ้าที่ต้องเจ็บปวดเจียนตาย”เพี๊ยะ! ใบหน้างามสะบัดตามแรงฝ่ามือของโม่หลัน ดวงตาของคนลงมือวาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคือง ก่อนที่จะล้วงบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ“ข้าเมตตาท่านมากนะพี่ใหญ่ หลับให้สบายนะเพคะพระชายาเอก”ฉึก! เข็มเล่มเล็กปักลงยังลำคอขาวผ่อง ก่อนที่โม่หลันจะลุกเดินกลับยืนข้างสามี หญิงสาวมองดูศัตรูหัวใจค่อย ๆ อ่อนแรงลงทีละน้อย เลือดสีดำคล้ำไหลซึมยังมุมปาก ทว่าโม่ลี่อิงกลับยังส่งรอยยิ้มให้แก่นางโม่หลัน เผลอมมองตามสายตาของลี่อิง ไปยังร่างในห่อผ้า ซึ่งเวลานี้อยู่ในอ้อมแขนของสาวใช้ ใจของโม่หลันกระตุกวูบ ทว่าทุกความรู้สึกถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ภายใต้ใบหน้ารื่นเริงกับความทรมานของโม่ลี่อิง“นำพระชายาไปนอนพักผ่อน ห้ามให้ผู้ใดเข้ามารบกวนเป็นอันขาด”ลี่อิงทำได้เพียงมองตามหลังของสามี และน้องสาวไปจนลับสายตา ร่างกายของนางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทำได้เพียงหายใจติดขัด มือบางพยายามที่จะเอื้อมไปลูบใบหน้าอ้วนกลม ที่ดวงตาปิดสนิทของทารกน้อย นางไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า สามีจะใจอำมหิตถึงกับสังหารลูกของต
แก๊ก! เสียงเหยียบกิ่งไม้ดังมาจากอีกด้าน ลู่เหลียนฮวารีบหลบยังอีกด้านในทันที ฮึก! เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด ลู่เหลียนฮวารีบใช้มือปิดปากเอาไว้แน่น น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ไหล่บางสั่นไหวจากแรงสะอื้น ‘พี่หลาง...ลี่อิงขลาดเขลา ก้าวเท้าพลาดพลั้ง เพียงเพราะเชื่อมั่นในความฉลาดของตนเอง บัดนี้ลี่อิงสำนึกรู้แล้วเจ้าค่ะ’ หญิงสาวทำได้เพียงทอดสายตามองไปยังร่างสูง ที่ตอนนี้กำลังยกไหสุราดื่ม “ลี่อิง เจ้าสบายดีหรือไม่ พี่มาเยี่ยมเจ้า นี่ขนมที่เจ้าชอบ” ชายหนุ่มแกะห่อผ้าออก ก่อนจะนำขนมออกมาวางยังแผ่นหินหน้าป้ายชื่อ “หากยามนั้นพี่กลับเข้าเมืองหลวงได้ทัน เจ้าคงมิต้องโดดเดียวเพียงลำพังอยู่ที่นี่ หึ ๆ เพราะพี่รู้ใจตนเองช้า เจ้าจึงต้องเป็นเช่นนี้” ลู่เหลียนฮวาน้ำตานองหน้า แต่มิกล้าส่งเสียงใดออกมา เมื่อได้ยินคำพูดของบุรุษผู้ที่นางคิดมาตลอด ว่าเขามิเคยรักนาง ด้วยความสนิทกันของนางและเขาตั้งแต่เยาว์ นางคิดเสมอว่าชายหนุ่มมองนางเป็นเพียงน้องสาว เมื่อบุรุษไร้ใจนางผู้เพียบพร้อม ไหนเลยจะต้องรั้งใจรอเขาจนเลยวัยออกเรือนเล่า ความใฝ่ฝันของสตรีทุกนาง คือการ
“คุณหนู บ่าวเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ลู่เหลียนฮวาตื่นจากความคิดเมื่อครู่ ส่งยิ้มให้ฉีอี้เล็กน้อย หญิงสาวลุกขึ้นก้าวไปยังหลังฉากกั้น ‘เพียงมิกี่มากน้อยที่ได้พบกัน เหตุใดบุรุษที่ยึดมั่นในรัก จึงเลือกหญิงสาวไร้สามารถ เช่นลู่เหลียนฮวาผู้นี้เป็นภรรยาด้วยเล่า’ ลู่เหลียนฮวายิ้มละมุน เมื่อนึกถึงวันฝนพรำที่ได้พบว่าที่สามี “ขอบใจเจ้ามากฉีอี้ เจ้าเตรียมชุดให้ข้าเสร็จแล้ว ช่วยไปเตรียมของสำหรับทำน้ำแกงให้ข้าด้วย” เหลียนฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “เจ้าค่ะ” เหลียนฮวาตั้งใจ ที่จะนำน้ำแกงและขนมไปให้ว่าที่สามี ในสายตาผู้คนนั้น ต่างมองว่านางเป็นสตรีโง่งม หากมิเพราะท่านแม่ทัพต้องการรักษาเกียรติ เห็นทีชาตินี้ นางคงมิแคล้วขึ้นคาน เพราะคำพูดเหล่านี้ของผู้คนอย่างไรเล่า ที่ทำให้ลู่เหลียนฮวาปลิดชีพตนเอง และช่างเป็นสิ่งที่ประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ สองชีวิตที่ต้องตายลงด้วยสาเหตุที่ต่างกัน หนึ่งจาก หนึ่งอยู่ เพราะแรงแค้น ‘ข้าจะให้พวกเจ้าได้ชดใช้ ชื่อของบุตรชายข้า มันผู้ใดก็อย่าหมายจะนำมาเป็นบันไดได้เลย’ หญิงสาวเจ็บร้าวในอกยิ่งนัก เ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ พี่ใหญ่” “ไปเถอะพี่จะไปส่งเจ้า วันนี้คือวันดีของเจ้าและเราทุกคน” ลู่อี้บอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขารู้ดีว่าเหลียนฮวานั้นมิได้ฉลาดล้ำเฉกเช่นพี่น้องคนอื่น แต่อย่างไรนางก็คือน้องสาวพี่สาวที่อ่อนโยนต่อทุกคนในครอบครัว เมื่อหลายปีก่อนเพราะคำของคนภายนอก ที่ทำร้ายน้องสาวของเขาจนคิดสั้น ปลิดชีพตนเองเสีย ทว่าด้วยนางยังมีบุญอยู่มากจึงได้ฟื้นคืนอีกครั้ง แม้ว่านางได้แต่งให้แก่ท่านแม่ทัพจ้าวหลาง แต่ผู้คนเหล่านั้นก็ยังนินทาว่านางมิคู่ควรกับชายหนุ่มอยู่ดี‘จากนี้อยู่ที่ตัวเจ้าแล้วน้องพี่’ลู่อี้เอ่ยอยู่ภายในใจ “รบกวนพี่ใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” “เจ้าคือน้องสาวพี่ เหตุใดกล่าวเช่นนั้นเล่า วันนี้เจ้าคือหญิงสาวผู้โชคดีที่สุด และจงจำคำของพี่ให้ดี ว่าเจ้าเป็นที่รักของสกุลลู่เรา คำผู้อื่นอย่าได้นำมาใส่ใจอีก เข้าใจหรือไม่น้องรัก” ชายหนุ่มเอ่ยสอนน้องสาว เขาจำได้ดีว่าน้องสาวนั้น เคยเก่งกาจเพียงใด ทว่าหลังจากนางเจ็บป่วยหนักอยู่นานหลายปี เมื่อหายดีลู่เหลียนฮวา กลับกลายเป็นหญิงสาวไร้ความสามารถไปเสียแล้ว แม้จะทำได้ ทว่าเมื่อเทียบกับค
“อ๊า!” มือบางเลื่อนขึ้นสอดเข้าใต้กลุ่มผมหนานุ่มของสามี แม้จะมีหลายอย่างที่นางต้องการจะถาม แต่เพราะความรัญจวนที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้นางไม่มีแม้แต่แรงที่จะต้านทาน จ้าวหยางไม่ต้องการนาง เพียงเพื่อปลดปล่อยความเป็นบุรุษ แต่เพราะคืนนี้นางเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียว เขาจะไม่มีวันทำให้ค่ำคืนแรกของการเป็นสามีภรรยา ต้องมีความหม่นหมอง หรือทำให้คนที่กำลังแนบชิดอยู่ในตอนนี้ รู้สึกว่าเขามิให้ความสำคัญแก่นาง เม็ดบัวสีชมพูแข็งชูชันสู้กับปลายลิ้นของเขา ยิ่งเป็นการเพิ่มความกระหายอยากมากขึ้นหลายเท่าตัว ลู่เหลียนฮวารับรู้ได้ว่าตอนนี้สามีกำลังมีความต้องการมากเพียงใด เพราะส่วนสำคัญของบุรุษกำลังทิ่มตำยังต้นขาของนางแล้วในตอนนี้ “ฮวาเอ๋อร์ พี่ขออภัยเจ้าได้หรือไม่ ตอนนี้พี่ทนไม่ไหวแล้ว ใช่ว่าพี่อยากให้คืนแรกของเราเริ่มที่นี่ แต่...” ลู่เหลียนฮวายุติคำพูดของสามี ด้วยเรียวปากอวบอิ่ม เรียวขางามกวัดรัดรอบเอวสอบของสามี นางรู้ดีว่าตอนนี้เขาคงไม่อาจทนได้แล้ว นางยินดีที่จะช่วยทำให้เขามิต้องทรมาน จ้าวหลางอยากจะกลั้นใจตายเสียให้ได้ ที่เขาผู้ห่างหายสตรีไป
ภายในห้องนอน สองร่างยังคงกอดรัดเกี่ยวกวัดกันอยู่บนเตียงอย่างเร้าร้อน เสียงครางเบา ๆ ของหญิงสาว ได้สร้างรอยยิ้มให้แก่แม่ทัพหนุ่ม มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าภรรยาตัวน้อย กำลังกลัวว่าสาวใช้จะมาได้ยินเข้า จึงได้พยายามที่จะเก็บเสียงครวญครางเอาไว้สุดความสามารถ เหลียนฮวาไม่คิดเลยว่าสามีของนาง จะเร้าร้อนได้มากถึงเพียงนี้ เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้หลับไปเพียงชั่วยามเดียวเท่านั้น สามีตัวดีก็พลันปลุกเร้าจนนาง ไม่สามารถต้านทานกับความเสียวซ่านในอารมณ์ได้ ก่อนรุ่งสางสามีอุ้มนางไปแช่น้ำร้อนในสระอาบน้ำ ก่อนจะกลับมาเล้าโลมนางจนถึงตอนนี้ ความอ่อนโยนของเขาช่างน่าปรารถนายิ่งนัก “สายแล้วนะเจ้าคะท่านพี่” เหลียนฮวาเอ่ยปากบอกสามีด้วยเสียงกระเส่า สะโพกงอนงามขยับยกรับการรุกล้ำอย่างเต็มใจ “วันนี้พี่มิได้ไปทำงาน ย่อมมีเวลาให้เจ้าได้จนเช้าพรุ่งนี้เลยทีเดียว” จ้าวหลางตอบภรรยา โดยที่เอวสอบหาได้หยุดลงไม่ ชายหนุ่มโน้มลงบดจูบภรรยาอย่างหิวกระหายในความหวาน ที่เขากลืนกินมาตลอดทั้งคืน เวลาล่วงเลยจนบ่ายคล้อย สองสามีภรรยาจึงได้ก้าวออกจากห้องนอน เหลียน
“เจ้าค่ะท่านพี่” “รีบกินเถอะ น้ำแกงเย็นเสียก่อน มันจะมิอร่อยนะ” “เจ้าค่ะ” หลังมื้ออาหารแม่ทัพหนุ่มรีบพาภรรยากลับเข้าเรือน โดยอ้างว่านางจะเจ็บป่วยเอาได้หากต้องลมเย็นนานไป ทำให้ใบหน้างามซับสีเลือดขึ้นอีกครั้ง มีหรือนางจะไม่เข้าใจถึงความรีบร้อนของสามี แต่ทว่าชีวิตการแต่งงานของลู่เหลียนฮวา หาได้เรียบง่ายอย่างที่นางคิดไม่ เมื่ออดีตคู่หมั้นอย่างพระชายารองโม่หลัน ได้ก้าวเข้ามาโดยทุกคนไม่คาดคิด ว่านางจะหาญกล้าทำเช่นนี้ ด้วยฐานะพระชายารอง ย่อมเหนือกว่าภรรยาแม่ทัพ แล้วเหตุผลใดเล่า ที่หญิงสาวผู้นั้น มักแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนนางผู้เป็นฮูหยินแม่ทัพอยู่บ่อยครั้งเช่นในวันนี้พระชายาโม่หลัน ได้มาขอพบนางอีกครั้ง หลังจากได้สนทนากัน ยังร้านเครื่องประดับเมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อรักษาหน้าของสามีลู่เหลียนฮวา จำต้องต้อนรับอีกผ่านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“หม่อมฉันต้องขออภัยพระชายาด้วยเพคะ ที่มิได้เตรียมการตอนรับให้ดีกว่านี้”“มิต้องคิดมาก เราคนกันเองจะคิดมากไปไย”โม่หลันมองสำรวจภรรยาของอดีคตคู่หมั้น ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ลู่เหลียนฮวางดงามทว่าน่าเสียดาย
เอ่ยจบร่างสูงได้จูงมือภรรยากลับเรือน เสียงลมหายใจของผู้เป็นสามี ทำให้ลู่เหลียนฮวาอยากที่จะวิ่งหนีเสียให้ได้ นางเกรงว่าหากตามใจสามีในตอนนี้ มีหวังการชมโคมในแม่น้ำของนาง คงต้องเลื่อนเป็นคราวหน้าอย่างแน่นอน“ฮวาเอ๋อร์อยากชมโคมจริง ๆ นะเจ้าคะ”ลู่เหลียนฮวารีบเอ่ยเสียงอ่อย ๆ ในขณะที่ก้าวตามแรงจูงของสามี แม่ทัพหนุ่มทำเพียงหัวเราะในลำคอ มีหรือเขาจะไม่เข้าใจในคำพูดของภรรยา“แล้วพี่บอกเจ้าตอนไหน ว่าจะมิพาไป หืม!”จ้าวหลางเปลี่ยนจากจูงมือภรรยา เป็นคว้าเอวบางเข้าสู่อ้อมแขนแทน ก่อนจะกดจมูกคมยังแก้มเนียนของภรรยา หญิงสาวใช้กำปั้นทุบลงยังอกสามีเบา ๆ ด้วยความเขินอาย“เร็วเข้าเถอะเจ้าค่ะ ฮวาเอ๋อร์เริ่มจะหิวแล้ว”“พี่พร้อมเป็นอาหารให้แก่เจ้า”“ท่านพี่ อื้อ!”จ้าวหลางไม่ยอมเปิดโอกาสให้แก่ภรรยา ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ชายหนุ่มบรรจงจูบภรรยาอย่างอ่อนโยน สองร่างยังคงมอบจูบหวานดูดดื่ม โดยมิสนใจว่าขณะนี้อยู่ที่ใด“ท่านพี่ มิอับอายผู้อื่นเลยหรือเจ้าคะ”“ที่นี่คือบ้านของเรา อีกอย่างพี่เพียงอยากชิมความหวานจากปากภรรยา ผู้ใดหาญกล้ามาตำหนิพี่กัน”ลู่เหลียนฮวาไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา นางทำเพียงชุดดึงสามีให้เร่งกลับเข้าเรือน
“องค์ชายอย่าทรงเป็นกังวลไปเลยเพคะ จ้าวหยางจะปลอดภัย”“ท่านหมอรีบมาดูหลานชายข้าเร็วเข้า เรื่องนี้ข้าต้องได้คำตอบก่อนรุ่งสาง”“เชิญองค์ชายทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ”เสวี่ยจ้าน ต้องการที่จะคุยกับองค์ชายต่างแคว้นเพียงลำพัง ทั้งสองหายไปยังอีกห้อง ซึ่งอยู่ถัดไปพระชายาในองค์รัชทายาท ขยับไปยืนข้างกับแม่ทัพสาว นางเองก็รักในตัวจ้าวหยางมิแพ้ผู้ใด ถึงขนาดคิดเอาไว้ ว่าจะทรงยกพระธิดาองค์โต ให้เป็นภรรยาของจ้าวหยางในอนาคตเซียวเถาบีบเบา ๆ ยังมือของหญิงสาวผู้เป็นสหายรัก ก่อนจะเอ่ยปลอบโยนพระชายาเบา ๆ ท่านหมอประจำจวนอ๋องเหลียวมองไปยังมารดาของเด็กชาย ก่อนจะหันกลับมาจัดการรักษาคุณชายน้อยต่างแคว้นต่อองครักษ์คนสนิทของท่านอ๋องเก้า ได้บอกกับเขาขณะเดินทางมายังเรือนนี้ ว่าต่อให้ยมบาล ต้องการลมหายใจของคุณชายจ้าวหยาง ก็ให้ช่วงชิงกลับมาให้จงได้ มิเช่นนั้นจะทำให้ปีศาจร้ายพิโรธ ไม่บอกเขาก็รู้ว่าหมายถึงผู้ใดเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป การรักษาได้เสร็จสิ้นลง จ้าวหยางหลับไปด้วยฤทธิ์ของยา พิษถูกขับออกจนหมด ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่องค์ชายแห่งเว่ย และท่านอ๋องเก้า กลับเข้ามาภายในห้อง“ท่านหมอ ทุกอย่างเรียบร
ฟริ้ว! ฉึก! ลูกธนูปักยังเสาศาลา แทนที่จะเป็นเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ได้หยุดสิ่งที่กำลังทำ เพื่อเตรียมการรับมือ ผู้บุกรุกยามค่ำคืน“หาญกล้าบุกรุกจวนข้า สงสัยคงอยากที่จะเร่งไปยมโลกกระมัง”อ๋องหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เรื่องมีคนลอบทำร้ายเขาหาได้ใส่ใจไม่ แต่พวกมันกลับมาในเวลา ที่เขากำลังจะช่วงชิงหัวใจของหญิงสาว นี่ต่างหากที่ทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นที่สุดคืนนี้เขาสั่งให้องครักษ์ มิให้เข้ามารบกวนเวลาส่วนตัว ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็มิต้องการให้ผู้ใดมานั่งมอง เรื่องระหว่างเขากับมารดาของบุตรชายเป็นอันขาดเซียวเถาปลดสายคาดเอวออก เพื่อใช้เป็นอาวุธ เพียงครู่เดียวห่าธนูได้พุ่งเข้าหาคนทั้งสอง ทั้งคู่ได้สลับกันปัดป้อง มิให้ลูกธนูถูกกายได้ เมื่อทุกอย่างหยุดลง บุรุษชุดดำกว่าสิบชีวิต ได้ปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้“ท่านอ๋องเก้า ชะตามิน่าสิ้นสุดเพียงเท่านี้เลย หากท่านอ๋องไม่ทรงอยู่ร่วมกับนาง ก็คงมิต้องจบชีวิตเช่นนี้” หนึ่งในชายชุดดำเอ่ยขึ้น เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยอย่างแท้จริง ผู้ใดจะคิดว่า ท่านอ๋องเก้า จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแม่ทัพต่างแคว้นเช่นนี้“หึ ๆ เข้ามาในบ้านข้า ยังกล้าปากดีอยู่อีก
“แต่หากเรื่องเช่นนี้เกิดกับหญิงสาวคนอื่น เด็กอาจมิโชคดีเช่นนี้”“สิ่งที่อยากจะหยั่งถึง คือใจของคน ท่านอ๋องอย่าได้ยกย่องหม่อมฉันนักเลยเพคะ ท่านอ๋องจะรู้ได้อย่างไร ว่าคราแรกที่หม่อมฉันรู้ว่าตั้งครรภ์ หม่อมฉันยินดีหรือเสียใจ”“ข้ารู้ดีว่าเจ้าเสียใจ แต่เจ้าก็รักลูกในครรภ์มากกว่าคำครหา”“ดูเหมือนท่านอ๋องจะรู้เรื่องนี้ดีนะเพคะ”“ข้ามีนิท่านเรื่องหนึ่ง จะเล่าให้เจ้าฟัง”“เวลาของค่ำคืนนี้อีกยาวนาน หม่อมฉันยินดีที่จะฟังเพคะ”เรื่องราวต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดออกมาทีละน้อย อ๋องหนุ่มหวนนึกถึง วันที่เขาเพิ่งกลับจากชายแดน เนื้อตัวนั้นมิได้ดูสง่าอันใด เพื่อสืบเรื่องราวบางอย่าง ทำให้เขาจำต้องปลอมตัวเป็นเพียงนักเดินทางทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเขาต้องการหญิงคณิกามาปลดปล่อย ความเป็นบุรุษ ร่างบอบบางที่ดูเหมือนจะหมดสติ และถูกวางยาปลุกกำหนัดถูกนำมาส่งให้ถึงห้อง เขาคิดเพียงว่าเจ้าของหอนางโลม ต้องการสร้างความตื่นเต้นให้แก่เขา จึงได้ทำเช่นนี้ ทว่าเมื่อเขารับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของนาง จึงได้คิดที่จะเลี้ยงดูนางเป็นอนุแต่เมื่อเขากลับมาจากทำธุระ หญิงสาวบนเตียงได้หายไปแล้ว มีเพียงหยกของนาง ที่ถูกลืมเอาไว้
ภายในห้องหนังสือ จวนแม่ทัพกู้หมิง สองสามีภรรยา นั่งประจันหน้ากัน ด้วยความเคร่งเครียด ทุกคำถาม เสมือนน้ำที่เทลงพื้นก็มิปาน เมื่อผู้เป็นภรรยาหาได้ตอบคำถามนั้น แม้แต่ครึ่งคำถงซือเหยา ยังคงใช้ความนิ่งเงียบ สยบทุกคำถามของสามี ด้วยหลายคำถามนั้น มันมิต่างจากคมมีดที่ปักลงสู่กลางใจนาง“สรุป...เจ้ามิคิด ตอบคำถามข้าเลยเช่นนั้นรึ”“ท่านพี่ สิ่งที่ท่านถามมา ข้าไม่ทราบเรื่องเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”“แล้วสิ่งที่เจ้าพูด ตอนอยู่ในสนามประลองมันหมายว่าอย่างไรเล่า”“ข้าแค่พูดไป ตามที่ผู้คนเล่าลือกันเท่านั้นเจ้าค่ะ”“เรื่องเล่าลือเช่นนั้นรึ แม่ทัพจ้าวเป็นคนแคว้นเว่ย จะมีข่าวเช่นนั้นมาเกิดที่ฉินได้อย่างไรกัน”“ท่านพี่พูดเหมือนข้า เป็นผู้ที่ทำเรื่องเช่นนั้น ข้าเป็นภรรยาของท่านนะเจ้าคะ จะลดตัวไปทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”“ก็ขอให้มันจริง เพราะเท่าที่ข้ารู้มา เรื่องต่ำช้ากว่านี้ คนเช่นเจ้าก็เคยทำมันมาแล้ว ข้านิ่งเฉยมาตลอด เพราะคิดว่าเจ้าจะปรับปรุงตัว”“ท่านพี่ หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”“กลับไปเถอะ แล้วทบทวนสิ่งที่เจ้าทำ และคิดให้มากว่านี้ เจ้าจะมีความสุขเช่นที่ผ่านมา หรือให้ทุกอย่างแตกแยก”“ฮึ! เพราะมั
เซียวเถาเลิกคิ้วสูง เป็นเชิงถามชายหนุ่ม ที่กำลังยืนหายใจประหนึ่งม้าศึก ที่ผ่านการวิ่งมาอย่างสุดกำลัง ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางของท่านอ๋องหนุ่ม“ไม่เลยขอรับท่านแม่ หากมิได้ท่านแม่ช่วยไว้ จ้าวหยางคงลำบากกว่านี้”“หึ ๆ แม่มิได้ทำอันใดเลย แค่เบื่อท่าทางอวดดีของลูกนกในกรงทอง ก็เท่านั้นเอง”“ข้าเกือบจะลงมือจริง ๆ เสียแล้ว”“แค่เรื่องขำขัน อย่าได้ใส่ใจ”การสนทนาของสองแม่ลูก ทำให้อ๋องหนุ่มถึงกับลอบกลืนน้ำลาย จ้าวหยางเติบโตขึ้น ย่อมต้องเป็นคนที่น่ากลัว กว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดเป็นแน่ ดูแล้วเซียวเหยาผู้นี้ มิใช่เพียงสตรีที่เก่งทางด้านการต่อสู้เพียงอย่างเดียวสินะ จะมีใครบ้าดีเดือดขนาดทำเช่นนางได้ไหนจะเจ้าลูกชายตัวดี ที่ดูจะเข้าขากับผู้เป็นแม่ เสียจนเขากลายเป็นเพียงลาโง่ไปในทันที“ไปกันเถอะ ยืนตรงนี้นาน เกรงจะทำให้คุณชายน้อยผู้นั้น อกแตกตาย”เซียวเถาเอ่ยขึ้น ในขณะที่ถงซือเหยา กำลังเดินผ่าน เพื่อไปจัดเตรียมสิ่งของนำบุตรชายกลับจวน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ถงซือเหยาถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงกรุ่นโทสะ นิ้วเรียวสั่นระริก ชี้ไปยังแม่ทัพต่างแคว้น“เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นถึงภรรยาแม่ทัพ แต่ไร้มารยาทที
“หึ ๆ แม่มิได้ต้องการให้เจ้าลำพองตน จงถ่อมตัวให้มาก แต่อย่ายินยอมให้ผู้ใด มาช่วงชิงลมหายใจของเราไปได้เช่นกัน”“ลูกจะจดจำไว้ขอรับ”สองแม่ลูกเปลี่ยนบทสนทนา เมื่อท่านอ๋องต่างแคว้น เดินเข้ามาหา พร้อมขนมในมือ ชายหนุ่มนั่งลงอีกด้านของจ้าวหยาง“ขนมกลีบเหมยกุ้ยป่า เป็นของที่ท่านย่าจะ...เอ่อ หมายถึงท่านแม่ของข้า ชอบทำให้กินยามเหนื่อยล้าจากการฝึก ข้าอยากให้เจ้าได้ลิ้มลองสักหน่อย”จ้าวหยางหันกลับไปหาผู้เป็นแม่ ก่อนจะได้รับคำอนุญาต เด็กชายจึงรับขนมในจาน มากินอย่างช้า ๆ ทำให้เสวี่ยจ้านยิ้มกว้าง ด้วยความยินดีชายหนุ่มอยากตบปากตนเองยิ่งนัก ที่รีบร้อนจนเกินไป เกือบจะเอ่ยว่ามารดาของเขา คือย่าของจ้าวหยางเสียแล้วเสนาบดีถง หรี่ตามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอัดแน่น เขาไม่อยากที่จะคิดเลยว่า ทั้งสามคนนั้นคือครอบครัว บุตรสาวที่หายตัวไปนับสิบปี หลานชายผู้มีใบหน้าถอดแบบบุรุษสูงศักดิ์ กับท่านอ๋องผู้เป็นดั่งปีศาจร้ายในยามสงคราม ‘เป็นไปมิได้’เขาจำได้ดี ว่าบุตรสาวคนโตนั้น พึงใจในตัวของกู้หมิงมากเพียงใด ไม่มีทางที่นางจะไปผู้สัมพันธ์กับท่านอ๋องเก้าได้ ทั้งคู่มิเคยพบเจอกันสักครั้ง แล้วไยจะเป็นท่านอ๋องเล่า ที่เป็นบิดาขอ
ทางด้านเซียวเหยา หาได้ใส่ใจกับสายตาแตกตื่นของผู้คนไม่ การที่นางให้บุตรชายใช้ม้าของตนเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าม้าของจ้าวหยาง ถูกวางยา เมื่อออกวิ่งเกินขีดจำกัดเมื่อใด ก็จะเกิดอันตรายต่อบุตรชายของนาง และนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สายลับ ของคนเหล่านั้นไม่เคยรู้มาก่อน ว่านางฝึกฝนจ้าวหยาง ด้วยม้าคู่ใจของตนเองมาโดยตลอด“ไยเจ้าดูมิห่วงใยเขาเลย”เสวี่ยจ้าน เอ่ยถามคนข้างกาย ด้วยน้ำเสียงมิใคร่พอใจเท่าใดนัก หากเกิดสิ่งมิคาดฝันขึ้น จะทำเช่นไร ‘สตรีวิปลาสผู้นี้ คิดจะอวดเบ่งไปเพื่อสิ่งใดกัน’“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคือมารดา คือผู้ที่คลอดเขาออกมาด้วยตนเอง ย่อมรู้จักเขาดีกว่าผู้ใด ในเมื่อมีคนคิดสกปรก หม่อมฉันก็แค่ทำให้คนเหล่านั้นผิดหวัง หาได้ทำอันใดผิดไม่เพคะ”เซียวเถาตอบท่านอ๋องเก้า ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จนบางครั้งชายหนุ่มเองก็รู้สึกขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อย กับท่าทีไร้อารมณ์ของหญิงสาวข้างกาย“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เสวี่ยจ้าน ขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่อได้ยินในสิ่งที่เขา ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดหาญกล้าทำเช่นนี้“ท่านอ๋องมิได้ขลาดเขลา ย่อมเข้าใจมันได้ไม่ยาก มิเห็นต้องให้หม่อมฉันอธิบายมากความเลยนะเพคะ”อ๋องหนุ่มมองไปยัง ม้าสอง
“ลูกจะมิทำอันใด หากว่าเขายังมิก้าวล้ำจนเกินไป”จ้าวหยาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า อีกทั้งรอยยิ้มละมุนยังมิจางหายจากใบหน้า เซียวเถาคลี่ยิ้มน้อย ๆ แค่มองตานางก็รับรู้ถึงสิ่งที่บุตรชายคิด การเลี้ยงดูของนางนั้น แตกต่างจากมารดาอื่นอยู่มาก แต่ทุกสิ่งที่นางได้กระทำก็เพื่อจ้าวหยางทั้งสิ้นเซียวเถา บีบไหล่บุตรชายหนัก ๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ ก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปยังที่นั่งของตน โดยมิได้รั้งรอเพื่อส่งจ้าวหยางขึ้นหลังม้า ซึ่งทหารของนางกำลังจูงอาชาสีดำสนิท ตรงมายังบุตรชายของนาง ทุกการกระทำนั้น ในทุกสายตาที่มองมาต่างรู้สึกสงสารจ้าวหยางยิ่งนัก ที่มารดานั้นหาได้ใส่ใจในตัวเด็กชายไม่ ซึ่งแตกต่างจากแม่ทัพกู้หมิง ที่ยังคงแนะนำการขี่ม้า เพื่อช่วงชิงธงให้แก่บุตรชายอย่างเคร่งเครียด“ไยแม่ทัพจ้าว จึงดูมิใส่ใจบุตรชายเอาเสียเลยเล่า” ฮ่องเต้ชราเอ่ยขึ้น เมื่อมองเห็นสิ่งที่เซียวเถาแสดงออกต่อจ้าวหยาง“นางรักบุตรชายมากต่างหากเล่าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”องค์รัชทายาทแห่งเว่ยเอ่ยขึ้นบ้าง พร้อมทั้งมองไปยังจ้าวหยาง ที่กำลังทำการสำรวจความพร้อมของอาชาคู่กายของผู้เป้นมารดา“อย่างไรที่ว่ารักมาก”“ทูลฝ่าบาท หากจะทรงสังเกตจ้าวหยา
สวนดอกไม้หน้าเรือนรับรอง เสวี่ยจ้านหยุดมองไปยังร่างบาง ที่ยังอยู่ในชุดงานเลี้ยง“อะ...แฮ่ม” ชายหนุ่มแสร้งกระแอมเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว ซึ่งเขามั่นใจว่านางรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา นับตั้งแต่ก้าวผ่านประตูทางเข้าเรือนมาแล้ว“ท่านอ๋องมีเรื่องใด ให้หม่อมฉันรับใช้หรือไม่เพคะ”หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น พร้อมหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน“มิได้ ข้าเอาน้ำแกงมาให้ก็เท่านั้น พอดีข้าเห็นเจ้าดื่มหนักอยู่พอสมควร เกรงจะมิสร่างเมาในยามเช้า เลยเอามาให้”ชายหนุ่มรีบยกตะกร้าใส่น้ำแกง ที่เขาได้ให้องครักษ์สั่งห้องครัว จัดเตรียมไว้รอท่า ก่อนที่ทุกคนจะกลับจากวังหลวง“ท่านอ๋อง มิเห็นต้องลำบากมาด้วยตนเองเลยนะเพคะ”“ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย มาเถอะประเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”ชายหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลาภายในสวน ก่อนจะจัดแจงนำน้ำแกงออกมาจากตะกร้า ทุกการกระทำของชายหนุ่มนั้น ดูนิ่มนวลและใส่ใจต่อสิ่งที่อยู่ในมือยิ่งนักเซียวเถาเดินตามมาเงียบ ๆ เมื่ออีกฝ่ายมีน้ำใจ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางก็มิสมควรทำลายน้ำใจนี้ลง สุราเพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้นางเป็นอันใดได้เลย“ท่านอ๋อง ดื่มด้วยกันเถอะเพคะ น้ำแกงนี่หม่อมฉันกินคนเดียวไม่ห