เอ่ยจบร่างสูงได้จูงมือภรรยากลับเรือน เสียงลมหายใจของผู้เป็นสามี ทำให้ลู่เหลียนฮวาอยากที่จะวิ่งหนีเสียให้ได้ นางเกรงว่าหากตามใจสามีในตอนนี้ มีหวังการชมโคมในแม่น้ำของนาง คงต้องเลื่อนเป็นคราวหน้าอย่างแน่นอน“ฮวาเอ๋อร์อยากชมโคมจริง ๆ นะเจ้าคะ”ลู่เหลียนฮวารีบเอ่ยเสียงอ่อย ๆ ในขณะที่ก้าวตามแรงจูงของสามี แม่ทัพหนุ่มทำเพียงหัวเราะในลำคอ มีหรือเขาจะไม่เข้าใจในคำพูดของภรรยา“แล้วพี่บอกเจ้าตอนไหน ว่าจะมิพาไป หืม!”จ้าวหลางเปลี่ยนจากจูงมือภรรยา เป็นคว้าเอวบางเข้าสู่อ้อมแขนแทน ก่อนจะกดจมูกคมยังแก้มเนียนของภรรยา หญิงสาวใช้กำปั้นทุบลงยังอกสามีเบา ๆ ด้วยความเขินอาย“เร็วเข้าเถอะเจ้าค่ะ ฮวาเอ๋อร์เริ่มจะหิวแล้ว”“พี่พร้อมเป็นอาหารให้แก่เจ้า”“ท่านพี่ อื้อ!”จ้าวหลางไม่ยอมเปิดโอกาสให้แก่ภรรยา ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ชายหนุ่มบรรจงจูบภรรยาอย่างอ่อนโยน สองร่างยังคงมอบจูบหวานดูดดื่ม โดยมิสนใจว่าขณะนี้อยู่ที่ใด“ท่านพี่ มิอับอายผู้อื่นเลยหรือเจ้าคะ”“ที่นี่คือบ้านของเรา อีกอย่างพี่เพียงอยากชิมความหวานจากปากภรรยา ผู้ใดหาญกล้ามาตำหนิพี่กัน”ลู่เหลียนฮวาไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา นางทำเพียงชุดดึงสามีให้เร่งกลับเข้าเรือน
“เยี่ยหลิง อากาศเย็นมากแล้ว เจ้ากลับจวนเสียก่อนจะดีกว่า หากล้มป่วยลงจะมิเป็นการดีเท่าใดนัก”“เพคะ”องค์หญิงเยี่ยหลิง ผู้ถูกแม่ทัพจ้าวหลางปฏิเสธรับเข้าจวน เวลานี้นางคือพระชายาสามของท่านอ๋องเจ็ด เมื่อเป็นได้เพียงรอง สิ่งใดที่อีกฝ่ายวางให้นางเป็น นางจำต้องยอมรับมันเอาไว้ ด้วยไรซึ่งคำโต้แย้งหญิงสาวย่อกายเล็กน้อย ให้แก่สามีและภรรยารักของเขา รอยยิ้มหวานนั้น หาได้รอดพ้นสายตาสองสามีภรรยาไปได้“นางหาได้ธรรมดาไม่เพคะ”“แคว้นเชี่ย ไยจะหาญกล้าส่งลูกนกมิพลัดขนมาบรรณาการแก่เราได้ หากไร้พิษสง มีหรือจะเหมาะกับการเป็นภรรยาอีกคนของข้า”“ใช่สิเพคะ นอกจากจะงามเลิศแล้วยังมีพิษสงรอบกาย หม่อมฉันหาได้เทียบเคียง”โม่หลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด แม้ภายนอกเป็นการประชดเพื่อให้สามีเอาใจ ทว่าภายในใจนั้น เป็นเช่นที่นางพูดออกไปในทุกสิ่งอย่าง“เด็กโง่ มีหรือที่จะมิรู้ใจเจ้า”ร่างสูงโอบกอดภรรยารักเข้าสู่อ้อมแขน ก่อนจะมองไปยังท้องฟ้าที่มีโคมลอยอยู่เต็มไปหมด ความงามของสิ่งที่อยู่ในสายตา หาได้เทียบเท่ากับความใฝ่ฝันที่ใกล้เข้ามาในมิช้า‘มันควรเป็นของข้าแต่แรก’ถนนริมคลองกลางเมือง สองร่างเคียงข้างกันเดินชื่นชมสิน
“ข้ามิได้เป็นภัยต่อท่านแม่ทัพอย่างแน่นอนขอรับ โปรดอย่าได้เป็นกังวล”ผู้มาใหม่เอ่ยขึ้นในขณะที่รับมือคนชุดดำ เพื่อช่วยเหลือแม่ทัพหนุ่ม จ้าวหลางมองไปยังด้านของภรรยา ซึ่งเวลานี้ด้านหน้าของนางนั้น มีชายหนุ่มรูปงามยืนขวางนักฆ่าเอาไว้ใช้เวลาเพียงมิถึงครึ่งก้านธูป ทุกอย่างก็ได้เสร็จสิ้นลง จ้าวหลางเดินเข้าโอบกอดภรรยา ก่อนจะมองไปยังผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเขาเอาไว้ในครั้งนี้“ข้าต้องขอบคุณพวกท่าน ที่ได้ยื่นมือช่วยเหลือ”“ขออย่าได้เกรงใจไปเลยขอรับท่านแม่ทัพ มันคือหน้าที่ของพวกเรา ที่จะต้องปกป้องผู้ที่ถือคำสั่งแห่งอิง”คำพูดของหนึ่งในชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทำให้ท่อนแขนแกร่งเผลอกระชับร่างภรรยาแน่นขึ้นอีก“ขอบคุณพวกท่านมาก ข้าฝากบอกเขาด้วย ว่าใกล้ถึงเวลาหวนคืนแล้ว”เป็นลู่เหลียนฮวาที่เอ่ยขึ้น น้ำเสียงของหญิงสาวหาได้แสดงความอ่อนแอไม่ แต่มันคือน้ำเสียงของผู้นำอย่างแท้จริง“ขอรับ นายหญิง”หนึ่งในชายหนุ่มทั้งหมด ค้อมศีรษะตอบรับคำของผู้เป็นนาย โดยหาได้ใส่ใจกับสายตามีคำถามของบุรุษ ที่กำลังโอบกอดผู้เป็นนายอยู่ในตอนนี้“กลับกันเถอะเจ้าค่ะท่านพี่ ฮวาเอ๋อร์สัญญาว่าจะมิมีสิ่งใดปิดบังท่านพี่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”ห
ร่างบางถูกวางไว้บนเตียง หญิงสาวถึงกับใบหน้าแดงก่ำ เมื่อเสียงประตูปิดลง ซึ่งเป็นผู้ใดไปไม่ได้ นอกเสียจากสาวใช้ของนางเอง สิ้นเสียงประตู ชายหนุ่มได้ก้มลงซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่นของภรรยา ก่อนจะเลื่อนมือไปกระตุกสายคาดเอวของคนใต้ร่าง เพียงครู่เดียวร่างบางในตอนนี้ไร้ซึ่งอาภรณ์ ใบหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวด้วยความรัญจวน เมื่อถูกสามีปลุกเร้าด้วยลิ้นอุ่นร้อน ทั้งยังมือหยาบกร้านของสามี ที่ลูบไล้สลับบีบเคล้นไปทั่วร่าง ลู่เหลียนฮวาพยายามข่มกลั้นเสียงครางเอาไว้ ด้วยเกรงสาวใช้หรือทหารด้านนอกจะได้ยิน “พวกเขาไม่มีใคร หาญกล้าอยู่ใกล้เรือนอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบาหวิว ข้างใบหูของภรรยา ก่อนจะขบเม้มเบา ๆ ยังติ่งหู สิ้นคำพูดของสามี ลู่เหลียนฮวาจึงได้ปลดปล่อยเสียงครางออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้ เมื่อถูกล่วงล้ำจากสามี จ้าวหลางขยับกายอย่างเชื่อช้า ก่อนจะเพิ่มความเร้าร้อนขึ้นตามแรงกระตุ้นจากภรรยา เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน สองร่างกระตุกเกร็งพร้อมส่งเสียงครางอย่างสุขสม จ้าวหลางยังคงกอดภรรยาไว้แนบกาย ก่อนจะค่อย ๆ ถอดถอนแท่งหยกออกจากช่องทางเล็กแคบข
“หากฮวาเอ๋อร์ ถามท่านพี่สักเรื่อง ท่านพี่จะขุ่นเคืองหรือไม่เจ้าคะ” “สามีภรรยาคือคน คนเดียวกัน เหตุใดพี่ต้องขุ่นเคืองด้วยเล่า” “ท่านพี่ คิดเช่นไรกับพระชายารอง” “หึ ๆ เรื่องนี้เองรึ ที่วันนี้เจ้ามิค่อยเต็มใจในเรื่องระหว่างเรา” “จะมิให้ฮวาเอ๋อร์คิดได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ก็เมื่อหัวค่ำท่านพี่มองนางเสียขนาดนั้น” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ใช่นางไม่เห็นสายตาที่สามีมองยังอดีตคู่หมั้น ที่รั้งตำแหน่งพระชายารองในท่านอ๋องเจ็ด “ฮ่า ๆ เจ้าหึงพี่ เช่นนั้นแสดงว่าเจ้ารักพี่ใช่หรือไม่” “ท่านพี่รู้ดีกว่าผู้ใดนี่เจ้าค่ะ” “ฟังพี่นะเด็กโง่ พี่ไม่เคยคิดอันใดกับนางเลย และนางมิเคยอยู่สายตาของพี่เลยสักครั้ง” “แล้วเหตุใดท่านพี่ จึงยอมหมั้นหมายกับนางมาก่อนเล่าเจ้าคะ” “นั่นเพราะพี่เพียงต้องการ จะปกป้องใครอีกคนก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนจะไร้ความหมาย ในเมื่อสิ่งที่พี่ทำไปมิอาจรั้งชีวิตนางเอาไว้ได้” “ผู้ใดกันเจ้าคะ” ลู่เหลียนฮวาจ้องตาสามีเพื่อรอคำตอบ จ้าวหลางไม่คิดที่จะปิดบังภร
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา สองสามีภรรยาหาได้สนใจเรื่องของผู้อื่นไม่ แม่ทัพหนุ่มสรรหาแต่ของบำรุง เรียกได้ว่าทุกสิ่งอย่างที่ว่าดีต่อลูกเมีย แม่ทัพหนุ่มจัดหามาจนแทบจะทั้งสิ้นลู่เหลียนฮวา กำลังนั่งอ่านจดหมายลับ ที่คนของนางได้นำมามอบให้ นับตั้งแต่ตื่นมาในร่างของลู่เหลียนฮวา นางก็ได้หาคนที่ซื่อสัตย์เอาไว้ใช้ทำงานลับนี้อยู่หลายคนเพื่อประสานงานกับคนของนางเมื่อครั้งชีวิตเก่า ทุกอย่างถูกกระทำขึ้นในนามของสหายลับในอดีตพระชายา เรื่องการกลับมาของนาง มิอาจแพร่งพรายออกไปได้ ด้วยหลากหลายเหตุผลทุกตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษ ทำให้ใบหน้างามดูเรียบตึงกว่าที่เคย ความเจ็บแค้นปะทุขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามมิอยู่ “พี่ใหญ่ ลี่อิงไร้สามารถที่จะปกป้องท่านพ่อ ทุกสิ่งอย่างอยู่ในมือของท่านแล้ว” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหย่อนกระดาษในมือลงสู่กระถางที่มีถ่านแดงร้อนอยู่ภายใน “ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพให้มาแจ้งว่า มื้อค่ำท่านแม่ทัพโม่หยางจะมาร่วมด้วยเจ้าค่ะ” เป็นแม่นมจู ที่ก้าวเข้ามารายงานผู้เป็นนาย “เช่นนั้น ข้าจะเข้าครัวด้วยตนเอง” ลู่เหลียนฮวา ดีใจจนแทบจะเก็บอาก
“นายหญิงของข้าฝากแจ้งแก่ท่าน แม้ร่างดับสูญแต่จิตวิญญาณหาสิ้นไม่ ทุกสิ่งนางทำเพื่อทวงความเป็นธรรม ให้แก่ตัวนางและบุตรชาย ทั้งยังปกป้องคนที่นางรักอีก จงระวังตัวให้มากท่านแม่ทัพโม่” ร่างในชุดดำก้าวชิดภูเขาจำลอง ก่อนจะพูดในสิ่งที่ผู้เป็นนายแท้จริงได้ฝากให้แจ้งแก่ชายหนุ่ม “เจ้ามีนายหลายคนเหลือเกินนะ” “นายข้ามีเพียงหนึ่ง หาได้คิดทรยศต่อผู้ใดไม่ คนฉลาดเช่นท่านย่อมรู้ว่าข้ากำลังทำสิ่งใดอยู่” ตุ๊บ! มีบางอย่างตกลงตรงหน้าของโม่หยาง ก่อนที่ชายชุดดำจะหายไปในความมืด โม่หยางก้มลงเก็บของสิ่งนั้น เข้าไว้ภายใต้แขนเสื้อ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทาง ก้าวไปยังเรือนของตนด้วยหัวใจเต้นรัว ด้วยคำพูดของชายชุดดำนั้น ไม่ต้องบอกจนหมดเขาก็รู้ว่าหมายถึงผู้ใดโม่หยางคลี่ผ้าผืนงามออก สายตาไล่ไปตามตัวอักษร ทุกถ้อยคำนั้นกระชับได้ใจความ มือหนาสั่นสะท้าน‘มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ท่านชายน้อยเสวี่ยอี้มิใช่หลานชายของข้าเช่นนั้นรึ’ เพียงครู่เดียว ร่างในชุดดำได้คุกเข่าลงตรงหน้าของโม่หยาง เพื่อรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย “สืบเรื่องนี้มาให้กระจ่าง อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่
“ฮูหยินของเจ้าก็มีกลิ่นนี้” “ข้ารู้...หากข้าจะบอกเจ้าว่าที่ข้าแต่งงานกับฮวาเอ๋อร์นั้น ในคราแรกที่พบเจอนาง ข้ารู้สึกเหมือนคนผู้นั้นกลับมาแล้ว ข้ามิเคยปิดบังฮวาเอ๋อร์ แม้แต่เรื่องในอดีตว่าข้ารักผู้ใดมาก่อน” “แล้วนาง รับมันได้หรืออย่างไรกัน” “หากมิได้...มีหรือ ข้าจะยังได้โอบกอดนางในทุกค่ำคืนเช่นนี้เล่า” “พี่สะใภ้ของข้า มิได้โง่เขลา เช่นที่ชาวเมืองลำลือใช่หรือไม่” โม่หยางเอ่ยถามถึงความข้องใจของตนเอง “หึ ๆ ในสายตาเจ้า คิดเห็นเป็นเช่นไรเล่า” จ้าวหลางหัวเราะในลำคอ “แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้อื่นเห็น ย่อมต่างจากสายตาเราทั้งคู่ และต่อให้มีผู้อื่นที่มองเห็นอยู่บ้าง ก็คงคิดว่านางเพียงเสแสร้งหาได้เชื่อว่านางฉลาดล้ำอันใด” หลังจากวันนั้นเพียงสองวัน เรื่องสะเทือนใจก็ได้เกิดขึ้นยังจวนอ๋อง เมื่อท่านชายที่ถือกำเนิดจากอดีตพระชายาเอกโม่ลี่อิง ได้สิ้นใจลงด้วยยาพิษ โดยยังมิอาจจับตัวคนร้ายเอาไว้ได้ สิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจ นั่นคือเหตุใดพระชายารอง จึงดูเศร้าโศกเสียใจจนคลุ้มคลั่งเจียนตาย จริงอยู่ว่าท่านชายน้อยคือหลานแท้ ๆ
“องค์ชายอย่าทรงเป็นกังวลไปเลยเพคะ จ้าวหยางจะปลอดภัย”“ท่านหมอรีบมาดูหลานชายข้าเร็วเข้า เรื่องนี้ข้าต้องได้คำตอบก่อนรุ่งสาง”“เชิญองค์ชายทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ”เสวี่ยจ้าน ต้องการที่จะคุยกับองค์ชายต่างแคว้นเพียงลำพัง ทั้งสองหายไปยังอีกห้อง ซึ่งอยู่ถัดไปพระชายาในองค์รัชทายาท ขยับไปยืนข้างกับแม่ทัพสาว นางเองก็รักในตัวจ้าวหยางมิแพ้ผู้ใด ถึงขนาดคิดเอาไว้ ว่าจะทรงยกพระธิดาองค์โต ให้เป็นภรรยาของจ้าวหยางในอนาคตเซียวเถาบีบเบา ๆ ยังมือของหญิงสาวผู้เป็นสหายรัก ก่อนจะเอ่ยปลอบโยนพระชายาเบา ๆ ท่านหมอประจำจวนอ๋องเหลียวมองไปยังมารดาของเด็กชาย ก่อนจะหันกลับมาจัดการรักษาคุณชายน้อยต่างแคว้นต่อองครักษ์คนสนิทของท่านอ๋องเก้า ได้บอกกับเขาขณะเดินทางมายังเรือนนี้ ว่าต่อให้ยมบาล ต้องการลมหายใจของคุณชายจ้าวหยาง ก็ให้ช่วงชิงกลับมาให้จงได้ มิเช่นนั้นจะทำให้ปีศาจร้ายพิโรธ ไม่บอกเขาก็รู้ว่าหมายถึงผู้ใดเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป การรักษาได้เสร็จสิ้นลง จ้าวหยางหลับไปด้วยฤทธิ์ของยา พิษถูกขับออกจนหมด ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่องค์ชายแห่งเว่ย และท่านอ๋องเก้า กลับเข้ามาภายในห้อง“ท่านหมอ ทุกอย่างเรียบร
ฟริ้ว! ฉึก! ลูกธนูปักยังเสาศาลา แทนที่จะเป็นเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ได้หยุดสิ่งที่กำลังทำ เพื่อเตรียมการรับมือ ผู้บุกรุกยามค่ำคืน“หาญกล้าบุกรุกจวนข้า สงสัยคงอยากที่จะเร่งไปยมโลกกระมัง”อ๋องหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เรื่องมีคนลอบทำร้ายเขาหาได้ใส่ใจไม่ แต่พวกมันกลับมาในเวลา ที่เขากำลังจะช่วงชิงหัวใจของหญิงสาว นี่ต่างหากที่ทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นที่สุดคืนนี้เขาสั่งให้องครักษ์ มิให้เข้ามารบกวนเวลาส่วนตัว ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็มิต้องการให้ผู้ใดมานั่งมอง เรื่องระหว่างเขากับมารดาของบุตรชายเป็นอันขาดเซียวเถาปลดสายคาดเอวออก เพื่อใช้เป็นอาวุธ เพียงครู่เดียวห่าธนูได้พุ่งเข้าหาคนทั้งสอง ทั้งคู่ได้สลับกันปัดป้อง มิให้ลูกธนูถูกกายได้ เมื่อทุกอย่างหยุดลง บุรุษชุดดำกว่าสิบชีวิต ได้ปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้“ท่านอ๋องเก้า ชะตามิน่าสิ้นสุดเพียงเท่านี้เลย หากท่านอ๋องไม่ทรงอยู่ร่วมกับนาง ก็คงมิต้องจบชีวิตเช่นนี้” หนึ่งในชายชุดดำเอ่ยขึ้น เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยอย่างแท้จริง ผู้ใดจะคิดว่า ท่านอ๋องเก้า จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแม่ทัพต่างแคว้นเช่นนี้“หึ ๆ เข้ามาในบ้านข้า ยังกล้าปากดีอยู่อีก
“แต่หากเรื่องเช่นนี้เกิดกับหญิงสาวคนอื่น เด็กอาจมิโชคดีเช่นนี้”“สิ่งที่อยากจะหยั่งถึง คือใจของคน ท่านอ๋องอย่าได้ยกย่องหม่อมฉันนักเลยเพคะ ท่านอ๋องจะรู้ได้อย่างไร ว่าคราแรกที่หม่อมฉันรู้ว่าตั้งครรภ์ หม่อมฉันยินดีหรือเสียใจ”“ข้ารู้ดีว่าเจ้าเสียใจ แต่เจ้าก็รักลูกในครรภ์มากกว่าคำครหา”“ดูเหมือนท่านอ๋องจะรู้เรื่องนี้ดีนะเพคะ”“ข้ามีนิท่านเรื่องหนึ่ง จะเล่าให้เจ้าฟัง”“เวลาของค่ำคืนนี้อีกยาวนาน หม่อมฉันยินดีที่จะฟังเพคะ”เรื่องราวต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดออกมาทีละน้อย อ๋องหนุ่มหวนนึกถึง วันที่เขาเพิ่งกลับจากชายแดน เนื้อตัวนั้นมิได้ดูสง่าอันใด เพื่อสืบเรื่องราวบางอย่าง ทำให้เขาจำต้องปลอมตัวเป็นเพียงนักเดินทางทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเขาต้องการหญิงคณิกามาปลดปล่อย ความเป็นบุรุษ ร่างบอบบางที่ดูเหมือนจะหมดสติ และถูกวางยาปลุกกำหนัดถูกนำมาส่งให้ถึงห้อง เขาคิดเพียงว่าเจ้าของหอนางโลม ต้องการสร้างความตื่นเต้นให้แก่เขา จึงได้ทำเช่นนี้ ทว่าเมื่อเขารับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของนาง จึงได้คิดที่จะเลี้ยงดูนางเป็นอนุแต่เมื่อเขากลับมาจากทำธุระ หญิงสาวบนเตียงได้หายไปแล้ว มีเพียงหยกของนาง ที่ถูกลืมเอาไว้
ภายในห้องหนังสือ จวนแม่ทัพกู้หมิง สองสามีภรรยา นั่งประจันหน้ากัน ด้วยความเคร่งเครียด ทุกคำถาม เสมือนน้ำที่เทลงพื้นก็มิปาน เมื่อผู้เป็นภรรยาหาได้ตอบคำถามนั้น แม้แต่ครึ่งคำถงซือเหยา ยังคงใช้ความนิ่งเงียบ สยบทุกคำถามของสามี ด้วยหลายคำถามนั้น มันมิต่างจากคมมีดที่ปักลงสู่กลางใจนาง“สรุป...เจ้ามิคิด ตอบคำถามข้าเลยเช่นนั้นรึ”“ท่านพี่ สิ่งที่ท่านถามมา ข้าไม่ทราบเรื่องเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”“แล้วสิ่งที่เจ้าพูด ตอนอยู่ในสนามประลองมันหมายว่าอย่างไรเล่า”“ข้าแค่พูดไป ตามที่ผู้คนเล่าลือกันเท่านั้นเจ้าค่ะ”“เรื่องเล่าลือเช่นนั้นรึ แม่ทัพจ้าวเป็นคนแคว้นเว่ย จะมีข่าวเช่นนั้นมาเกิดที่ฉินได้อย่างไรกัน”“ท่านพี่พูดเหมือนข้า เป็นผู้ที่ทำเรื่องเช่นนั้น ข้าเป็นภรรยาของท่านนะเจ้าคะ จะลดตัวไปทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”“ก็ขอให้มันจริง เพราะเท่าที่ข้ารู้มา เรื่องต่ำช้ากว่านี้ คนเช่นเจ้าก็เคยทำมันมาแล้ว ข้านิ่งเฉยมาตลอด เพราะคิดว่าเจ้าจะปรับปรุงตัว”“ท่านพี่ หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”“กลับไปเถอะ แล้วทบทวนสิ่งที่เจ้าทำ และคิดให้มากว่านี้ เจ้าจะมีความสุขเช่นที่ผ่านมา หรือให้ทุกอย่างแตกแยก”“ฮึ! เพราะมั
เซียวเถาเลิกคิ้วสูง เป็นเชิงถามชายหนุ่ม ที่กำลังยืนหายใจประหนึ่งม้าศึก ที่ผ่านการวิ่งมาอย่างสุดกำลัง ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางของท่านอ๋องหนุ่ม“ไม่เลยขอรับท่านแม่ หากมิได้ท่านแม่ช่วยไว้ จ้าวหยางคงลำบากกว่านี้”“หึ ๆ แม่มิได้ทำอันใดเลย แค่เบื่อท่าทางอวดดีของลูกนกในกรงทอง ก็เท่านั้นเอง”“ข้าเกือบจะลงมือจริง ๆ เสียแล้ว”“แค่เรื่องขำขัน อย่าได้ใส่ใจ”การสนทนาของสองแม่ลูก ทำให้อ๋องหนุ่มถึงกับลอบกลืนน้ำลาย จ้าวหยางเติบโตขึ้น ย่อมต้องเป็นคนที่น่ากลัว กว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดเป็นแน่ ดูแล้วเซียวเหยาผู้นี้ มิใช่เพียงสตรีที่เก่งทางด้านการต่อสู้เพียงอย่างเดียวสินะ จะมีใครบ้าดีเดือดขนาดทำเช่นนางได้ไหนจะเจ้าลูกชายตัวดี ที่ดูจะเข้าขากับผู้เป็นแม่ เสียจนเขากลายเป็นเพียงลาโง่ไปในทันที“ไปกันเถอะ ยืนตรงนี้นาน เกรงจะทำให้คุณชายน้อยผู้นั้น อกแตกตาย”เซียวเถาเอ่ยขึ้น ในขณะที่ถงซือเหยา กำลังเดินผ่าน เพื่อไปจัดเตรียมสิ่งของนำบุตรชายกลับจวน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ถงซือเหยาถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงกรุ่นโทสะ นิ้วเรียวสั่นระริก ชี้ไปยังแม่ทัพต่างแคว้น“เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นถึงภรรยาแม่ทัพ แต่ไร้มารยาทที
“หึ ๆ แม่มิได้ต้องการให้เจ้าลำพองตน จงถ่อมตัวให้มาก แต่อย่ายินยอมให้ผู้ใด มาช่วงชิงลมหายใจของเราไปได้เช่นกัน”“ลูกจะจดจำไว้ขอรับ”สองแม่ลูกเปลี่ยนบทสนทนา เมื่อท่านอ๋องต่างแคว้น เดินเข้ามาหา พร้อมขนมในมือ ชายหนุ่มนั่งลงอีกด้านของจ้าวหยาง“ขนมกลีบเหมยกุ้ยป่า เป็นของที่ท่านย่าจะ...เอ่อ หมายถึงท่านแม่ของข้า ชอบทำให้กินยามเหนื่อยล้าจากการฝึก ข้าอยากให้เจ้าได้ลิ้มลองสักหน่อย”จ้าวหยางหันกลับไปหาผู้เป็นแม่ ก่อนจะได้รับคำอนุญาต เด็กชายจึงรับขนมในจาน มากินอย่างช้า ๆ ทำให้เสวี่ยจ้านยิ้มกว้าง ด้วยความยินดีชายหนุ่มอยากตบปากตนเองยิ่งนัก ที่รีบร้อนจนเกินไป เกือบจะเอ่ยว่ามารดาของเขา คือย่าของจ้าวหยางเสียแล้วเสนาบดีถง หรี่ตามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอัดแน่น เขาไม่อยากที่จะคิดเลยว่า ทั้งสามคนนั้นคือครอบครัว บุตรสาวที่หายตัวไปนับสิบปี หลานชายผู้มีใบหน้าถอดแบบบุรุษสูงศักดิ์ กับท่านอ๋องผู้เป็นดั่งปีศาจร้ายในยามสงคราม ‘เป็นไปมิได้’เขาจำได้ดี ว่าบุตรสาวคนโตนั้น พึงใจในตัวของกู้หมิงมากเพียงใด ไม่มีทางที่นางจะไปผู้สัมพันธ์กับท่านอ๋องเก้าได้ ทั้งคู่มิเคยพบเจอกันสักครั้ง แล้วไยจะเป็นท่านอ๋องเล่า ที่เป็นบิดาขอ
ทางด้านเซียวเหยา หาได้ใส่ใจกับสายตาแตกตื่นของผู้คนไม่ การที่นางให้บุตรชายใช้ม้าของตนเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าม้าของจ้าวหยาง ถูกวางยา เมื่อออกวิ่งเกินขีดจำกัดเมื่อใด ก็จะเกิดอันตรายต่อบุตรชายของนาง และนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สายลับ ของคนเหล่านั้นไม่เคยรู้มาก่อน ว่านางฝึกฝนจ้าวหยาง ด้วยม้าคู่ใจของตนเองมาโดยตลอด“ไยเจ้าดูมิห่วงใยเขาเลย”เสวี่ยจ้าน เอ่ยถามคนข้างกาย ด้วยน้ำเสียงมิใคร่พอใจเท่าใดนัก หากเกิดสิ่งมิคาดฝันขึ้น จะทำเช่นไร ‘สตรีวิปลาสผู้นี้ คิดจะอวดเบ่งไปเพื่อสิ่งใดกัน’“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคือมารดา คือผู้ที่คลอดเขาออกมาด้วยตนเอง ย่อมรู้จักเขาดีกว่าผู้ใด ในเมื่อมีคนคิดสกปรก หม่อมฉันก็แค่ทำให้คนเหล่านั้นผิดหวัง หาได้ทำอันใดผิดไม่เพคะ”เซียวเถาตอบท่านอ๋องเก้า ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จนบางครั้งชายหนุ่มเองก็รู้สึกขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อย กับท่าทีไร้อารมณ์ของหญิงสาวข้างกาย“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เสวี่ยจ้าน ขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่อได้ยินในสิ่งที่เขา ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดหาญกล้าทำเช่นนี้“ท่านอ๋องมิได้ขลาดเขลา ย่อมเข้าใจมันได้ไม่ยาก มิเห็นต้องให้หม่อมฉันอธิบายมากความเลยนะเพคะ”อ๋องหนุ่มมองไปยัง ม้าสอง
“ลูกจะมิทำอันใด หากว่าเขายังมิก้าวล้ำจนเกินไป”จ้าวหยาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า อีกทั้งรอยยิ้มละมุนยังมิจางหายจากใบหน้า เซียวเถาคลี่ยิ้มน้อย ๆ แค่มองตานางก็รับรู้ถึงสิ่งที่บุตรชายคิด การเลี้ยงดูของนางนั้น แตกต่างจากมารดาอื่นอยู่มาก แต่ทุกสิ่งที่นางได้กระทำก็เพื่อจ้าวหยางทั้งสิ้นเซียวเถา บีบไหล่บุตรชายหนัก ๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ ก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปยังที่นั่งของตน โดยมิได้รั้งรอเพื่อส่งจ้าวหยางขึ้นหลังม้า ซึ่งทหารของนางกำลังจูงอาชาสีดำสนิท ตรงมายังบุตรชายของนาง ทุกการกระทำนั้น ในทุกสายตาที่มองมาต่างรู้สึกสงสารจ้าวหยางยิ่งนัก ที่มารดานั้นหาได้ใส่ใจในตัวเด็กชายไม่ ซึ่งแตกต่างจากแม่ทัพกู้หมิง ที่ยังคงแนะนำการขี่ม้า เพื่อช่วงชิงธงให้แก่บุตรชายอย่างเคร่งเครียด“ไยแม่ทัพจ้าว จึงดูมิใส่ใจบุตรชายเอาเสียเลยเล่า” ฮ่องเต้ชราเอ่ยขึ้น เมื่อมองเห็นสิ่งที่เซียวเถาแสดงออกต่อจ้าวหยาง“นางรักบุตรชายมากต่างหากเล่าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”องค์รัชทายาทแห่งเว่ยเอ่ยขึ้นบ้าง พร้อมทั้งมองไปยังจ้าวหยาง ที่กำลังทำการสำรวจความพร้อมของอาชาคู่กายของผู้เป้นมารดา“อย่างไรที่ว่ารักมาก”“ทูลฝ่าบาท หากจะทรงสังเกตจ้าวหยา
สวนดอกไม้หน้าเรือนรับรอง เสวี่ยจ้านหยุดมองไปยังร่างบาง ที่ยังอยู่ในชุดงานเลี้ยง“อะ...แฮ่ม” ชายหนุ่มแสร้งกระแอมเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว ซึ่งเขามั่นใจว่านางรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา นับตั้งแต่ก้าวผ่านประตูทางเข้าเรือนมาแล้ว“ท่านอ๋องมีเรื่องใด ให้หม่อมฉันรับใช้หรือไม่เพคะ”หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น พร้อมหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน“มิได้ ข้าเอาน้ำแกงมาให้ก็เท่านั้น พอดีข้าเห็นเจ้าดื่มหนักอยู่พอสมควร เกรงจะมิสร่างเมาในยามเช้า เลยเอามาให้”ชายหนุ่มรีบยกตะกร้าใส่น้ำแกง ที่เขาได้ให้องครักษ์สั่งห้องครัว จัดเตรียมไว้รอท่า ก่อนที่ทุกคนจะกลับจากวังหลวง“ท่านอ๋อง มิเห็นต้องลำบากมาด้วยตนเองเลยนะเพคะ”“ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย มาเถอะประเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”ชายหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลาภายในสวน ก่อนจะจัดแจงนำน้ำแกงออกมาจากตะกร้า ทุกการกระทำของชายหนุ่มนั้น ดูนิ่มนวลและใส่ใจต่อสิ่งที่อยู่ในมือยิ่งนักเซียวเถาเดินตามมาเงียบ ๆ เมื่ออีกฝ่ายมีน้ำใจ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางก็มิสมควรทำลายน้ำใจนี้ลง สุราเพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้นางเป็นอันใดได้เลย“ท่านอ๋อง ดื่มด้วยกันเถอะเพคะ น้ำแกงนี่หม่อมฉันกินคนเดียวไม่ห