เมื่อตัวตนถูกพบเห็น คนในชุดดำก็ไม่คิดที่จะหลบเลี่ยงอีก ไหนๆ ก็ต้องจัดการกับเป้าหมายอยู่แล้ว เพิ่มลมหายใจเด็กคนหนึ่งไปอีกสักคน จะเป็นไรไปเล่า... “ข้าไม่คิดว่าบุตรชายขอทานคนหนึ่ง จะลำพองตนได้ถึงเพียงนี้” ในเมื่อคนตรงหน้าเป็นเพียงเด็ก ที่กำลังร้อนวิชา ไยจะปล่อยให้อีกฝ่าย เสียโอกาสแสดงฝีมือด้วยเล่า “ท่านป้าผู้นี้ช่างรู้จักข้าดีเหลือเกิน ถูกแล้วข้าคือบุตรชายขอทาน เมื่อครั้งอดีต...แต่ปัจจุบันข้ามั่นใจว่า มารดาของข้ามั่งมีกว่านายของท่านป้าหลายเท่านัก” ต้วนอี้หลงไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็หาได้ยอมให้ถูกหยามหมิ่นแต่ฝ่ายเดียว ไฟกำลังลุกได้ที่ โยนฟืนราดน้ำมันอีกสักหน่อย ยามไฟโหมแรง สติย่อมน้อยนิด...นั่นจะทำให้เขาฉกฉวยโอกาสได้ดีเยี่ยม “อย่ามาทำเป็นเป็นสู่รู้เรื่องของนายข้า สวะอย่างเจ้ากับมารดา จะเอาสิ่งใดมาเทียบ” “แค่อนุผู้หนึ่ง ยังกล้ายกตัวเหนือผู้อื่น มิรู้สูงต่ำอย่างแท้จริง น่าเห็นใจยิ่งนัก” ต้วนอี้หลงยังคงไม่แสดงท่าที่โกรธกริ้ว เพราะเขารู้ดีว่าสตรีส่วนมากนั้น ที่มีวัยเกินสี่สิบ อารมณ์มักไม่นิ่ง คิดยั่วยุเขาก็ต้องเติมไฟให้มากกว่านี้
“อาจหาญนัก! บุกเข้าจวนเจียง ช่างมิรู้ที่ตาย!”“เหอะ! แล้วอย่างไร!”หญิงชุดดำรู้ตัวแล้วว่า นี่คือกับดัก นางพลาดอย่างมาก ที่มิตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อน ว่าแท้จริงแล้วจวนเจียงนั้น มีการระวังภัยแน่นหนาแค่ไหน ในเมื่อถอยไม่ได้ ก็สู้ให้ถึงที่สุด“คุณชายรอง ถอยไปอีกสักเล็กน้อยขอรับ”ต้วนอี้หลง ทำตามอย่างว่าง่าย เขาไม่ได้รู้สึกเสียหน้า ที่ถูกช่วยเหลือ แต่มันคือการเตรียมการของเขา ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หากตัวเขาลงมือสังหารสตรีผู้นี้ ย่อมทำให้เกิดคำถามที่ตามมามากมาย แบบนี้ดีแล้ว... ซึ่งอีกด้านหนึ่ง ก็คงเป็นต้วนอี้หลางและมารดา รวมถึงเจียงกั๋วจ้านที่เฝ้ามองระวังภัยให้แก่อี้หลง จะอย่างไรเสียอี้หลงก็เพิ่งก้าวเข้าฝึกยุทธ์ ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของคนชุดดำ นั่นคือความคิดของคนเป็นแม่ แต่มิใช่ต้วนอี้หลาง แต่ก็ยังไม่ก้าวล่วง สอดมือการต่อสู้นี้ ส่วนเจียงกั๋วจ้าน ขมวดคิ้วเป็นปม ด้วยกำลังขบคิด กับการใช้แส้ของต้วนอี้หลง เพราะเหมือนเขา จะเคยเห็นมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่เขายังคิดไม่ออก ว่าเคยเห็นมาจากที่ใด ทางด้านต้วนอี้หลาง ไม่ได้ละสายตาไปจากคนชุดดำ เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ หากไม่จับตาดูให้ดี จะมอ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ณ ห้องคุมขังท้ายจวน คนร้ายที่บุกเข้าจวนเจียง เพื่อหวังกำจัดแม่นมหวัง และได้ปะทะฝีมือกับคุณชายรองอี้หลง ถูกนำตัวมาขังที่ห้องเล็กๆ ที่ท้ายจวนเจียง โดยมีเพียงบ่าวชายสองคนเท่านั้น ที่คอยเฝ้าดูแล “พวกท่านไปพักสักครู่เถิด ข้าจะเข้าไปคุยกับคนข้างในสักครู่” ต้วนอี้หลิง เอ่ยกับบ่าวชายทั้งสอง แต่ก็พอเข้าใจอาการอึกอักของทั้งคู่ ด้วยนี่คือหน้าที่สำคัญ จะละเลยมิได้เป็นอันขาด “แต่คุณหนูเล็กขอรับ ข้าน้อยมิอาจละทิ้งหน้าที่ได้นะขอรับ” “พี่มอเหลียวก็อยู่ อีกอย่างนางถูกมัดอยู่มิใช่รึ!” “พวกท่านไปเถอะ อีกสักประเดี๋ยวค่อยกลับมา คุณหนูมีเรื่องต้องถามคนผู้นั้น” เป็นม่อเหลียวที่ช่วยยืนยันอีกแรง เพื่อให้ความต้องการของคุณหนูลุล่วง “เช่นนั้นข้าน้อยทั้งสอง จะเดินตรวจตราด้านนอกรอขอรับ” หนึ่งในบ่าวชาย ยื่นอีกข้อเสนอให้แทนการที่พวกเขา ละทิ้งหน้าที่ไปพักผ่อน เช่นที่คุณหนูเล็กเสนอมาในคราแรก อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ใกล้หน้าห้อง แต่ก็มิได้ละทิ้งเวรยามของตนไปที่ใด “ขอบคุณ” ต้วนอี้หลิง กล่าวออกมาด้
“เพราะอะไรที่ข้าต้องเชื่อเจ้า” “เพราะเจ้ากำลังทำให้นางเจ็บ ข้ามิต้องการให้นางเจ็บแม้แต่ปลายเส้นขน” แสงจันทร์ที่สาดส่อง ลงมากระทบใบหน้าของชายหนุ่ม มันช่างส่งเสริมให้เขา ดูเยือกเย็นยิ่งนัก ในความคิดของหญิงชุดดำ คนประเภทนี้หากได้ลงมือ มิต่างจากพายุคลั่ง ต้วนอี้หลิง น้ำตานองหน้า ด้วยไม่คิดว่าม่อเหลียว จะติดตามปกป้องนาง ทั้งที่ฝีมือในการต่อสู้ อยู่เพียงแค่ขั้นต้นเท่านั้น ต่างจากสตรีข้างกายนาง แม้ในตอนนี้จะบาดเจ็บ ก็ยังนับเป็นยอดฝีมืออยู่ดี “เจ้าคิดว่าข้าโง่ขนาดนั้นเลยหรือ” หญิงชุดดำไม่สนใจชายหนุ่มอีก นางดึงต้นแขนพาเด็กหญิงเดินไปด้วยความร้อนใจ ต้วนอี้หลิงหาได้ขัดขืน จนทำตนเองได้รับบาดเจ็บ นางก้าวเท้าเดินไปกับคนร้าย โดยมีม่อเหลียวก้าวตามอยู่เบื้องหลัง ในชั่วขณะหนึ่ง รอยยิ้มร้าย พลันปรากฏบนใบหน้ากลมดั่งชาลาเปา ก่อนที่มันจะหายไป ราวกับภาพฝันชั่วครู่เท่านั้น ทั้งสามต่างเร่งฝีเท้าไปในความมืด เพื่อให้ถึงจุดหมายโดยเร็วแม้ว่าความรู้สึกจะแตกต่าง เป้าหมายจะคนละอย่าง แต่ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อต่างตกอยู่ในสถานการณ์ ที่ถูกบีบบังคับในทุกด้าน
นับเป็นการเผชิญหน้า ที่รู้แน่ชัดว่าผู้ใดเสียเปรียบ สองนายบ่าวทำเพียงระวังภัยให้แก่กัน นางไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะตกลงไปในหลุมพรางตื้นๆ นี้ได้“เจ้าคิดว่าถ้าข้าตาย ทุกอย่างจะจบสิ้นอย่างนั้นรึ!”แม้จะรู้สึกกลัวจับใจ แต่มีหรือคนที่ผ่านโลกมามากเยี่ยงนาง จะแสดงความหวาดหวั่น ให้ศัตรูรุ่นลูกได้เห็น“ไม่มีทางอยู่แล้ว อย่างที่เจ้าพูดกับลูกข้าเมื่อครู่ คลานหนีก็ยากจะพ้น ข้าก็จะทำแบบนั้น กับคนที่เจ้ารักที่สุดเช่นกัน”ต้วนอี้หรูไม่ได้คิดที่จะข่มขู่ แต่บางครั้งโลกแห่งการช่วงชิง ย่อมต้องทำในสิ่งที่ขัดใจ มิเว้นแม้แต่การทรมานศัตรู หากคนจากเมืองหลวง ปล่อยผ่านนางกับลูกไปเสีย วันนี้ย่อมมาไม่ถึง“การที่เจ้าทำแบบนี้ ไม่กลัวจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ลูกๆ เจ้าหรือ แต่อย่างว่า...จากที่เห็นในค่ำคืนนี้ เจ้าแม่ลูกล้วนเต็มไปด้วยเล่ห์กล”“เอาตรงๆ เลยนะ ข้าเป็นคนที่คิดอะไรไม่ซับซ้อน หากอยากลงมือต่อเจ้าหรือใครๆ ข้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดสิ่งใดให้มาก แต่แผนการทั้งหมด ล้วนเป็นลูกของข้าที่จัดการเอง”“ฮ่าๆ เจ้าจะบอกว่าพวกเขาฉลาด ส่วนมารดาเยี่ยงเจ้าโง่เง่าสินะ! ช่างน่าขันนัก”“ในเมื่อชีวิตข้าไร้สามี การเชื่อฟังบุตร ย่อมเป็
อนุหลินขบกรามแน่น เมื่อโชคชะตาของนาง ไยจึงโหดร้ายเพียงนี้ กำจัดคนเป็นแม่ไปได้ ก็ยังคงเหลือคนเป็นลูก หากครานั้นไม่มีคนสอดมือ ไม่มีทางที่นางจะปล่อยให้คนตรงหน้า หลุดรอดไปได้อย่างแน่นอน“นายหญิงหนีไปเจ้าค่ะ ทางนี้ข้าจะถ่วงเวลาให้”บ่าวผู้ภักดี รีบบอกแก่ผู้เป็นนาย ถึงอย่างไรก็ไร้คนนอก รู้เห็นถึงเรื่องในค่ำคืนนี้ หากนายหญิงของนาง ยังคงยืนกรานปฏิเสธ ใครหน้าไหนก็ยากจะปรักปรำได้“มันคือสิ่งที่เจ้าต้องแบกรับ”สิ้นคำของอนุหลิน หญิงชุดดำ ถูกผลักไปด้านหน้า และในจังหวะนั้นเอง ที่กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้น ก่อนจะจางหายไป พร้อมร่างของอนุหลิน ที่หายไปเช่นกัน“เจ้านี่ก็แปลกคน รู้ว่าเขาจะให้ตายแทน ยังยินดีทำเพียงเพราะคำว่าภักดี รู้ไหมหากเป็นข้า จะเลือกรักตนเองให้มาก เว้นแต่คนที่เราเสียสละชีวิตให้ จะเห็นค่าของเราบ้าง นั่นจึงควรค่าแก่การเสียสละ”“หุบปาก! ต่อให้เขาเจ้ายุแยงเยี่ยงไร ข้าก็ไม่มีวัน...อึก!”ไม่ทันได้จบประโยค ร่างนั้นก็ทรุดลงกับพื้น ด้วยน้ำมือของทหารจวนเจียง“ท่านแม่ ข้าอุตส่าห์เป็นเหยื่อล่อ ไยปล่อยนางหนีไปได้เล่าเจ้าคะ”“นางคือสิ่งเหนือความคาดหมาย ความตั้งใจแรกเจ้าจะต้องไปกับหญิงผู้นี้ เพื่อพบกับนาย
“ไยท่านพี่คิดว่าเป็นนาง ในเมื่อท่านพี่มั่นใจยิ่งนักมิใช่หรือเจ้าคะ ว่านางมิใช่บุตรสาวตัวจริง หรือเพราะท่านพี่รู้อยู่แล้ว แค่กลัวว่าจะเสียหมากบนกระดานไป จึงหาหนทางกำจัดนาง” เป็นคำถามที่ทำให้ท่านเสนาบดี นิ่งงันไปอยู่ครู่ เพื่อขบคิดคำตอบที่ไม่เป็นภัยต่อตนเอง เพราะการที่ภรรยา เอ่ยปากออกมาเช่นนี้ แสดงว่านางได้รู้สิ่งใดมาอย่างแน่นอน “เหลวไหล! ใครกันที่เป่าหูเจ้าให้คิดเช่นนี้ ต่อให้เจ้าอายุไม่ได้ใกล้เคียงกับข้า แต่เจ้าก็เป็นถึงฮูหยินใหญ่ ความคิดย่อมต้องกว้างไกลให้มากเข้าไว้ มิใช่ใครพูดสิ่งใดมา เจ้าก็โอนอ่อนตาม เยี่ยงคนไร้ความคิดเป็นของตนเอง” “เช่นนั้นหรือเจ้าคะ” จางฮูหยิน สบเข้ากับดวงตาดุกร้าวของสามี คนที่แสร้งเป็นเหยื่อมาทั้งชีวิต วันนี้จะเก็บลายไว้ไม่อยู่แล้วหรือ… “เจ้ากำลังคิดสิ่งใด! วันนี้ถึงได้ตั้งคำถามแบบนี้กับข้า” “นั่นเป็นคำถามของข้ามิใช่หรือเจ้าคะ ท่านพี่คงลืมไปแล้วกระมัง ว่าการอยู่เยี่ยงสามีภรรยาของเรา มันเป็นเพียงฐานะมานานแค่ไหนแล้ว อยู่ๆ ท่านพี่เกิดอยากมาเยือนเรือนของข้า แต่เหตุผลใด จึงได้เจาะจงมา หลังจากข้าดับไฟนอนไปแล้
“ดูท่าท่านเสนาบดีเอง ก็คงเตรียมการลงมือ ให้เสร็จสิ้นในครานี้เช่นกัน คืนนี้นอกจากข้าจะมาเยี่ยมท่านยายแล้ว ข้าตั้งใจมาเพื่อรับตัว คนที่ล้ำเส้นครอบครัวของเข้าเช่นกัน”“ใครกันที่ล้ำเส้นเจ้า เด็กตัวเท่ามด ช่างฝีปากกล้าเกินไปแล้ว”“ท่านพี่!”ตุบ! ร่างของอนุหลิน ถูกโยนลงตรงหน้าของต้วนอี้หลาง ก่อนที่คนของจวนเจียง จะล่าถอยไปเฝ้ารักษาความปลอดภัยด้านนอก“บังอาจ! พวกเจ้าบุกเข้าบ้านข้า แล้วยังจะทำร้ายคนของข้าอีกรึ!”“ท่านรักนางจริงหรือ” ต้วนอี้หลาง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปนเย้ยหยัน“อ๊ะ! ทะ...ท่านพี่”อนุหลินอุทานออกมา เมื่อลำคอของนาง มีคมดาบเย็นเยือกของชายหนุ่ม ซึ่งยืนอยู่ระหว่างนางกับสามี คมดาบวางพาดผ่านพร้อมปลิดชีพนางได้ทุกเมื่อ“คนของท่านล้ำเส้นข้าก่อนทำไมเล่า ท่านยายหวังของข้ามิเคยแพ่งพรายสิ่งใด แต่นางก็ยังคงไม่คิดมองผ่าน แล้วทำไมข้าต้องมองผ่านไปด้วยเล่า”“ไอ้เด็กบ้า! ข้าไปทำอย่างที่เจ้าว่ามาตอนไหนกัน ข้าอยู่เพียงแค่ไหนจวน”ตุบ! “กรี๊ด!!!”อนุหลินแสร้งหวีดร้องเสียงหลง เมื่อร่างของสาวใช้ข้างกาย ถูกโยนลงต่อหน้าของนาง ทว่าความตื่นกลัวอันจอมปลอม ไม่ได้ทำให้เด็กชายหลงกลนั้นแม้แต่น้อย“พวกเจ้าอาจหาญนัก
“กรี๊ด!! สวี่เทียน! เจ้าคนเลือดเย็น เจ้ากล้าที่จะทอดทิ้งลูกของข้าได้อย่างไรกัน” ร่างงามทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ พร้อมทั้งประคองหยกในมือ ซึ่งเป็นตัวแทนของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางผิดตรงไหนหรือสวรรค์ ไยจึงต้องทำร้ายลูกๆ ของนางเช่นนี้ด้วย ฉินชวงทำได้เพียงตัดต่อสวรรค์ ที่ไม่เมตตานางกับลูกเลย ไม่ว่าจะเรื่องฐานะหรือความรุ่งโรจน์ ล้วนแต่เป็นนางที่อยู่ใต้เงาผู้อื่นมาตลอด พอวันนี้นางได้มีโอกาส เชิดหน้าสู้ฟ้าได้อย่างภาคภูมิ ไยสวรรค์จึงได้กลั่นแกล้ง ช่วงชิงหัวใจของนางไปเช่นนี้เล่า นางไม่ได้โง่ขนาดจะดูไม่ออก ว่าตอนนี้ลูกๆ ของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย หรืออาจสังเวยชีวิตไปแล้วก็เป็นได้ คงไม่มีใครที่ไหนตัดลิ้นของคนอื่น แล้วช่วงชิงเสื้อผ้า และสิ่งของติดตัวใครสักคน แล้วส่งมาข่มขู่ครอบครัวเขาเยี่ยงนี้เป็นแน่ ดูได้จากสายตาของสามี มันก็ชัดเจนว่าเขารู้แล้ว ว่าลิ้นในกล่องนั่น เป็นของบุตรชายนาง ใช่สิ! จดหมายนั่นต้องไขความกระจ่างให้ข้าได้ เมื่อนึกถึงจดหมาย ที่สามีเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ ร่างระหงจึงลุกพรวดขึ้นในทันที นางต้องรู้ให้ได้ ว่าข้างในเขียนว่าอย่างไร เพราะนั่นอาจเป็นเบาะ
สวี่หวิ๋นไม่เอ่ยสิ่งใดอีก หญิงสาวตวัดกระบี่ในมือ พุ่งเข้าหาหญิงสาวแปลกหน้าในทันที เจียงอี้หลิง ทำเพียงขยับเท้าแค่เล็กน้อยเท่านั้น นางก็สามารถหลบหลีกการโจมตี ของสวี่หวิ๋นได้อย่างง่ายได้ แต่มีหรือสตรีเลือดร้อนเยี่ยงสวี่หวิ๋น จะยอมล่าถอยไปโดยง่าย หญิงสาวพลิกข้อมือเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งปลายกระบี่ เข้าหาคู่ต่อสู้อีกครั้ง เจียงอี้หลิง ทำเพียงหลบหลีก การโจมตีของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ นางยังอยากดูฝีมือ ของบุตรสาวสวะตนนั้นอีกสักหน่อย และนั่นยิ่งเพิ่มโทสะให้แก่สวี่หวิ๋น นางไม่เคยถูกผู้ใด หหรือยามหน้าเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ในเมื่อตอนนี้สตรีแปลกหน้า ทำเพียงขยับเท้า เคลื่อนไหวหลบหลีกนางเท่านั้น แต่ไม่ยอมจับอาวุธมาต่อสู้กับนาง ให้รู้ผลแพ้ชนะกันไปเลย การทำเช่นนี้มันเหมือนจงใจตบหน้านางชัดๆ “เจ้ากำลังดูถูกข้าอย่างนั้นรึ! น่าตายนัก!” สวี่หวิ๋น คำรามก้องด้วยโทสะที่ระเบิดออกมา นางไม่อยากเชื่อว่าวันนี้นางจะพ่ายให้แก่คนนอกได้ “หึๆ เจ้ายังไม่คู่ควรให้กระบี่ข้าออกจากฝัก” เจียงอี้หลิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า นางไม่ได้พูดไปส่งๆ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หากก
“ข้าน้อย...” “หุบปากของเจ้าซะ! เรื่องเมื่อครู่ หากหลุดออกไป ข้าจะตัดลิ้นพวกเจ้าทั้งหมด” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยสิ่งใด หญิงสาวกลับชี้หน้าข่มขู่เขา และวาดปลายนิ้วไปที่อีกหนึ่งผู้คุ้มกัน กับสาวใช้ของนางให้เงียบปากเสีย เพราะหากใครคนใดเอ่ยถึงเรื่องที่เห็น ว่านางกอดกับบ่าวต่ำชั้น นางจะไม่มีวันปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว นางคือคุณหนูสูงศักดิ์ แต่ผู้คุ้มกันที่บิดาหา มาล้วนเป็นพวกไร้หัวนอนปลายเท้าทั้งสิ้น จะเอาสิ่งใดมาคู่ควรแตะต้องตัวนาง แปะ! แปะ! เสียงตบมือเป็นจังหวะเนิบช้า ราวกับกำลังเย้ยหยันต่อคำพูดของนาง ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หญิงสาวตวัดสายตามองไปยังที่มาของเสียง ก่อนจะดวงตาเหลือกค้าง เมื่อเห็นว่าพี่ชายของนาง ถูกมัดห้อยตัวอยู่บนกิ่งท้อ เมื่อครู่ที่นางเห็นเขามันคือเรื่องจริง มิใชเพียงภาพลวงตา ที่ทำให้นางหยุดม้าอย่างกะทันหัน จนเกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น “พี่ใหญ่!” หญิงสาววิ่งตรงไปหาพี่ชาย นางดึงกระบี่ในมืออกจากฝัก ก่อนจะตวัดปลายกระบี่ ไปยังเชือกที่ผู้ข้อมือทั้งสองข้างของพี่ชาย จนขาดสะบั้น ทำให้ร่างโชกเลือด ล่วงลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว ท
“มันไม่ใช่สิ่งที่น่ามอง เจ้าอย่าได้คิดสิ่งใดไปไกลนัก นี่อาจเป็นเพียงกลลวง ยิ่งเจ้าคิดว่าใช่ นั่นเท่ากับเจ้าเดินตามเส้นทางที่พวกมันขีดไว้ ที่ผ่านมาเจ้ามิใช่หรือ คือผู้ขีดเส้นกำหนดมาตลอด ไยวันนี้...เจ้าจึงคิดคล้อยตามกลลวงศัตรูไปได้เล่า” สวี่เทียน หยิบยกตัวตนของภรรยาขึ้นมาเอ่ยอ้าง ต่อให้นั่นคือลิ้นบุตรชาย แล้วอย่างไรล่ะ จะให้เขาดิ้นพล่านราวสุนัขถูกน้ำร้อนราดอย่างนั้นรึ! เหอะ! เขาก็จะไม่มีวันให้ความอ่อนแอของใครก็ตาม มาทำลายสิ่งที่เขา เฝ้ารอมาทั้งชีวิต ลูก...ฮึ! ก็แค่นั้น เขาไม่ได้คิดที่จะสนใจว่าอยู่หรือตาย เพราะสิ่งเดียวที่เขาสนใจ คืออำนาจที่พึงเป็นของเขาเท่านั้น ยี่สิบปีเชียวนะ! ที่เขาสละเวลามาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ หากเขามีหนทาง ที่สามารถปีนป่ายให้สูงกว่านี้ได้จากที่อื่น มีหรือเขาจะยอมทำตามขอเสนอของภรรยา มาอยู่ให้สกุลอวี๋เหยียบย่ำเป็นเวลายาวนานขนาดนี้ เขยแต่งเข้าที่ไม่อาจใช้สกุลภรรยา คิดหรือว่าจะถูกมองอย่างให้เกียรติ แม้คนจะก้มหัวให้ยามพบเจอ แต่นั่นเพราะข้างกายเขา มีอวี๋เมี่ยวหรือไม่ก็บุตรชายของนาง หากเป็นเขาเดินเพียงลำพัง แทบจะไม่เคยได้รับรอยยิ้มที่ออกจ
สองชั่วยามต่อมา ณ เรือนผู้รักษาการ สองสามีภรรยากำลังนั่งกินขนมจิบชา ด้วยความสำราญ หลังจากบทรักเล่าร้อน ได้จบลงไปได้ครู่ใหญ่แล้ว การหยอกเย้ากันของทั้งคู่ ยังคงมีเป็นปกติ ราวกับพวกเขายังคงเป็นหนุ่มสาว เช่นในวันวานก็มิปาน “เรียนนายท่าน มีของขวัญมาส่งขอรับ” เสียงรายงานจากด้านหน้าประตู ทำให้สองสามีภรรยา ขยับนั่งตัวตรงอย่างมีสง่า “เข้ามา” สวี่เทียนเอ่ยปากอนุญาต ให้คนด้านนอกเข้ามาข้างในได้ เพียงบ่าวชายก้าวพ้นประตูเข้ามา สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่กล่องไม้ในมือของบ่างผู้นั้นทันทีใครกันที่ส่งของขวัญมาให้เขากัน ด้วยในช่วงเวลานี้ หาได้มีวันสำคัญ หรือเทศกาลใด ที่ต้องมอบของขวัญของกำนัลต่อกัน หากจะเป็นคนจากภายนอกหุบเขา ก็ไม่น่าจะมีใครส่งมา โดยไม่แจ้งล่วงหน้าถึงการมาเยือน “เป็นของขวัญที่ไม่ทราบที่มาขอรับ ข้าน้อยคิดจะเปิดดู แต่...มิกล้าทำโดยพลการขอรับ” บ่าวชายรีบชี้แจง ต่อการที่เขาไม่อาจบอกถึงสิ่งของข้างในได้ เพราะเคยมีคนเปิดดูของขวัญ เพื่อตรวจสอบก่อนจะนำมาส่งมอบให้แก่ผู้เป็นนาย ผลก็คือบ่าวคนนั้น ได้สิ้นใจภายใต้คมดาบของท่านผู้รักษาการ
“แต่ข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น หากเจ้าตอบรับมัน ข้าจะมิถือสาเรื่องเมื่อครู่นี้” เมื่อมีสิ่งอื่นที่ดึงดูดใจ มากกว่าการที่นางสามหาวต่อบิดา สวี่หวางจึงยื่นข้อเสนอในทันที หญิงสาวตรงหน้าอาจเพียงแค่ อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา หาไม่แล้วมีหรือหัวหน้าผู้คุ้มกัน จะพาเขามาที่นี่ “ข้อเสนอ...คนเยี่ยงเจ้า มีข้อเสนอใดกับข้าเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงปนเย้ยหยันของหญิงสาว ทำให้สวี่หวางจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน ในเมื่อหมากกระดานนี้ นางอยากควบคุม เขาก็จะยินยอมเล่นไปกับนางสักหน่อย ค่อยจบมันในหมากตัวสุดท้าย “เป็นอนุของข้า แล้วเรื่องเมื่อครู่ข้าจะปล่อยผ่านไป” “อยากฟังข้อเสนอของข้าบ้างไหม” หญิงสาวย่อนถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่จริงจังเท่าใดนัก “ว่ามาสิ! ข้าคือบุตรชายของประมุขแห่งหุบเขานี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหามิได้” สวี่หวางตบตนเอง พร้อมประกาศให้รู้ถึงอำนาจในมือ เขาคือบุตรชายคนโต ภายหน้าเขาก็คือประมุขผู้มั่งคั่ง เจ้าของหุบเขาแห่งนี้ แค่สตรีต่างถิ่นคนหนึ่ง มีหรือเขาจะเลี้ยงดูนางไม่ได้ “จริงหรือ...บิดาเจ้าแซ่สวี่ ไหนเลยจะเป็นประมุขได้” เมื่อได้ยินพูดของหญิงสาวตรงหน้า สวี่หวางถึงกับหน้าถอดสี หรือนี่จะ
“ข้าน้อยเพียงจะมาแจ้ง ให้ท่านผู้รักษาการทราบ ว่าตอนนี้...มีคนพบเห็น ท่านประมุขน้อยแล้วขอรับ” “ที่ไหน!” สวี่หวางรีบถามด้วยความตื่นเต้น หากวันนี้เขาสามารถทำให้อวี๋มู่หลง หายไปจากโลกนี้เสีย อนาคตของเขา ก็จะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงาผู้ใดอีก มารดาที่เป็นภรรยาแรก กลับกลายเป็นได้เพียงอนุ ที่รับเข้าสู่บ้านเท่านั้น ไม่อาจก้าวขึ้นทัดเทียมอดีตประมุข และเขาก็เป็นได้เพียงแค่ลูกที่บิดา ไม่อาจเชิดชูออกหน้าได้แม้คนเหล่านี้ จะให้ความนอบน้อมต่อเขา แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมัน ก็ไม่เคยเห็นเขาในสายตาจริงๆ สักครั้ง หากเทียบกับอวี๋มู่หลง เจ้าสวะไร้ค่านั่น! “ในป่าท้อทิศตะวันออกของหุบเขาขอรับ” หัวหนาผู้ดูแล ตอบไปตามหน้าที่ แม้ว่าใจเขามิได้ชื่นชอบอนุและลูกๆ ของนาง ที่อาจหาญทำตัวทัดเทียมท่านประมุขน้อย แต่เขาก็ยังไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะต่อกรกับผู้รักษาการได้ จนกว่าท่านประมุขน้อย จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริง “พาข้าไป!” “แต่...” หัวหน้าผู้คุ้มกัน คิดที่จะปฏิเสธ ทว่า... “ฮึ! หรือเจ้าคิดจะปกป้องคนไร้ค่านั่น” สวี่หวาง พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเ
สิบห้าวันถัดมา ณ เรือนผู้รักษาการ เมืองหยินกวง เพล้ง! เสียงจอกสุรา ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ทำให้สาวใช้หลายนางที่ยืนรอรับใช้อยู่ พากันสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อผู้เป็นนายกำลังมีโทสะ ก่อนที่สตรีผู้เป็นอนุของท่านผู้รักษาการ จะเดินเข้ามา แล้วส่งสัญญาให้บรรดาสาวใช้ออกไปเสีย “ท่านพี่ ไยต้องมีโทสะด้วยเจ้าคะ” ฉินชวงเดินไปยืนด้านหลังสามี ก่อนจะวางมือบนไหล่หนา แล้วออกแรงบีบนวด เพื่อให้สามีรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าการอยู่อย่างไรเกียรติของนาง จะมิใช่สิ่งที่วาดฝัน แต่นางก็ยังอยากให้บุตรชายคนโต เป็นผู้สืบทอดเมืองแห่งนี้ “มีคนพามันหนีไปได้ จนตอนนี้! ข้ายังหามันไม่พบเลย” สวี่เทียนกำหมัดแน่น ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่บุตรชายคนเล็ก หนีไปพร้อมกับคนแปลกหน้า มันทำให้เขาราวกับถูกตบหน้า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่บุตรชายรอดพ้นเงื้อมือเขาไปได้อย่างหวุดหวิดเพราะนับตั้งแต่บุตรชาย ล่วงรู้ความจริงหลายอย่าง ความสัมพันธ์พ่อลูกก็ยิ่งห่างไกล แล้วอย่างไรเล่า ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ความเป็นพ่อลูก แต่เขาต้องการตราประทับเท่านั้น “อาจเป็นเหล่าผู้อาวุโส ที่แอบช่วยเขาลับหลัง แต่อย่า
“ว๊าย!!! พรู๊ด!!”หญิงสาวถึงกับพ่นชาในปากออกมา เมื่อความร้อนของชาในถ้วย ทำให้นางปากแทบพอง นางลืมไปว่ามันร้อนอยู่ “เจ็บมากหรือไม่!” ม่อเหลียวรีบถามด้วยน้ำเสียงรนราน ก่อนจะล่วงเอาขวดยาเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วป้อนเข้าปากหญิงสาว “คราวหน้าต้องระวังให้มากเข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน ซึ่งหากถ้าเป็นสตรีอื่น เขาไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งคุ้นชิน สำหรับคนทั้งสาม เว้นแต่อวี๋มู่หลงเท่านั้น ที่ยังไม่รู้ถึงเรื่องของหนุ่มสาวคู่นี้ แต่จากสายตาแล้วอวี๋มู่หลงเอง ก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าคนทั้งสองนั้น ต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน แต่อาจด้วยหลายสิ่งอย่าง ทำให้ทั้งคู่ยังไม่แต่งงาน หรือสานสัมพันธ์รักไปมากกว่านี้ “พี่สาม”เมื่อเห็นพี่สาวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับตนเองเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาถึงกระท่อม อี้หยางจึงเรียกผู้เป็นพี่ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใช่เขาริษยาพี่ม่อเหลียว แต่เขาทั้งดีใจและน้อยใจปนกัน ก็ในเมื่อเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ พี่สาวก็มองเพียงพี่ม่อเหลียวคนเดียว “เจ้าเป็นผู้นำสกุลเจียงคนต่อไป แค่นี้จะมีน้ำตาได้อย่า