“โปรดระวังวาจาด้วยขอรับ สกุลเจียงใช่บ้านที่จะพูดจาให้เสียหายได้”พ่อบ้านชู่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เมื่อหญิงปากกล้าอาจหาญ หมิ่นนายเขาให้เสื่อมเสีย“หากไม่ใช่ลูกติดอนุ แล้วพวกเขาจะเป็นใครได้ ข้าเข้าใจว่าต่อหน้าผู้คน เจ้าเรียกพวกเขาว่าคุณชายคุณหนู แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็น ว่าตอนนี้พวกเขา กำลังมาเรียกร้องสิทธิ์อยู่บ้านโจว”“สักคำแล้วหรือขอรับ ที่คุณชายของข้าน้อย บอกว่าจะมาทวงสิทธิ์ อีกอย่างนายท่านทุกคนของสกุลเจียง ไม่รับอนุหรือสาวใช้อุ่นเตียง จะมีเพียงนายหญิงเดียวตลอดชีวิต ข้าน้อยพูดถึงขนาดนี้แล้ว คนฉลาดย่อมเข้าใจนะขอรับ”“สตรีลูกติด! คู่ควรหรือ! อย่าทำเหมือนข้ามิรู้ ว่าสกุลชั้นสูง จะต้องเลือกสิ่งที่ดีและคู่ควรเท่านั้น หาใช่สิ่งของมีตำหนิ”“ฮูหยินน้อยโจว กำลังกล่าวหาว่านายท่านของข้า เป็นคนเขลาอย่างนั้นหรือ...”“ข้าแค่บอกว่านางไม่คู่ควร!”“ไม่ใช่สิ่งที่คนนอก จะสอดรู้ขอรับ”พ่อบ้านชู่ มองไปที่สะใภ้สกุลโจว ด้วยแววตาเอาเรื่อง สตรีหน้าชังผู้นี้กล้าเกินไปแล้ว คิดหยามหมิ่นในการตัดสินใจนายท่านของเขา“นี่เจ้า!”“อะแฮ่ม!”โจวเค่อ กระแอมไอขัดขึ้นเสียก่อน ภรรยาของเขาอยู่ในสังคมชั้นสูงมานาน น่าจะ
นายท่านโจวรับกระดาษนั้นมาคลี่อ่าน แม้ว่าตัวอักษรจะไม่ได้ยาวเท่าใดนัก แต่มันก็ชัดเจนว่านี่คือคำสั่ง ให้ลงมือต่ออดีตลูกสะใภ้กับหลานชาย“มันคงแค่เรื่องบังเอิญ”หลังอ่านเนื้อความจนจบ ชายชราเอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก ทั้งยังไม่กล้าสบตาสามพี่น้องตรงๆ แม้เขาจะมั่นใจว่านี่คือของจริง แต่สกุลโจวยังต้องพึ่งพาสกุลจางและหยาง การทำแบบนี้กับสายเลือดของสองสกุล เท่ากับลากเอาทั้งตระกูลโจวลงสู่เหวลึก“หึๆ ข้าน้อยรู้อยู่แล้วขอรับ ว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ ก็อย่างที่ข้าบอก ข้ามิใช่คนใจกว้าง หากยังมีเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกสักครั้ง ข้าถือว่าได้บอกกล่าวไปแล้ว หากมีสิ่งใดร้ายแรงอย่าได้โทษ ว่าข้าไร้น้ำใจ ส่วนสิ่งนี้...โปรดรักษามันให้ดีหน่อยนะขอรับ เพราะยามเกิดสิ่งใดขึ้นมามา คงเป็นคนที่มีสิ่งนี้เท่านั้น ที่ต้องแบกรับมันอย่างโดดเดี่ยว หาใช่คนที่แอบเอามันไปใช้”ต้วนอี้หลาง ส่งสัญญาณให้ม่อเหลียว นำบางอย่างไปยื่นส่งให้แก่ผู้นำสกุลโจว ชายชรารับกล่องไม้ไปเปิดออกดู ตลอดร่างชาหนึบ ราวกับถูกฟ้าฝ่ากลางแสกหน้าป้ายคำสั่งสกุลโจว มันไปตกอยู่ในมือของเด็กพวกนี้ได้อย่างไร ชายชราอดไม่ได้ที่จะหันไปที่บุตรชายคนโต และลูกสะใภ้ที่ตอนนี
สองวันถัดมา ณ สกุลต้วน ชายชราผู้เป็นใหญ่ในบ้าน เทียวเดินออกมาชะเง้อมองถนน เผื่อว่าบุตรชายที่ออกจากบ้านไปนาน จะผ่านมาให้ได้เห็นบ้าง นับตั้งแต่เขารู้ข่าว ถึงการกลับมาของบุตรชาย ใจที่โหยหาก็ทำให้เขา เฝ้ารอที่จะได้เห็นหน้าบุตรชายอย่างมีความหวัง ในอดีตเป็นเขาที่ไม่คิดอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย จนนำมาซึ่งการแยกครอบครัว แต่เมื่อเวลาผันผ่านไปหลายปี เขาที่แก่ชรามากแล้ว ก็รู้ตัวดีว่าครั้งนั้น มันหาใช่เรื่องใหญ่ จนถึงขั้นต้องแยกครอบครัว ด้วยบิดาย้ำเตือนให้เขาต้องเลือก สุดท้ายแล้วเขาเองที่ผิดทั้งหมดเป็นเขาเองที่เห็นแก่ตัว เลือกรักษาอำนาจในมือ จนต้องปล่อยบุตรชายออกจากบ้านไป เผชิญกับความทุกข์ยาก ที่เขาไม่อาจรู้ได้เลย ว่าบุตรชายต้องพบเจอสิ่งใดบ้างและตอนนี้ไร้บิดาของเขาแล้ว อำนาจเด็ดขาดจึงอยู่ในมือเขาแล้ว ขอเพียงบุตรชายเอ่ยปาก ว่าอยากกลับมา เขาก็พร้อมนำชื่อบุตรชายและสะใภ้ กลับเข้าผังสกุลโดยไม่ลังเล “ท่านพี่จะมายืนทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ ไยไม่ช่วยลูกเราหาหนทาง ทวงความเป็นธรรมคืนจากสวะพวกนั้น” ต้วนฮูหยินพูดกับสามี ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าใดนัก เมื่อสองวันก่อนบุตรชาย ได้บอก
“ไม่นะ! ท่านพี่...ท่านจะทำเยี่ยงนี้กับข้าไม่ได้ ข้าอยู่กับท่านตั้งแต่ยังสาว ยอมเป็นเพียงอนุมาเนินนาน แล้ววันนี้ท่านคิดขับไล่ข้า มันสมควรหรือ!” ต้วนฮูหยิน ไม่อยากจะเชื่อหู ว่าสามีจะกล้าขอยุติความสัมพันธ์ แม้ไม่เคยรักแต่ก็อยู่ร่วมบ้านกันมาเนินนาน พอลูกรักของเขากลับมา เขากล้าที่จะทอดทิ้งนาง ขัดคำสั่งเสียของพ่อสามี ที่มิให้ทอดทิ้งนางไปตลอดชีวิตเชียวหรือ! “ท่านแม่เกิดสิ่งใดขึ้นขอรับ” ต้วนฉีรีบก้าวออกมาจากจวน เขารีบประคองมารดาที่ยืนซวนเซ ก่อนจะตวัดสายตาไปที่กลุ่มคน ซึ่งยืนอยู่ลานหน้าจวน “พ่อเจ้าคิดหย่าขาดกับแม่”ต้วนฮูหยินรีบบอกบุตรชาย ก่อนจะยกผ้าเช็ดหน้าซับหัวตา แสร้งร้องไห้เสียใจ ที่ถูกสามีของเลิกต่อหน้าผู้คนที่ผ่านไปมา “เป็นเจ้าใช่ไหมต้วนจ้าว เจ้ากลับมาเพื่อทำลายบ้านข้า!” “หุบปาก!”นายท่านต้วน ตวาดบุตรชายคนรอง ด้วยความโกรธจนสั่นไปทั้งกาย แต่ก่อนที่ชายชราจะเอ่ยสิ่งใดต่อ ต้วนจ้าวก็วางมือลงบนแขนบิดา เรื่องนี้เขาต้องจัดการเอง บทเรียนเมื่อสองวันก่อน คงไม่ทำให้ต้วนฉีจดจำ ในอดีตเขาจำยอม เพราะสงสารบิดาและเมียรักแต่ไม่ใช่วันนี้ที่เขามีคร
หลังจากประตูจวนปิดลง สองแม่ลูกที่เคยแสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างรนรานเมื่อครู่ พลันแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มหยัน เมื่อไร้สายตาคนภายนอก ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งหวาดกลัวอีกต่อไปคนไร้ค่าที่คิดว่าตนเอง กำลังถือหมากเหนือกว่า ก็เป็นเพียงแมงเม่าที่บินเข้าหากองไฟ ที่จุดหลอกล่อเอาไว้ ท้ายที่สุดก็ต้องตายอยู่ดี “ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าสักวันเจ้าต้องโผล่มาที่นี่” ต้วนฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน นางไม่มีความจำเป็นต้องกลัวคนอย่างต้วนจ้าว ดีเสียอีกที่เขากลับมา จะได้มิต้องเสียเวลาไล่ล่า “แล้วอย่างไร” ต้วนจ้าวถามกลับ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็ไม่แล้วอย่างไร แต่ข้ามิชื่นชอบ ให้มีหนามแหลมมากีดขวางเส้นทาง”สิ้นคำของต้วนฮูหยิน บ่าวชายหญิงที่อยู่โดยรอบ ได้เคลื่อนกายโอบล้อมผู้ที่มาเยือนในทันที โดยในมือล้วนมีอาวุธ ซึ่งมันชัดเจนแล้วว่าที่ผ่านมา สองแม่ลูกเอง ก็เตรียมการเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งมันไม่ผิดจากที่เขา คาดการณ์เอาไว้เท่าใดนักรอยยิ้มหยันของสองแม่ลูก รวมถึงสะใภ้คนรอง ไม่ได้ทำให้พ่อลูกสกุลต้วนจากชายแดน รู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย นักฆ่าระดับสูงกว่านี้ เขาพ่อลูกก็เผชิญกันมามิรู้กี่
ภาพการรับมือของต้วนจ้าว ทำให้กลุ่มคนที่ซุ่มดูอยู่บนต้นไม้ จำต้องเบิกตากว้าง แต่ก็มิใช่ทั้งหมด เพราะต้วนอี้หลาง ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก เขารู้อยู่แล้วว่าท่านตามิใช่ธรรมดา แต่คงมีเหตุผลที่เก็บซ่อนตัวตนเสียมิดชิด ในช่วงที่เขากับมารดายังบาดเจ็บ นักฆ่าเทียววนเวียนหมายเข้ามาสังหาร แต่กลับไม่มีมดแมงตัวใดหลุดรอด มาถึงเขากับมารดาได้เลย นั่นบอกได้ว่าโรงหมอสกุลต้วน มีดีอยู่ไม่น้อย “ดูเจ้าไม่แปลกใจเลย” เจียงกั๋วจ้าน ถามต้วนอี้หลาง ที่นั่งอยู่กิ่งไม้อยู่ถัดจากเขา เด็กชายหันไปส่งยิ้มกว้างให้แก่ผู้เป็นลุง “ก่อนที่ท่านตาจะพาข้าไปหาท่านลุง เราแม่ลูกบาดเจ็บสาหัสกันอยู่นานทีเดียว และตลอดระยะเวลานั้น มีนักฆ่าวนเวียนราวผึ้งตอมเกสรดอกไม้เชียวละขอรับ ท่านลุงคิดว่าไยมือสังหารจึงไม่เคยเฉียดใกล้เราแม่ลูกเลยเล่าขอรับ” “หากเป็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องถึงมือข้าเลยนี่” “ท่านลุงรู้แก่ใจดี ว่าพายุเมื่อมันโหมแรงขึ้น คนเราก็ต้องหาที่หลบภัยให้มั่นคงขึ้น ท่านตาแม้จะมากฝีมือ แต่วัยที่ร่วงโรยตามกาลเวลา ทำให้ท่านตาเกรงว่าเราแม่ลูกจะไร้เกราะคุ้มกาย” “ข้าไม่แปลก
หลังจากมือธนูล้มลงสิ้นใจตาย ต้วนอี้หรู ค่อยๆ เบนหน้าไม้ ชี้ตรงไปยังต้วนฉี รูปร่างแบบนี้ ง่ายนักต่อการลงมือ แต่จะให้ตายตอนนี้มันสบายไป ในเมื่อตักเตือนไปแล้วยังรั้น ก็ต้องเพิ่มบทเรียนให้อีกสักหน่อย หญิงสาวลดปลายหน้าไม้ลงอีกระดับ ก่อนจะกดกลไล ปล่อยลูกดอกออกไปอีกครั้ง ฟิ้ว! ฉึก! “อ๊ากกก!!! ขะ...ข้า!! ของข้า ท่านแม่ ขาข้า!!!” ต้วนฉีใช้สองมือกุมต้นขา ที่ยังมีลูกดอกปักคาอยู่ ต้วนฮูหยินและเชี่ยจิ่น รีบคลานเข้าไปดูอาการของต้วนฉี ด้วยอาการสั่นเทา “ลูกแม่! เจ้าเจ็บมากหรือไม่” “ท่านแม่มิลองถูกยิงดูเล่าขอรับ อ๊ากก!! พวกสารเลวทำร้ายข้า!! ข้าจะฆ่าเจ้าให้หมด!” ต้วนฉีโวยวายเสียงดังลั่น ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้ผู้ลงมือ รู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวหันกลับหาผู้เป็นปู่ เพราะอย่างไรเสียต้วนฉี ก็เป็นสายเลือดของท่านปู่ นางลงมือโดยไม่ขอความคิดเห็น ก็ถือว่าผิดอยู่บ้าง “หลานปู่ เจ้าไม่ต้องกังวล ในเมื่อเขาเลือกเส้นทางตัดสัมพันธ์สายเลือดแล้วแบบนี้ จะเก็บเขาไว้ให้แว้งกัดในภายหน้า ก็คงไม่เป็นผลดีต่อเราทุกคน” “เรื่องนี้อี้หรูทำเกินกว่าเหตุ แต่ใน
“สวะชั้นต่ำอย่างเจ้า กล้าหรือ! ที่จะถามข้าแบบนี้” คงมีเพียงคนโง่เท่านั้น ที่จะมองไม่ออกถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ต้วนกู่เจี๋ยถึงกับซวนเซ ชีวิตเขาที่มันยิ่งกว่านิยายในตลาด ที่นักเล่าเรื่อง ชอบเอามาเล่าให้ชาวบ้านฟังเสียอีก พ่อบ้านของเขา เป็นลูกนอกสมรสของบิดา และลูกนอกสมรสของบิดา ยังเป็นชู้รักของภรรยาเขาอีก แล้วนี่ยังจะมีสิ่งใดเหนือความคาดหมายหรือไม่ “ต้วนฉีคือลูกของข้า!” คำพูดของหลงเส่า ราวกับสายฟ้าแที่ฟาดลงสู่กลางใจ ของแม่ลูกสกุลต้วน ต้วนฮูหยินถึงกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง ไม่ต่างจากต้วนฉีที่ตอนนี้ หยุดร้องคร่ำครวญ ราวกับเขาถูกสาป จากคำบอกเล่าของหลงเส่า “ข้าว่าเจ้ายังพูดไม่หมด” คำพูดของต้วนจ้าว ทำให้ผู้เป็นพ่อหันขวับไปมองบุตรชาย มันยังจะมีเรื่องอะไรอีก ที่หลงเส่ายังบอกมาไม่หมดอีก “กรี๊ดด!! หุบปากเจ้าซะ! อย่าพูด! ข้าบอกเจ้าว่าอย่าแม้แต่จะเอ่ยปากออกมา!”ต้วนฮูหยินกรีดร้องเสียงหลง เมื่อลุกเลี้ยงกำลังบีบให้ชู้รักของนาง พูดความเสื่อมเสียที่นางเก็บซ่อนไว้ “บิดาของเราทั้งคู่ คือชู้รักอีกคนของนาง และที่ภรรยาของเจ้าต้องตาย ก็เพราะน
“แต่ข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น หากเจ้าตอบรับมัน ข้าจะมิถือสาเรื่องเมื่อครู่นี้” เมื่อมีสิ่งอื่นที่ดึงดูดใจ มากกว่าการที่นางสามหาวต่อบิดา สวี่หวางจึงยื่นข้อเสนอในทันที หญิงสาวตรงหน้าอาจเพียงแค่ อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา หาไม่แล้วมีหรือหัวหน้าผู้คุ้มกัน จะพาเขามาที่นี่ “ข้อเสนอ...คนเยี่ยงเจ้า มีข้อเสนอใดกับข้าเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงปนเย้ยหยันของหญิงสาว ทำให้สวี่หวางจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน ในเมื่อหมากกระดานนี้ นางอยากควบคุม เขาก็จะยินยอมเล่นไปกับนางสักหน่อย ค่อยจบมันในหมากตัวสุดท้าย “เป็นอนุของข้า แล้วเรื่องเมื่อครู่ข้าจะปล่อยผ่านไป” “อยากฟังข้อเสนอของข้าบ้างไหม” หญิงสาวย่อนถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่จริงจังเท่าใดนัก “ว่ามาสิ! ข้าคือบุตรชายของประมุขแห่งหุบเขานี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหามิได้” สวี่หวางตบตนเอง พร้อมประกาศให้รู้ถึงอำนาจในมือ เขาคือบุตรชายคนโต ภายหน้าเขาก็คือประมุขผู้มั่งคั่ง เจ้าของหุบเขาแห่งนี้ แค่สตรีต่างถิ่นคนหนึ่ง มีหรือเขาจะเลี้ยงดูนางไม่ได้ “จริงหรือ...บิดาเจ้าแซ่สวี่ ไหนเลยจะเป็นประมุขได้” เมื่อได้ยินพูดของหญิงสาวตรงหน้า สวี่หวางถึงกับหน้าถอดสี หรือนี่จะ
“ข้าน้อยเพียงจะมาแจ้ง ให้ท่านผู้รักษาการทราบ ว่าตอนนี้...มีคนพบเห็น ท่านประมุขน้อยแล้วขอรับ” “ที่ไหน!” สวี่หวางรีบถามด้วยความตื่นเต้น หากวันนี้เขาสามารถทำให้อวี๋มู่หลง หายไปจากโลกนี้เสีย อนาคตของเขา ก็จะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงาผู้ใดอีก มารดาที่เป็นภรรยาแรก กลับกลายเป็นได้เพียงอนุ ที่รับเข้าสู่บ้านเท่านั้น ไม่อาจก้าวขึ้นทัดเทียมอดีตประมุข และเขาก็เป็นได้เพียงแค่ลูกที่บิดา ไม่อาจเชิดชูออกหน้าได้แม้คนเหล่านี้ จะให้ความนอบน้อมต่อเขา แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมัน ก็ไม่เคยเห็นเขาในสายตาจริงๆ สักครั้ง หากเทียบกับอวี๋มู่หลง เจ้าสวะไร้ค่านั่น! “ในป่าท้อทิศตะวันออกของหุบเขาขอรับ” หัวหนาผู้ดูแล ตอบไปตามหน้าที่ แม้ว่าใจเขามิได้ชื่นชอบอนุและลูกๆ ของนาง ที่อาจหาญทำตัวทัดเทียมท่านประมุขน้อย แต่เขาก็ยังไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะต่อกรกับผู้รักษาการได้ จนกว่าท่านประมุขน้อย จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริง “พาข้าไป!” “แต่...” หัวหน้าผู้คุ้มกัน คิดที่จะปฏิเสธ ทว่า... “ฮึ! หรือเจ้าคิดจะปกป้องคนไร้ค่านั่น” สวี่หวาง พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเ
สิบห้าวันถัดมา ณ เรือนผู้รักษาการ เมืองหยินกวง เพล้ง! เสียงจอกสุรา ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ทำให้สาวใช้หลายนางที่ยืนรอรับใช้อยู่ พากันสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อผู้เป็นนายกำลังมีโทสะ ก่อนที่สตรีผู้เป็นอนุของท่านผู้รักษาการ จะเดินเข้ามา แล้วส่งสัญญาให้บรรดาสาวใช้ออกไปเสีย “ท่านพี่ ไยต้องมีโทสะด้วยเจ้าคะ” ฉินชวงเดินไปยืนด้านหลังสามี ก่อนจะวางมือบนไหล่หนา แล้วออกแรงบีบนวด เพื่อให้สามีรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าการอยู่อย่างไรเกียรติของนาง จะมิใช่สิ่งที่วาดฝัน แต่นางก็ยังอยากให้บุตรชายคนโต เป็นผู้สืบทอดเมืองแห่งนี้ “มีคนพามันหนีไปได้ จนตอนนี้! ข้ายังหามันไม่พบเลย” สวี่เทียนกำหมัดแน่น ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่บุตรชายคนเล็ก หนีไปพร้อมกับคนแปลกหน้า มันทำให้เขาราวกับถูกตบหน้า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่บุตรชายรอดพ้นเงื้อมือเขาไปได้อย่างหวุดหวิดเพราะนับตั้งแต่บุตรชาย ล่วงรู้ความจริงหลายอย่าง ความสัมพันธ์พ่อลูกก็ยิ่งห่างไกล แล้วอย่างไรเล่า ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ความเป็นพ่อลูก แต่เขาต้องการตราประทับเท่านั้น “อาจเป็นเหล่าผู้อาวุโส ที่แอบช่วยเขาลับหลัง แต่อย่า
“ว๊าย!!! พรู๊ด!!”หญิงสาวถึงกับพ่นชาในปากออกมา เมื่อความร้อนของชาในถ้วย ทำให้นางปากแทบพอง นางลืมไปว่ามันร้อนอยู่ “เจ็บมากหรือไม่!” ม่อเหลียวรีบถามด้วยน้ำเสียงรนราน ก่อนจะล่วงเอาขวดยาเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วป้อนเข้าปากหญิงสาว “คราวหน้าต้องระวังให้มากเข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน ซึ่งหากถ้าเป็นสตรีอื่น เขาไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งคุ้นชิน สำหรับคนทั้งสาม เว้นแต่อวี๋มู่หลงเท่านั้น ที่ยังไม่รู้ถึงเรื่องของหนุ่มสาวคู่นี้ แต่จากสายตาแล้วอวี๋มู่หลงเอง ก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าคนทั้งสองนั้น ต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน แต่อาจด้วยหลายสิ่งอย่าง ทำให้ทั้งคู่ยังไม่แต่งงาน หรือสานสัมพันธ์รักไปมากกว่านี้ “พี่สาม”เมื่อเห็นพี่สาวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับตนเองเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาถึงกระท่อม อี้หยางจึงเรียกผู้เป็นพี่ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใช่เขาริษยาพี่ม่อเหลียว แต่เขาทั้งดีใจและน้อยใจปนกัน ก็ในเมื่อเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ พี่สาวก็มองเพียงพี่ม่อเหลียวคนเดียว “เจ้าเป็นผู้นำสกุลเจียงคนต่อไป แค่นี้จะมีน้ำตาได้อย่า
“ไม่คิดว่าจะพบคนจากแดนหนาน” ผู้คุ้มกันเมืองหยินกวง เอ่ยกับชายวันกลางคน ที่ยืนประจันหน้ากับเขาอยู่ในตอนนี้ ซึ่งการที่เขารู้ว่าคนกลุ่มนี้มาจากที่ไหน ก็เพราะการแต่งกาย และใบหน้าที่บ่งบอกเชื้อสายเผ่าพันธุ์ “พวกข้าเป็นเพียงพ่อค้า ที่ต้องการหาสินค้า เพื่อสร้างรายได้ การเข้ามาที่หุบเขา ก็มิได้ผิดต่อกฎของที่นี่แม้แต่ข้อเดียว” คนจากแคว้นหนาน เอ่ยกับผู้คุ้มกันเมือง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเวลานี้ ผู้รักษาการแทนประมุข ได้คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง และคิดจะแทรกซึมเข้าสู่แคว้นต่างๆ เพื่อหวังผลที่ยิ่งใหญ่กว่า การเป็นแค่ผู้ปรุงยาแก้พิษ และขายสมุนไพรล้ำค่าเท่านั้น “พวกข้าก็ไม่ได้คิดจะกล่าวหาสิ่งใดพวกท่าน แค่อยากตรวจดูผู้คนเข้าออก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีกบฏ ที่กำลังหลบหนีซ่อนตัวอยู่ในคณะของพวกท่าน” คำพูดของผู้คุ้มกันเมือง ทำให้อวี๋มู่หลง ที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เขาคือประมุขที่แท้จริง แต่ไยเวลานี้กลายเป็นเพียงกบฏคนหนึ่งไปได้ “ตามสบาย” ชายผู้นั้นผายมือให้แก่เหล่าผู้คุ้มกันเมือง ก่อนจะชำเลืองมองไปที่ผู้ติดตามของตน ทุกคนจึงขย
“น้องชายเจ้ากับอู๋หยาง ทำรางส่งน้ำมาไว้ห้องข้างๆ นี่เอง เจ้าต้องแช่ยาทุกสามชั่วยาม ในช่วงห้าวันแรกของการรักษา อี้หยางดูแลเจ้าไม่ห่างไปไหน อ่อ...วางใจได้ ไม่มีใครได้เห็นในสิ่งไม่ควรทั้งสิ้น”แน่นอนว่าคนที่จัดการทุกอย่างให้แก่พี่สาว ย่อมต้องเป็นเจียงอี้หยาง เด็กน้อยคนนี้ชำนาญนักในการทำแผล ดังนั้นต่อให้หลับตา เขาก็สามารถเปลี่ยนผ้าพันแผลได้อย่างไม่ผิดพลาด และยังมีหลากหลายวิธี ในการเปลี่ยนเสื้อผ้าของคนป่วย โดยไม่เห็นสัดส่วนของคนเจ็บได้การเรียนรู้เหล่านี้ มารดาล้วนสอนพวกนางสี่พี่น้อง และฝึกฝนจนชำนาญ แต่หากเทียบกับอี้หยางแล้ว สามแฝดนับว่าฝีมือห่างชั้นกับน้องชายคนเล็กมากทีเดียว“เช่นนั้นรบกวนท่านปู่ ส่งข้าที่ห้องนั้นได้หรือไม่นะเจ้าคะ”หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ด้วยเรี่ยวแรงตอนนี้ มันหดหายไปเกินครึ่งที่มีเลยทีเดียว แม้แต่หายใจยังรู้สึกเหนื่อยตลาดเมืองหยินกวง หุบเขาพิษ ม่อเหลียวที่นั่งดื่มชาอยู่ ชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปยังกลุ่มคนที่ยืนเลือกสิ่งของอยู่ ชายหนุ่มวางถ้วยชาลง ก่อนจะส่งสัญญาณเรียกเจ้าของร้าน เพื่อมาคิดเงินค่าชา ที่เขาดื่มไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มจ่ายเงินเรียบร้อย ก็ลุกข
ใบหน้างามที่ชื้นเหงื่อ ส่ายไปมาน้อยๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความเย็นที่สัมผัสกับใบหน้า ทว่าดวงตานั้นยังคงปิดสนิทอยู่“อี้หลิง”ชายชราเรียกหญิงสาวด้วยความดีใจ กว่ายี่สิบวัน ที่ศิษย์รักของเขาสิ้นสติไป และการมีสติรับรู้ของนางในวันนี้ นับว่าสมุนไพรในกระท่อมลับแห่งนี้ ทรงคุณค่ายิ่งนัก“น้ำ...ขอน้ำ”น้ำเสียงแหบโหยร้องขอน้ำดื่ม ด้วยคอของนางแห้งผาด ราวทะเลทรายอันแห้งแล้ง ทว่าดวงตานั้นยังคงปิดสนิท มีเพียงเปลือกตาที่ขยับน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดขึ้น แล้วปิดลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เมื่อสายตาของนาง มิอาจสู้แสงได้อย่างกะทันหัน“นี่...น้ำจากต้นไผ่ มันจะช่วยให้เจ้ารู้สึกชุ่มคอขึ้น”ฮั่วเจ๋อ เอ่ยอย่างใจเย็น รอให้ดวงตาคู่งามของหญิงสาว เปิดขึ้นอีกครั้ง ในฐานะหมอคนหนึ่ง การที่ทำให้คนไข้ พ้นจากมือมัจจุราชได้ นับว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้นเมื่อสิบกว่าวันก่อน เขากับอู๋หยางได้ตื่นขึ้นมา ทว่ารอบกายกลับไร้เงาของศิษย์รักทั้งสอง ทำให้เขาสองคนที่อาการยังหนักอยู่ ร้อนใจยิ่งนักยิ่งเมื่อมองสำรวจโดยรอบที่พัก สัมภาระที่ยังเหลือติดตัวของทุกคน ยังคงอยู่ที่เดิม นั่นยิ่งทำให้เขาสองคน ไม่อาจนิ่งดูดายได้ ฝืนกินยาต้องห้าม ที่จะมีฤทธิ์
ภายในงานเลี้ยง ฉลองวันครบรอบห้าขวบของคุณชายอวี๋มู่หลง มีความบันเทิงมากมายจากหลายสกุล ที่นำมาร่วมแสดง สองแม่ลูกสกุลอวี๋นั่งจับมือกันนิ่ง สายตามองตรงไปยังลานกว้าง ที่มีการแสดงจากสกุลผู้อาวุโส จนเมื่อเสียงดนตรีหยุดลง หญิงสาวยังคงฝืนข่มกลั้นอาการเจ็บร้าวในร่างกายเอาไว้ แล้วลุกขึ้นจูงบุตรชาย ออกไปยืนต่อหน้าทุกคน เพื่อทำให้สิ่งที่นางจะทำได้ ตอนยังหายใจอยู่ “ข้าขอขอบคุณทุกท่าน ที่มาร่วมยินดีกับมู่หลงในวันนี้ และข้าก็ถือโอกาส มอบของขวัญที่ล้ำค่าแก่เขา บุตรชายเพียงคนเดียวของข้าอวี๋เมี่ยว” เด็กชายเงยหน้ามองมารดา แม้เขาจะยังเด็กอยู่ แต่ก็พอรู้ว่ามารดานั้นกำลังเจ็บป่วย และเขาได้จดจำ ทุกคำสอนของนางเอาไว้เป็นอย่างดี เขาคือผู้นำคนต่อไป อย่าได้แสดงทุกความรู้สึกออกมา เหมือนนาง...จนนำพาครอบครัวพังพินาศ แม้เขาจะยังไม่เข้าใจมากนัก ว่าอะไรคือคำว่าพินาศ แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะละเลยคำกล่าวของมารดา ยิ่งตอนนี้เขาเห็นเด็กชายหญิง ที่อายุมากกว่าตนเอง ได้รับความสนใจจากบิดา เขาจึงยิ่งต้องการมารดาคอยปลอบขวัญ “ข้าก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ที่ได้มีโอกาสให้กำเนิดบุตร ซึ่งข้ายอมรับอย่า
ความหมางเมินของประมุขและสามี ดูจะเป็นที่พอใจของสาวใช้ข้างกายยิ่งนัก จนเวลาที่ล่วงเลยจากเดือนเป็นปี ทุกอย่างดูเหมือนจะเลวร้ายลงกว่าเดิมหลายเท่านัก และวันนี้บุตรชายของทั้งคู่ ก็อายุครบห้าขวบ ในฐานะทายาทเพียงหนึ่งเดียว แน่นอนว่าการเฉลิมฉลอง ย่อมมีขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ อวี๋เมี่ยวแต่งกายด้วยชุดเต็มยศ นางใช้เวลามาหลายปี เพื่อที่จะปรุงยาถอนพิษ ทว่ามันยังคงเกินความสามารถของนางไปมาจริงๆ ไหนจะอุปสรรคจากคนรอบกายของนาง ล้วนแล้วแต่เป็นคนของสามี ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ที่เติบโตมาด้วยกัน ยังแปรพรรคไปแล้วหลายปี ซึ่งทุกอย่าง...ล้วนเป็นความผิดของนางทั้งสิ้น ที่เลือกคนแบบสวี่เทียนเข้ามาในชีวิต คนจรที่นางชุบกายให้เขาให้สูงค่า บัดนี้เป็นเขาที่แว้งกัดนาง ยังดีที่ชาวเมืองยังคงยึดมั่น ต่อสายเลือดและสิ่งยืนยันฐานะ ของประมุขในทุกรุ่น “เสี่ยวไป๋ เจ้าจงมอบมันให้นายน้อย เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าคงอยู่กับเขาและเจ้าได้อีกไม่นานแล้ว” หญิงสาวลูบหัวของหมาป่าคู่ใจ มันย่อมรู้ดีไม่แพ้นาง ว่าลมหายใจที่มีของนาง มันกำลังจะหมดลงในไม่ช้า เช่นเดียวกับที่ตัวตนของสามี ได้แสดงออกมาให้นางได้เห็นในเวลา