ในตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้สนใจนั้น เหล่าไท่จวินได้รีบเร่งใส่ผงยาลงไปในถ้วยเหล้าของจื่ออัน จากนั้นจึงเอาเหล้าจากถ้วยของตนเทลงไปในถ้วยของจื่ออัน เอ่ย “ข้าดื่มเหล้ามิค่อยได้ เจ้าดื่มเถอะ เลี่ยงมิให้สิ้นเปลืองเหล้าชั้นดีของจวนมหาเสนาบดี”เหล่าไท่จวินใส่ยานั้นการกระทำค่อนข้างจะว่องไว ไม่เหมือนหญิงชราอายุเจ็ดสิบแปดแม้เพียงนิด เพียงแค่ชั่วระยะสะบัดแขนเสื้อเท่านั้น ผงยาก็ตกลงไปในถ้วยของจื่ออันหลังจากที่นางเทเหล้าลงไปนั้น เหลือบมองสีเหล้าในถ้วยอยู่ครู่นึง จากนั้นก็พูดออกมาราวกับว่าไม่เหมาะสม “มิต้องแล้ว ข้าเหมือนจะมีไอเล็กน้อย เจ้าก็อย่าได้ดื่มเหล้าของข้าเลย”พูดจบ ก็นำเหล้าขึ้นมาดมชั่วครู่ จากนั้นจึงเททิ้งแต่ว่าเพียงแค่ครู่เดียว จื่ออันเห็นว่าเหล้าในถ้วยนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน ในถ้วยมีเหล้าเดิมตกค้างอยู่หนึ่งสองหยด เหล่าไท่จวินใส่ยาลงไปในเหล้าแล้วเทเหล้าออกไป คงต้องการจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วคือยาอะไรผงยาตัวนี้นั้น คงจะเป็นผงยาทดสอบสารพิษ“ไท่จวินเมื่อก่อนดื่มเหล้าได้เยอะนัก ทำไมมาคราวนี้แม้แต่แก้วเดียวก็ดื่มมิได้ซะแล้ว?” ไท่เฟยเอ่ยถามไท่จวินเอ่ยยิ้มยิ้ม “ตอนนี้มิได้แล้ว แก่แล้ว เพ
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกันจื่ออัน “อาศัยช่วงเวลานี้ เจ้ากับฮูหยินรองก็ไปยังเรือนด้านข้างเถอะ”จื่ออันและเหลียงซื่อลุกขึ้นยืน เหลียงซื่อย่อตัวคำนับให้แก่ทุกคน “ทุกท่านเชิญดื่มกันตามสบายเจ้าค่ะ ข้าขอตัวไปก่อนนะเจ้าคะ”“ฮูหยินเชิญตามสบาย!” ชุยไท่เฟยและเหล่าไท่จวินต่างเอ่ยพูดจื่ออันเดินไปได้เพียงสองก้าว จู่ ๆ ก็หันกลับมามองยังฮูหยินผู้เฒ่า “ใช่แล้ว ท่านย่า หลานสาวลืมพูดกับท่านย่าเรื่องหนึ่ง เมื่อครู่หลานสาวเอ่ยถามเซี่ยฉวน ข้าต้องการเด็กรับใช้หน้าห้องกุ้ยหยวน เซี่ยฉวนบอกว่าจะต้องถามความเห็นจากท่าน”ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ “หากว่าเรือนเจ้าขาดคนแล้วย้ายไปให้เจ้าเป็นพอ“เจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านย่า” จื่ออันย่อตัวคำนับ หมุนกายออกไปเซี่ยฉวนนำเหลี่ยงซื่อที่ใส่ชุดมังกรไฟเข้ามา ตรงไปที่ห้องด้านข้างระหว่างทางเดินนั้น เซี่ยฉวนเอ่ย “คุณหนูใหญ่ ในเมื่อท่านเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เอ่ยออกมาแล้ว กลับไปบ่าวจะเอาสัญญาขายตัวส่งไปให้ท่าน”จื่ออันเอ่ยกลับ “ลำบากพ่อบ้านแล้ว”เซี่ยฉวนมุมปากมียิ้มเย็นปรากฎขึ้น “บ่าวสมควรทำแล้วขอรับ”รอเจ้าตายก่อน ค่อยฆ่ากุ้ยหยวนส่งให้ไปรับใช้เจ้าเข้ามายังห้องด
ซีเหนียงออกไปแล้วนั้น เซี่ยฉวนมองจื่ออันอย่างใจร้อน “คุณหนูใหญ่มีเรื่องอะไรกัน?”จื่ออันเอ่ย “ข้าเหมือนจะเหนื่อยล้าไม่มีแรง เจ้าเข้ามาประคองฮูหยินไปนั่งทางด้านโน้นที”เสียงฆ้องและกลองยิ่งดังขึ้น ดูท่าแล้วมังกรไฟคงจะเข้ามาใกล้แล้วเซี่ยฉวนดูเหมือนจะตื่นเต้นขึ้น จึงเอ่ย “ข้าออกไปเรียกคนมา”พูดจบ หมุนตัวก็ออกไปจื่ออันยกเก้าอี้โยนออกไป เก้าอี้ชนเข้ากับหลังของเซี่ยฉวน เซี่ยฉวนโซเซล้มลงบนพื้นจื่ออันรีบเร่งเข้าไปปิดประตู กีดขวางฝีเท้าเขาเอาไว้ เอ่ยเสียงเย็น “พ่อบ้านเซี่ย ช่างไม่เห็นคุณหนูใหญ่ผู้นี้อยู่ในสายตาซะจริง!”เซี่ยฉวนร้อนรน แล้วปีนขึ้นมาจากพื้น “บ่าวผิดไปแล้ว คุณหนูใหญ่ระงับโทสะด้วย บ่าวจะไปตามคนมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”ประตูด้านนอกและภายในเรือนล้วนเต็มไปด้วยน้ำมันตะเกียง เพียงแค่มังกรไฟผ่านมา เกิดอุบัติเหตุขึ้นเพียงเล็กน้อย เรือนแห่งนี้เพียงชั่วครู่ก็จะกลายเป็นทะเลเพลิงดังนั้นเขาจึงจำต้องออกไปจากที่แห่งนี้ในชั่วขณะนี้เขารีบเร่งปีนขึ้นมา คิดที่จะเปิดประตูแต่ว่าจื่ออับกลับขัดขวางอยู่เบื้องหน้าเขา ท่าทางเย็นชา“คงจะมิทันการแล้ว เซี่ยฉวน เจ้าช่วยพวกเขา
“ทำไมกัน? ทำไมนางถึงได้ทำเยี่ยงนี้?” เหลียงซื่อพึมพำเอ่ยออกมา แววตาฉายความหวาดกลัวและประหลาดใจจื่ออันรีบเร่งหยิบผ้าแพรขึ้นมา กลิ้งไปมาบนพื้น ทำต่อไป เอ่ยตอบคำถามของเหลียงซื่อ “เพราะว่าถ้าท่านและข้าตายด้วยกัน ก็จะไม่มีผู้ใดสงสัยว่าเป็นแผนการทำร้าย ทุกคนล้วนจะคิดว่า นี่เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเท่านั้น”“เกิดไฟไหม้ใหญ่โตขนาดนี้ จะไม่มีคนมาช่วยดับไฟหรือ?” เหลียงซื่อตกใจจนร้องตะโกนออกมาเสียงดัง ในที่สุดนางก็มองเห็น ข้างนอกมีเปลวเพลิงแผดเผา“ดับไม่ได้แล้ว ท่านคิดว่าทำไมถึงได้เลือกเรือนรับรองแห่งนี้ลงมือกัน? เพราะว่าที่นี้ห่างจากทะเลสาบ ห่างไกลจากน้ำที่จะช่วยดับไฟ” จื่ออันออกแรงหมุนผ้าแพรอย่างแรง จากนั้นผูกติดเข้าด้วยกันเซี่ยฉวนออกแรงกระแทก เขารู้ว่าหากต้องการจะพุ่งออกไปนั้น มีเพียงฆ่าจื่ออันเท่านั้นจื่ออันผูกผ้าแพรจนสำเร็จ จึงเห็นว่าเซี่ยฉวนพุ่งเข้ามา นางใช้มือยกเก้าอี้ขึ้นมา ตีลงไปบนขาของเซี่ยฉวนอย่างแรง และไม่รู้ว่าเป็นเก้าอี้ที่หักลงหรือเป็นกระดูกของเซี่ยฉวนกันแน่ที่หัก มีเสียง “แตกหัก” ดังออกมาเซี่ยฉวนเจ็บปวดล้มลงบนพื้นแล้วเกลือกกลิ้งไปมา เก้าอี้หักลง กระดูกขาของเขาก็หัก
ไฟไหม้ครั้งนี้ แพร่กระจายไปรวดเร็วนัก เซียวท่าคอยดูแลอพยพผู้คน เริ่มจากผู้ชรา คนอ่อนแอที่ป่วยแล้ว จึงเป็นหนุ่มสาวล้วนให้อพยพออกไป เหลือไว้เพียงชายหนุ่มกำยำเข้าช่วยดับเพลิงเมืองหลวงนั้นมีผู้ตรวจการอยู่ เมื่อรู้ว่าจวนมหาเสนาบดีเกิดเพลิงไหม้แล้ว ผู้ตรวจการจึงได้จัดคนมาช่วยดับเพลิงมังกรไฟที่เหลือนั้น ได้โยนลงไปในทะเลสาบเพื่อดับไฟแล้ว ส่วนคนที่เชิดมังกรนั้นก็เข้าร่วมช่วยกันดับเพลิงซีเหมินเสี่ยวเยว่นั่งอยู่ในห้อง ฟังเสียงอึกทึกครึกโครมจากด้านนอก จึงอดไม่ได้ที่มุมปากจากยกยิ้มขึ้นมานางยังรู้สึกชื่นชมตัวเองอีกเล็กน้อยด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว ช่วยท่านแม่กำจัดอาสะใภ้รอง แล้วยังกำจัดบุตรสาวของหยวนซื่อเซี่ยจื่ออันได้ ต่อไปในจวนมหาเสนาบดีแห่งนี้ ยังจะมีผู้ใดกล้าเป็นศัตรูกับนางอีก? “คุณหนู ท่านอยากจะออกไปดูหรือไม่ ข้างนอกนั่นช่างรื่นเริงเสียจริง” สาวใช้ที่เข้าจวนมาพร้อมนางที่แต่งเข้ามาซือหลิวพูดด้วยรอยยิ้มซีเหมินเสี่ยวเยว่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปัดคิ้วอย่างเงียบ ๆ “ไม่ไป มีอะไรน่าดูกัน? ข้ากลัวที่สุดก็คือมองเห็นซากศพ”ขณะเดียวกันหงฮัวสาวใช้ที่เข้าจวนมาพร้อมกับตอนที่นางแ
“ใช่แล้ว หากว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฮูหยินรอง สินสอดทองหมั้นพวกนั้นสามารถเอากลับมาเก็บไว้ที่นี่ได้หรือไม่เจ้าคะ?” ซือหลิวเอ่ยถามอย่างกะทันหัน“ไม่ต้องรีบร้อน เก็บมาไว้ในห้องคลังของจวนก่อน รอหยวนซื่อกลับมา ให้นางจัดเก็บสิ่งของแล้วออกจากเซี่ยจื่อหย่วนไปแล้วค่อยว่ากัน ส่วนที่นี่นั้น ข้าคงจะอยู่ไม่นานนัก อาศัยช่วงที่ต้องตกแต่งเรือนรับรอง ยึดเซี่ยจื่อหย่วนมาเปลี่ยนเครื่องเรือนใหม่”“เจ้าค่ะ”นางลุกขึ้นยืนเดินไปยังริมหน้าต่างมองดูเรือนด้านข้างที่มีเปลวเพลิงลุกโหมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ถอนหายใจ พร้อมเอ่ยออกมา “เพลิงไหม้ครั้งนี้ใหญ่โตเกินไป เรือนด้านข้างนั้นเกรงว่าคงจะมิอาจเก็บไว้ได้แล้ว ดีเหมือนกัน รื้อแล้วสร้างออกมาใหม่ ทำเป็นห้องพักรับรองก็ดีเหมือนกัน”“ใช่เจ้าค่ะ สถานที่แห่งนั้นดียิ่งนัก อยู่ใกล้กับสวนดอกไม้” ซือหลิวเผยรอยยิ้มออกมาหงฮัวสูดดมกลิ่นในอากาศเข้าไป จู่ ๆ ก็เอ่ยถาม “พวกเจ้าได้กลิ่นอะไรบ้างหรือไม่? เหมือนกับกลิ่นเผาไหม้”“แน่นอนอยู่แล้ว” ซือหลิวยิ้มก่อนที่จะพูด “เพลิงไหม้ใหญ่โตเยี่ยงนี้ จะต้องมีกลิ่นเผาไหม้เป็นแน่”“ไม่ใช่ ไม่ใช่” หงฮัวมองไปรอบ ๆ ทิศ วิ่งออ
ทางด้านเรือนด้านข้างนั้น เปลวเพลิงยังคงทะยานขึ้นฟ้า มู่หรงเจี๋ยนั้นได้เทน้ำราดรดบนกายสองครั้งแล้ว แล้วก็พุ่งเข้าไปในเปลวเพลิงอีกครั้งประตูใหญ่นั้นมีคานกีดขวางอยู่ มิอาจจะเข้าไปได้ ทั้งสี่ทิศล้วนเป็นทะเลเพลิง หน้าต่างถูกผนึกเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะถูกเผาไหม้ไปแล้ว แต่กลับก่อร่างเป็นแนวไฟขึ้น จึงมิอาจที่จะพุ่งเข้าไปได้เลย เขานำเหล็กเส้นมาจากด้านนอก กระแทกเข้าไป เปลวไฟยิ่งใกล้เข้ามา หลังคาเริ่มมีการพังทลายเกิดขึ้น“ท่านอ๋อง ไม่มีทางแล้ว ออกไปก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ซูชิงพุ่งเข้ามา ลากเขาออกไปด้านนอกดวงตาปรากฏเปลวไฟลุกโชนอยู่ทั่ว มีองครักษ์พุ่งเข้ามา แต่ก็มิอาจที่จะเข้าใกล้ซูชิงเงยหน้าขึ้นพบว่าอันตรายแล้วหลังคากำลังจะร่วงหล่นลงมา ตัวกระเบื้องนั้นไม่ทนต่อความร้อนได้ ส่งเสียงดังแคร็กออกมาทั่วทิศก่อนจะหล่นมา หากยังไม่ล่าถอยออกไปแล้ว ก็คงจะเป็นอันตรายเป็นแน่องครักษ์เองก็ร้องตะโกนออกมา “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพซู รีบหนีกันเถอะ มันกำลังจะพังลงมาแล้ว”มู่หรงเจี๋ยเตะไปที่ไฟที่กำลังลุกไหม่อยู่ทั่วกำแพง ส่งเสียงคำรามเสียงดัง “เซื่อจื่ออัน ออกมา ออกมานะ หากไม่ออกมาเจ้าก็จะกลายเป็นหมูย่างแล
“หลังจากที่เพลิงดับลงแล้ว ท่านร่วมกับกรมอาญาตรวจสอบสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ทุกเบาะแสห้ามมิให้ปล่อยผ่าน ข้าอยากรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้น” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยเสียงดังมหาเสนาบดีเซี่ยเบ้มุมปาก เชิญตรวจสอบกันไปเถอะ เปลวเพลิงใหญ่โตขนาดนี้ ร่องรอยอันใดก็ตรวจสอบมิได้ คานนั้นก็วางไว้ข้างบนนานแล้ว เพียงแค่ขยับมันเล็กน้อยเท่านั้น เขาถามอะไรจากปากช่างไม่ได้หรอกส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงบนพื้นนั้น หลังจากเผาไหม้ไปแล้วก็ไม่มีหลงเหลือแล้ว แม้แต่ร่องรอยต่าง ๆ ก็ไม่มีหลงเหลือไว้ น้ำมันของน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดนี้บางเบามาก แต่ว่าความสามารถในการเผาไหม้นั้นแข็งแกร่งนัก แล้วยังถูกน้ำสาดเข้าไปอีก บนพื้นนั้นสกปรกเละเทะ ต่อให้หลงเหลือร่องรอยไว้เพียงเล็กน้อย ก็มิอาจจะพบมันได้ส่วนเรื่องที่มังกรไฟเกิดอุบัติเหตุที่นี่นั้น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา เป็นเพราะเหล่าคุณชายเหล่านั้นเล่นสนุกเสียงดังกัน จนทำให้ฝีเท้าของคนเชิดมังกรไฟถูกลากไว้จนไม่มั่นคงนัก บนตัวมังกรไฟมีน้ำมันสนกับน้ำมันเชื้อเพลิง แน่นอนว่าทำให้เกิดการเผาไหม้ขึ้นมู่เหรงเจี๋ยมองไปยังเปลวเพลิงที่ค่อยมอดลง เพลิงเร
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว