สองวันถัดมา ณ สกุลต้วน ชายชราผู้เป็นใหญ่ในบ้าน เทียวเดินออกมาชะเง้อมองถนน เผื่อว่าบุตรชายที่ออกจากบ้านไปนาน จะผ่านมาให้ได้เห็นบ้าง นับตั้งแต่เขารู้ข่าว ถึงการกลับมาของบุตรชาย ใจที่โหยหาก็ทำให้เขา เฝ้ารอที่จะได้เห็นหน้าบุตรชายอย่างมีความหวัง ในอดีตเป็นเขาที่ไม่คิดอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย จนนำมาซึ่งการแยกครอบครัว แต่เมื่อเวลาผันผ่านไปหลายปี เขาที่แก่ชรามากแล้ว ก็รู้ตัวดีว่าครั้งนั้น มันหาใช่เรื่องใหญ่ จนถึงขั้นต้องแยกครอบครัว ด้วยบิดาย้ำเตือนให้เขาต้องเลือก สุดท้ายแล้วเขาเองที่ผิดทั้งหมดเป็นเขาเองที่เห็นแก่ตัว เลือกรักษาอำนาจในมือ จนต้องปล่อยบุตรชายออกจากบ้านไป เผชิญกับความทุกข์ยาก ที่เขาไม่อาจรู้ได้เลย ว่าบุตรชายต้องพบเจอสิ่งใดบ้างและตอนนี้ไร้บิดาของเขาแล้ว อำนาจเด็ดขาดจึงอยู่ในมือเขาแล้ว ขอเพียงบุตรชายเอ่ยปาก ว่าอยากกลับมา เขาก็พร้อมนำชื่อบุตรชายและสะใภ้ กลับเข้าผังสกุลโดยไม่ลังเล “ท่านพี่จะมายืนทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ ไยไม่ช่วยลูกเราหาหนทาง ทวงความเป็นธรรมคืนจากสวะพวกนั้น” ต้วนฮูหยินพูดกับสามี ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าใดนัก เมื่อสองวันก่อนบุตรชาย ได้บอก
“ไม่นะ! ท่านพี่...ท่านจะทำเยี่ยงนี้กับข้าไม่ได้ ข้าอยู่กับท่านตั้งแต่ยังสาว ยอมเป็นเพียงอนุมาเนินนาน แล้ววันนี้ท่านคิดขับไล่ข้า มันสมควรหรือ!” ต้วนฮูหยิน ไม่อยากจะเชื่อหู ว่าสามีจะกล้าขอยุติความสัมพันธ์ แม้ไม่เคยรักแต่ก็อยู่ร่วมบ้านกันมาเนินนาน พอลูกรักของเขากลับมา เขากล้าที่จะทอดทิ้งนาง ขัดคำสั่งเสียของพ่อสามี ที่มิให้ทอดทิ้งนางไปตลอดชีวิตเชียวหรือ! “ท่านแม่เกิดสิ่งใดขึ้นขอรับ” ต้วนฉีรีบก้าวออกมาจากจวน เขารีบประคองมารดาที่ยืนซวนเซ ก่อนจะตวัดสายตาไปที่กลุ่มคน ซึ่งยืนอยู่ลานหน้าจวน “พ่อเจ้าคิดหย่าขาดกับแม่”ต้วนฮูหยินรีบบอกบุตรชาย ก่อนจะยกผ้าเช็ดหน้าซับหัวตา แสร้งร้องไห้เสียใจ ที่ถูกสามีของเลิกต่อหน้าผู้คนที่ผ่านไปมา “เป็นเจ้าใช่ไหมต้วนจ้าว เจ้ากลับมาเพื่อทำลายบ้านข้า!” “หุบปาก!”นายท่านต้วน ตวาดบุตรชายคนรอง ด้วยความโกรธจนสั่นไปทั้งกาย แต่ก่อนที่ชายชราจะเอ่ยสิ่งใดต่อ ต้วนจ้าวก็วางมือลงบนแขนบิดา เรื่องนี้เขาต้องจัดการเอง บทเรียนเมื่อสองวันก่อน คงไม่ทำให้ต้วนฉีจดจำ ในอดีตเขาจำยอม เพราะสงสารบิดาและเมียรักแต่ไม่ใช่วันนี้ที่เขามีคร
หลังจากประตูจวนปิดลง สองแม่ลูกที่เคยแสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างรนรานเมื่อครู่ พลันแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มหยัน เมื่อไร้สายตาคนภายนอก ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งหวาดกลัวอีกต่อไปคนไร้ค่าที่คิดว่าตนเอง กำลังถือหมากเหนือกว่า ก็เป็นเพียงแมงเม่าที่บินเข้าหากองไฟ ที่จุดหลอกล่อเอาไว้ ท้ายที่สุดก็ต้องตายอยู่ดี “ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าสักวันเจ้าต้องโผล่มาที่นี่” ต้วนฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน นางไม่มีความจำเป็นต้องกลัวคนอย่างต้วนจ้าว ดีเสียอีกที่เขากลับมา จะได้มิต้องเสียเวลาไล่ล่า “แล้วอย่างไร” ต้วนจ้าวถามกลับ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็ไม่แล้วอย่างไร แต่ข้ามิชื่นชอบ ให้มีหนามแหลมมากีดขวางเส้นทาง”สิ้นคำของต้วนฮูหยิน บ่าวชายหญิงที่อยู่โดยรอบ ได้เคลื่อนกายโอบล้อมผู้ที่มาเยือนในทันที โดยในมือล้วนมีอาวุธ ซึ่งมันชัดเจนแล้วว่าที่ผ่านมา สองแม่ลูกเอง ก็เตรียมการเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งมันไม่ผิดจากที่เขา คาดการณ์เอาไว้เท่าใดนักรอยยิ้มหยันของสองแม่ลูก รวมถึงสะใภ้คนรอง ไม่ได้ทำให้พ่อลูกสกุลต้วนจากชายแดน รู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย นักฆ่าระดับสูงกว่านี้ เขาพ่อลูกก็เผชิญกันมามิรู้กี่
ภาพการรับมือของต้วนจ้าว ทำให้กลุ่มคนที่ซุ่มดูอยู่บนต้นไม้ จำต้องเบิกตากว้าง แต่ก็มิใช่ทั้งหมด เพราะต้วนอี้หลาง ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก เขารู้อยู่แล้วว่าท่านตามิใช่ธรรมดา แต่คงมีเหตุผลที่เก็บซ่อนตัวตนเสียมิดชิด ในช่วงที่เขากับมารดายังบาดเจ็บ นักฆ่าเทียววนเวียนหมายเข้ามาสังหาร แต่กลับไม่มีมดแมงตัวใดหลุดรอด มาถึงเขากับมารดาได้เลย นั่นบอกได้ว่าโรงหมอสกุลต้วน มีดีอยู่ไม่น้อย “ดูเจ้าไม่แปลกใจเลย” เจียงกั๋วจ้าน ถามต้วนอี้หลาง ที่นั่งอยู่กิ่งไม้อยู่ถัดจากเขา เด็กชายหันไปส่งยิ้มกว้างให้แก่ผู้เป็นลุง “ก่อนที่ท่านตาจะพาข้าไปหาท่านลุง เราแม่ลูกบาดเจ็บสาหัสกันอยู่นานทีเดียว และตลอดระยะเวลานั้น มีนักฆ่าวนเวียนราวผึ้งตอมเกสรดอกไม้เชียวละขอรับ ท่านลุงคิดว่าไยมือสังหารจึงไม่เคยเฉียดใกล้เราแม่ลูกเลยเล่าขอรับ” “หากเป็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องถึงมือข้าเลยนี่” “ท่านลุงรู้แก่ใจดี ว่าพายุเมื่อมันโหมแรงขึ้น คนเราก็ต้องหาที่หลบภัยให้มั่นคงขึ้น ท่านตาแม้จะมากฝีมือ แต่วัยที่ร่วงโรยตามกาลเวลา ทำให้ท่านตาเกรงว่าเราแม่ลูกจะไร้เกราะคุ้มกาย” “ข้าไม่แปลก
หลังจากมือธนูล้มลงสิ้นใจตาย ต้วนอี้หรู ค่อยๆ เบนหน้าไม้ ชี้ตรงไปยังต้วนฉี รูปร่างแบบนี้ ง่ายนักต่อการลงมือ แต่จะให้ตายตอนนี้มันสบายไป ในเมื่อตักเตือนไปแล้วยังรั้น ก็ต้องเพิ่มบทเรียนให้อีกสักหน่อย หญิงสาวลดปลายหน้าไม้ลงอีกระดับ ก่อนจะกดกลไล ปล่อยลูกดอกออกไปอีกครั้ง ฟิ้ว! ฉึก! “อ๊ากกก!!! ขะ...ข้า!! ของข้า ท่านแม่ ขาข้า!!!” ต้วนฉีใช้สองมือกุมต้นขา ที่ยังมีลูกดอกปักคาอยู่ ต้วนฮูหยินและเชี่ยจิ่น รีบคลานเข้าไปดูอาการของต้วนฉี ด้วยอาการสั่นเทา “ลูกแม่! เจ้าเจ็บมากหรือไม่” “ท่านแม่มิลองถูกยิงดูเล่าขอรับ อ๊ากก!! พวกสารเลวทำร้ายข้า!! ข้าจะฆ่าเจ้าให้หมด!” ต้วนฉีโวยวายเสียงดังลั่น ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้ผู้ลงมือ รู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวหันกลับหาผู้เป็นปู่ เพราะอย่างไรเสียต้วนฉี ก็เป็นสายเลือดของท่านปู่ นางลงมือโดยไม่ขอความคิดเห็น ก็ถือว่าผิดอยู่บ้าง “หลานปู่ เจ้าไม่ต้องกังวล ในเมื่อเขาเลือกเส้นทางตัดสัมพันธ์สายเลือดแล้วแบบนี้ จะเก็บเขาไว้ให้แว้งกัดในภายหน้า ก็คงไม่เป็นผลดีต่อเราทุกคน” “เรื่องนี้อี้หรูทำเกินกว่าเหตุ แต่ใน
“สวะชั้นต่ำอย่างเจ้า กล้าหรือ! ที่จะถามข้าแบบนี้” คงมีเพียงคนโง่เท่านั้น ที่จะมองไม่ออกถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ต้วนกู่เจี๋ยถึงกับซวนเซ ชีวิตเขาที่มันยิ่งกว่านิยายในตลาด ที่นักเล่าเรื่อง ชอบเอามาเล่าให้ชาวบ้านฟังเสียอีก พ่อบ้านของเขา เป็นลูกนอกสมรสของบิดา และลูกนอกสมรสของบิดา ยังเป็นชู้รักของภรรยาเขาอีก แล้วนี่ยังจะมีสิ่งใดเหนือความคาดหมายหรือไม่ “ต้วนฉีคือลูกของข้า!” คำพูดของหลงเส่า ราวกับสายฟ้าแที่ฟาดลงสู่กลางใจ ของแม่ลูกสกุลต้วน ต้วนฮูหยินถึงกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง ไม่ต่างจากต้วนฉีที่ตอนนี้ หยุดร้องคร่ำครวญ ราวกับเขาถูกสาป จากคำบอกเล่าของหลงเส่า “ข้าว่าเจ้ายังพูดไม่หมด” คำพูดของต้วนจ้าว ทำให้ผู้เป็นพ่อหันขวับไปมองบุตรชาย มันยังจะมีเรื่องอะไรอีก ที่หลงเส่ายังบอกมาไม่หมดอีก “กรี๊ดด!! หุบปากเจ้าซะ! อย่าพูด! ข้าบอกเจ้าว่าอย่าแม้แต่จะเอ่ยปากออกมา!”ต้วนฮูหยินกรีดร้องเสียงหลง เมื่อลุกเลี้ยงกำลังบีบให้ชู้รักของนาง พูดความเสื่อมเสียที่นางเก็บซ่อนไว้ “บิดาของเราทั้งคู่ คือชู้รักอีกคนของนาง และที่ภรรยาของเจ้าต้องตาย ก็เพราะน
ส่วนเรื่องมีลูกน่ะหรือ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เขามิเคยแตะต้องตัวนางแม้แต่น้อย เพราะแบบนี้...นางจึงมีสัมพันธ์กับหลงเส่าอีกคน จนนางตั้งครรภ์จึงได้ทำทุกอย่างให้เหมือนนางกับสามี มีค่ำคืนร่วมกัน แม้มันจะเป็นเพียงฉากหนึ่ง ทว่าในคืนนั้น นางสุขที่สุดแล้วที่ได้ร่วมหมอนกับเขา ถึงจะมาจากฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดก็ตามทีและตาแก่มากตัณหาเชื่อสนิทใจ ว่าต้วนฉีคือลูกชายอีกคนของตนเอง จึงทำทุกวิถีทางกำจัดต้วนจ้าวให้พ้นทาง แต่ใครจะไปคิดว่าเขายังเชื่อใจบุตรชายคนโต อย่างต้วนกู่เจี๋ยไม่ยอมยกตำแหน่ง ข้ามมาให้ลูกของนางเสียที สุดท้ายเมื่อเขาตาย ต้วนกู่เจี๋ยที่ครอบครองทุกอย่าง และสามีของนาง ก็ยังคงเฝ้ารอต้วนจ้าวมาจนทุกวันนี้ ความพยายามของนาง เป็นเพียงสิ่งสูญเปล่าทั้งหมด“ท่านแม่! ข้าต้องการหย่ากับต้วนฉี ข้าจะไม่มีวันเอาทั้งชีวิต มาทิ้งกับคนชั้นต่ำเยี่ยงนี้ ข้ารับไม่ได้!”ในที่สุดเชี่ยจิ่งก็พูดสิ่งที่คิดออกมา นางต้องการเพียงอำนาจในฐานะนายหญิง ไม่ใช่ภรรยาของลูกชู้เยี่ยงนี้ จะอย่างไรนางก็เป็นคุณหนูสกุลผู้ดี จะมาจมทั้งชีวิตลงไปในโคลนตมได้อย่างไรต้วนอี้หรู มองความวุ่นวายตรงหน้า ก่อนจะเหลือบมองชายหนุ่มข้างกาย ชีวิตเขาที่ร่ำ
"อายุปูนนี้แล้ว ท่านมิอายบ้างหรือ ที่จะพาลูกหลานกลับสกุลเดิม” “ต้วนกู่เจี๋ย ท่านพูดอะไรบ้างสิ!” ต้วนฮูหยินหันมาทางสามี เพื่อให้เขาช่วยพูดกับบุตรชาย นางรู้ว่าเป้าหมายต่อไปของต้วนฉี คงเป็นนางอย่างแน่นอน ต่อให้นางรู้ผิดแล้วอย่างไร ทำไมนางต้องตายด้วย “ข้าจะส่งพวกเจ้าไปอยู่ต่างเมือง ใช้ชีวิตให้ดี” นายท่านต้วน เลือกที่จะไม่ให้มีใครตายเพิ่ม โทษใดจะเท่าอยู่มิสู้ตายเล่า “จะให้ข้าไปอยู่เยี่ยงยาจก สู้ข้าลากพวกเจ้า ลงนรกไปเสียพร้อมกับข้ามิดีกว่าหรือ” ต้วนฉี ดึงมีดสั้นออกจากร่างของภรรยา แล้วปล่อยให้ร่างที่ยังหายใจรวยริน ลงไปนอนแน่นิ่งอยู่แทบเท้า ก่อนที่เขาจะตวัดปลายมีด ชี้ตรงไปที่พี่ชาย “เจ้า! ต้วนจ้าว! ทำไมเจ้าต้องกลับมา ทำไมเจ้าไม่ตายไปเสีย จะกลับมาทำไม!” ต้วนฉีตะโกนใส่พี่ชาย ด้วยน้ำตาที่นองหน้า เขาทนรับไม่ได้กับความตกต่ำนี้ หากเรื่องที่มารดาทำแพร่ออกไป เขาจะอยู่ได้อย่างไร กับคำนินทาจากผู้คนทั้งแผ่นดิน “แบกรับชะตาของเจ้าเถอะต้วนฉี หากยังสงบใจรับกับมันไม่ได้ ข้าจะทำให้เจ้าสงบ ไปจนวันที่เจ้าร้องขอความตายจากข้
“กรี๊ด!! สวี่เทียน! เจ้าคนเลือดเย็น เจ้ากล้าที่จะทอดทิ้งลูกของข้าได้อย่างไรกัน” ร่างงามทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ พร้อมทั้งประคองหยกในมือ ซึ่งเป็นตัวแทนของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางผิดตรงไหนหรือสวรรค์ ไยจึงต้องทำร้ายลูกๆ ของนางเช่นนี้ด้วย ฉินชวงทำได้เพียงตัดต่อสวรรค์ ที่ไม่เมตตานางกับลูกเลย ไม่ว่าจะเรื่องฐานะหรือความรุ่งโรจน์ ล้วนแต่เป็นนางที่อยู่ใต้เงาผู้อื่นมาตลอด พอวันนี้นางได้มีโอกาส เชิดหน้าสู้ฟ้าได้อย่างภาคภูมิ ไยสวรรค์จึงได้กลั่นแกล้ง ช่วงชิงหัวใจของนางไปเช่นนี้เล่า นางไม่ได้โง่ขนาดจะดูไม่ออก ว่าตอนนี้ลูกๆ ของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย หรืออาจสังเวยชีวิตไปแล้วก็เป็นได้ คงไม่มีใครที่ไหนตัดลิ้นของคนอื่น แล้วช่วงชิงเสื้อผ้า และสิ่งของติดตัวใครสักคน แล้วส่งมาข่มขู่ครอบครัวเขาเยี่ยงนี้เป็นแน่ ดูได้จากสายตาของสามี มันก็ชัดเจนว่าเขารู้แล้ว ว่าลิ้นในกล่องนั่น เป็นของบุตรชายนาง ใช่สิ! จดหมายนั่นต้องไขความกระจ่างให้ข้าได้ เมื่อนึกถึงจดหมาย ที่สามีเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ ร่างระหงจึงลุกพรวดขึ้นในทันที นางต้องรู้ให้ได้ ว่าข้างในเขียนว่าอย่างไร เพราะนั่นอาจเป็นเบาะ
สวี่หวิ๋นไม่เอ่ยสิ่งใดอีก หญิงสาวตวัดกระบี่ในมือ พุ่งเข้าหาหญิงสาวแปลกหน้าในทันที เจียงอี้หลิง ทำเพียงขยับเท้าแค่เล็กน้อยเท่านั้น นางก็สามารถหลบหลีกการโจมตี ของสวี่หวิ๋นได้อย่างง่ายได้ แต่มีหรือสตรีเลือดร้อนเยี่ยงสวี่หวิ๋น จะยอมล่าถอยไปโดยง่าย หญิงสาวพลิกข้อมือเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งปลายกระบี่ เข้าหาคู่ต่อสู้อีกครั้ง เจียงอี้หลิง ทำเพียงหลบหลีก การโจมตีของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ นางยังอยากดูฝีมือ ของบุตรสาวสวะตนนั้นอีกสักหน่อย และนั่นยิ่งเพิ่มโทสะให้แก่สวี่หวิ๋น นางไม่เคยถูกผู้ใด หหรือยามหน้าเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ในเมื่อตอนนี้สตรีแปลกหน้า ทำเพียงขยับเท้า เคลื่อนไหวหลบหลีกนางเท่านั้น แต่ไม่ยอมจับอาวุธมาต่อสู้กับนาง ให้รู้ผลแพ้ชนะกันไปเลย การทำเช่นนี้มันเหมือนจงใจตบหน้านางชัดๆ “เจ้ากำลังดูถูกข้าอย่างนั้นรึ! น่าตายนัก!” สวี่หวิ๋น คำรามก้องด้วยโทสะที่ระเบิดออกมา นางไม่อยากเชื่อว่าวันนี้นางจะพ่ายให้แก่คนนอกได้ “หึๆ เจ้ายังไม่คู่ควรให้กระบี่ข้าออกจากฝัก” เจียงอี้หลิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า นางไม่ได้พูดไปส่งๆ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หากก
“ข้าน้อย...” “หุบปากของเจ้าซะ! เรื่องเมื่อครู่ หากหลุดออกไป ข้าจะตัดลิ้นพวกเจ้าทั้งหมด” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยสิ่งใด หญิงสาวกลับชี้หน้าข่มขู่เขา และวาดปลายนิ้วไปที่อีกหนึ่งผู้คุ้มกัน กับสาวใช้ของนางให้เงียบปากเสีย เพราะหากใครคนใดเอ่ยถึงเรื่องที่เห็น ว่านางกอดกับบ่าวต่ำชั้น นางจะไม่มีวันปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว นางคือคุณหนูสูงศักดิ์ แต่ผู้คุ้มกันที่บิดาหา มาล้วนเป็นพวกไร้หัวนอนปลายเท้าทั้งสิ้น จะเอาสิ่งใดมาคู่ควรแตะต้องตัวนาง แปะ! แปะ! เสียงตบมือเป็นจังหวะเนิบช้า ราวกับกำลังเย้ยหยันต่อคำพูดของนาง ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หญิงสาวตวัดสายตามองไปยังที่มาของเสียง ก่อนจะดวงตาเหลือกค้าง เมื่อเห็นว่าพี่ชายของนาง ถูกมัดห้อยตัวอยู่บนกิ่งท้อ เมื่อครู่ที่นางเห็นเขามันคือเรื่องจริง มิใชเพียงภาพลวงตา ที่ทำให้นางหยุดม้าอย่างกะทันหัน จนเกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น “พี่ใหญ่!” หญิงสาววิ่งตรงไปหาพี่ชาย นางดึงกระบี่ในมืออกจากฝัก ก่อนจะตวัดปลายกระบี่ ไปยังเชือกที่ผู้ข้อมือทั้งสองข้างของพี่ชาย จนขาดสะบั้น ทำให้ร่างโชกเลือด ล่วงลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว ท
“มันไม่ใช่สิ่งที่น่ามอง เจ้าอย่าได้คิดสิ่งใดไปไกลนัก นี่อาจเป็นเพียงกลลวง ยิ่งเจ้าคิดว่าใช่ นั่นเท่ากับเจ้าเดินตามเส้นทางที่พวกมันขีดไว้ ที่ผ่านมาเจ้ามิใช่หรือ คือผู้ขีดเส้นกำหนดมาตลอด ไยวันนี้...เจ้าจึงคิดคล้อยตามกลลวงศัตรูไปได้เล่า” สวี่เทียน หยิบยกตัวตนของภรรยาขึ้นมาเอ่ยอ้าง ต่อให้นั่นคือลิ้นบุตรชาย แล้วอย่างไรล่ะ จะให้เขาดิ้นพล่านราวสุนัขถูกน้ำร้อนราดอย่างนั้นรึ! เหอะ! เขาก็จะไม่มีวันให้ความอ่อนแอของใครก็ตาม มาทำลายสิ่งที่เขา เฝ้ารอมาทั้งชีวิต ลูก...ฮึ! ก็แค่นั้น เขาไม่ได้คิดที่จะสนใจว่าอยู่หรือตาย เพราะสิ่งเดียวที่เขาสนใจ คืออำนาจที่พึงเป็นของเขาเท่านั้น ยี่สิบปีเชียวนะ! ที่เขาสละเวลามาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ หากเขามีหนทาง ที่สามารถปีนป่ายให้สูงกว่านี้ได้จากที่อื่น มีหรือเขาจะยอมทำตามขอเสนอของภรรยา มาอยู่ให้สกุลอวี๋เหยียบย่ำเป็นเวลายาวนานขนาดนี้ เขยแต่งเข้าที่ไม่อาจใช้สกุลภรรยา คิดหรือว่าจะถูกมองอย่างให้เกียรติ แม้คนจะก้มหัวให้ยามพบเจอ แต่นั่นเพราะข้างกายเขา มีอวี๋เมี่ยวหรือไม่ก็บุตรชายของนาง หากเป็นเขาเดินเพียงลำพัง แทบจะไม่เคยได้รับรอยยิ้มที่ออกจ
สองชั่วยามต่อมา ณ เรือนผู้รักษาการ สองสามีภรรยากำลังนั่งกินขนมจิบชา ด้วยความสำราญ หลังจากบทรักเล่าร้อน ได้จบลงไปได้ครู่ใหญ่แล้ว การหยอกเย้ากันของทั้งคู่ ยังคงมีเป็นปกติ ราวกับพวกเขายังคงเป็นหนุ่มสาว เช่นในวันวานก็มิปาน “เรียนนายท่าน มีของขวัญมาส่งขอรับ” เสียงรายงานจากด้านหน้าประตู ทำให้สองสามีภรรยา ขยับนั่งตัวตรงอย่างมีสง่า “เข้ามา” สวี่เทียนเอ่ยปากอนุญาต ให้คนด้านนอกเข้ามาข้างในได้ เพียงบ่าวชายก้าวพ้นประตูเข้ามา สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่กล่องไม้ในมือของบ่างผู้นั้นทันทีใครกันที่ส่งของขวัญมาให้เขากัน ด้วยในช่วงเวลานี้ หาได้มีวันสำคัญ หรือเทศกาลใด ที่ต้องมอบของขวัญของกำนัลต่อกัน หากจะเป็นคนจากภายนอกหุบเขา ก็ไม่น่าจะมีใครส่งมา โดยไม่แจ้งล่วงหน้าถึงการมาเยือน “เป็นของขวัญที่ไม่ทราบที่มาขอรับ ข้าน้อยคิดจะเปิดดู แต่...มิกล้าทำโดยพลการขอรับ” บ่าวชายรีบชี้แจง ต่อการที่เขาไม่อาจบอกถึงสิ่งของข้างในได้ เพราะเคยมีคนเปิดดูของขวัญ เพื่อตรวจสอบก่อนจะนำมาส่งมอบให้แก่ผู้เป็นนาย ผลก็คือบ่าวคนนั้น ได้สิ้นใจภายใต้คมดาบของท่านผู้รักษาการ
“แต่ข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น หากเจ้าตอบรับมัน ข้าจะมิถือสาเรื่องเมื่อครู่นี้” เมื่อมีสิ่งอื่นที่ดึงดูดใจ มากกว่าการที่นางสามหาวต่อบิดา สวี่หวางจึงยื่นข้อเสนอในทันที หญิงสาวตรงหน้าอาจเพียงแค่ อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา หาไม่แล้วมีหรือหัวหน้าผู้คุ้มกัน จะพาเขามาที่นี่ “ข้อเสนอ...คนเยี่ยงเจ้า มีข้อเสนอใดกับข้าเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงปนเย้ยหยันของหญิงสาว ทำให้สวี่หวางจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน ในเมื่อหมากกระดานนี้ นางอยากควบคุม เขาก็จะยินยอมเล่นไปกับนางสักหน่อย ค่อยจบมันในหมากตัวสุดท้าย “เป็นอนุของข้า แล้วเรื่องเมื่อครู่ข้าจะปล่อยผ่านไป” “อยากฟังข้อเสนอของข้าบ้างไหม” หญิงสาวย่อนถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่จริงจังเท่าใดนัก “ว่ามาสิ! ข้าคือบุตรชายของประมุขแห่งหุบเขานี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหามิได้” สวี่หวางตบตนเอง พร้อมประกาศให้รู้ถึงอำนาจในมือ เขาคือบุตรชายคนโต ภายหน้าเขาก็คือประมุขผู้มั่งคั่ง เจ้าของหุบเขาแห่งนี้ แค่สตรีต่างถิ่นคนหนึ่ง มีหรือเขาจะเลี้ยงดูนางไม่ได้ “จริงหรือ...บิดาเจ้าแซ่สวี่ ไหนเลยจะเป็นประมุขได้” เมื่อได้ยินพูดของหญิงสาวตรงหน้า สวี่หวางถึงกับหน้าถอดสี หรือนี่จะ
“ข้าน้อยเพียงจะมาแจ้ง ให้ท่านผู้รักษาการทราบ ว่าตอนนี้...มีคนพบเห็น ท่านประมุขน้อยแล้วขอรับ” “ที่ไหน!” สวี่หวางรีบถามด้วยความตื่นเต้น หากวันนี้เขาสามารถทำให้อวี๋มู่หลง หายไปจากโลกนี้เสีย อนาคตของเขา ก็จะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงาผู้ใดอีก มารดาที่เป็นภรรยาแรก กลับกลายเป็นได้เพียงอนุ ที่รับเข้าสู่บ้านเท่านั้น ไม่อาจก้าวขึ้นทัดเทียมอดีตประมุข และเขาก็เป็นได้เพียงแค่ลูกที่บิดา ไม่อาจเชิดชูออกหน้าได้แม้คนเหล่านี้ จะให้ความนอบน้อมต่อเขา แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมัน ก็ไม่เคยเห็นเขาในสายตาจริงๆ สักครั้ง หากเทียบกับอวี๋มู่หลง เจ้าสวะไร้ค่านั่น! “ในป่าท้อทิศตะวันออกของหุบเขาขอรับ” หัวหนาผู้ดูแล ตอบไปตามหน้าที่ แม้ว่าใจเขามิได้ชื่นชอบอนุและลูกๆ ของนาง ที่อาจหาญทำตัวทัดเทียมท่านประมุขน้อย แต่เขาก็ยังไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะต่อกรกับผู้รักษาการได้ จนกว่าท่านประมุขน้อย จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริง “พาข้าไป!” “แต่...” หัวหน้าผู้คุ้มกัน คิดที่จะปฏิเสธ ทว่า... “ฮึ! หรือเจ้าคิดจะปกป้องคนไร้ค่านั่น” สวี่หวาง พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเ
สิบห้าวันถัดมา ณ เรือนผู้รักษาการ เมืองหยินกวง เพล้ง! เสียงจอกสุรา ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ทำให้สาวใช้หลายนางที่ยืนรอรับใช้อยู่ พากันสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อผู้เป็นนายกำลังมีโทสะ ก่อนที่สตรีผู้เป็นอนุของท่านผู้รักษาการ จะเดินเข้ามา แล้วส่งสัญญาให้บรรดาสาวใช้ออกไปเสีย “ท่านพี่ ไยต้องมีโทสะด้วยเจ้าคะ” ฉินชวงเดินไปยืนด้านหลังสามี ก่อนจะวางมือบนไหล่หนา แล้วออกแรงบีบนวด เพื่อให้สามีรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าการอยู่อย่างไรเกียรติของนาง จะมิใช่สิ่งที่วาดฝัน แต่นางก็ยังอยากให้บุตรชายคนโต เป็นผู้สืบทอดเมืองแห่งนี้ “มีคนพามันหนีไปได้ จนตอนนี้! ข้ายังหามันไม่พบเลย” สวี่เทียนกำหมัดแน่น ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่บุตรชายคนเล็ก หนีไปพร้อมกับคนแปลกหน้า มันทำให้เขาราวกับถูกตบหน้า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่บุตรชายรอดพ้นเงื้อมือเขาไปได้อย่างหวุดหวิดเพราะนับตั้งแต่บุตรชาย ล่วงรู้ความจริงหลายอย่าง ความสัมพันธ์พ่อลูกก็ยิ่งห่างไกล แล้วอย่างไรเล่า ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ความเป็นพ่อลูก แต่เขาต้องการตราประทับเท่านั้น “อาจเป็นเหล่าผู้อาวุโส ที่แอบช่วยเขาลับหลัง แต่อย่า
“ว๊าย!!! พรู๊ด!!”หญิงสาวถึงกับพ่นชาในปากออกมา เมื่อความร้อนของชาในถ้วย ทำให้นางปากแทบพอง นางลืมไปว่ามันร้อนอยู่ “เจ็บมากหรือไม่!” ม่อเหลียวรีบถามด้วยน้ำเสียงรนราน ก่อนจะล่วงเอาขวดยาเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วป้อนเข้าปากหญิงสาว “คราวหน้าต้องระวังให้มากเข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน ซึ่งหากถ้าเป็นสตรีอื่น เขาไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งคุ้นชิน สำหรับคนทั้งสาม เว้นแต่อวี๋มู่หลงเท่านั้น ที่ยังไม่รู้ถึงเรื่องของหนุ่มสาวคู่นี้ แต่จากสายตาแล้วอวี๋มู่หลงเอง ก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าคนทั้งสองนั้น ต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน แต่อาจด้วยหลายสิ่งอย่าง ทำให้ทั้งคู่ยังไม่แต่งงาน หรือสานสัมพันธ์รักไปมากกว่านี้ “พี่สาม”เมื่อเห็นพี่สาวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับตนเองเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาถึงกระท่อม อี้หยางจึงเรียกผู้เป็นพี่ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใช่เขาริษยาพี่ม่อเหลียว แต่เขาทั้งดีใจและน้อยใจปนกัน ก็ในเมื่อเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ พี่สาวก็มองเพียงพี่ม่อเหลียวคนเดียว “เจ้าเป็นผู้นำสกุลเจียงคนต่อไป แค่นี้จะมีน้ำตาได้อย่า