“หลังจากที่เพลิงดับลงแล้ว ท่านร่วมกับกรมอาญาตรวจสอบสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ทุกเบาะแสห้ามมิให้ปล่อยผ่าน ข้าอยากรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้น” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยเสียงดังมหาเสนาบดีเซี่ยเบ้มุมปาก เชิญตรวจสอบกันไปเถอะ เปลวเพลิงใหญ่โตขนาดนี้ ร่องรอยอันใดก็ตรวจสอบมิได้ คานนั้นก็วางไว้ข้างบนนานแล้ว เพียงแค่ขยับมันเล็กน้อยเท่านั้น เขาถามอะไรจากปากช่างไม่ได้หรอกส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงบนพื้นนั้น หลังจากเผาไหม้ไปแล้วก็ไม่มีหลงเหลือแล้ว แม้แต่ร่องรอยต่าง ๆ ก็ไม่มีหลงเหลือไว้ น้ำมันของน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดนี้บางเบามาก แต่ว่าความสามารถในการเผาไหม้นั้นแข็งแกร่งนัก แล้วยังถูกน้ำสาดเข้าไปอีก บนพื้นนั้นสกปรกเละเทะ ต่อให้หลงเหลือร่องรอยไว้เพียงเล็กน้อย ก็มิอาจจะพบมันได้ส่วนเรื่องที่มังกรไฟเกิดอุบัติเหตุที่นี่นั้น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา เป็นเพราะเหล่าคุณชายเหล่านั้นเล่นสนุกเสียงดังกัน จนทำให้ฝีเท้าของคนเชิดมังกรไฟถูกลากไว้จนไม่มั่นคงนัก บนตัวมังกรไฟมีน้ำมันสนกับน้ำมันเชื้อเพลิง แน่นอนว่าทำให้เกิดการเผาไหม้ขึ้นมู่เหรงเจี๋ยมองไปยังเปลวเพลิงที่ค่อยมอดลง เพลิงเร
ผู้คนจำนวนมาก หยิบจับผ้าห่ม ดินทราย และถังน้ำพากันมุ่งหน้าไปยังฝั่งของเรือนหอ ราวกับผู้หนีลี้ภัยสงครามอย่างไรอย่างนั้นฮูหยินผู้เฒ่ายืนอยู่ด้านข้างของเหล่าไท่จวิน นางจ้องมองจื่ออัน แววตาเกลียดชังได้ถึงขีดสุดแล้วเฉินไท่จวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคนชั่วนี้เป็นหายนะมานับพันปีแล้ว ใช่หรือไม่? ทำไมถึงไม่ตายไปซะ!”ฮูหยินผู้เฒ่าหมุนกาย จ้องมองเหล่าไท่จวินนางราวกับเพียงครู่หนึ่งก็ดูชราลงไปหลายปี ผิวบนใบหน้านั้นก็ราวกับเหลือเพียงชั้นเดียว เมื่อก้มลงมา ริ้วรอยและจุดด่างดำก็ดูชัดเจนขึ้น ดวงตาที่เฉียบคมนั้นก็กลายเป็นหมองคล้ำและซีดขาว“เฉินไท่จวินต้องการจะพูดอะไรกัน?”เฉินไท่จวินยิ้ม “ไม่มีอันใด ข้าจะพูดว่าเซี่ยจื่ออันเป็นดั่งยาพิษทิ่มแทงผู้อื่น จิตใจมืดดำ คนประเภทนี้มิตายง่าย ๆ หรอก ต่อให้อีกสักกี่ครั้งก็ไม่ตาย คนดีนั้นไม่เหมือนกัน ท่านลองทายดูว่า ศพที่แบกออกมานั้น?”ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเหนื่อยหน่ายอย่างสุดจะพรรณนา “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ก็เป็นชะตาของชีวิตเสมอ อามิตตาพุทธ”เฉินไท่จวินมองมายังนางแล้วก็ส่ายศรีษะ “ทั้งชีวิตนี้ของข้าตอนที่อยู่ทะเลทรายนั้นสังหารมานับไม่ถ้วน ไม่เคยชื่นช
จากกการคาดเดาของคนรับใช้ ก็มีคนกลับมารายงานมู่หรงเจี๋ย "กราบทูลท่านอ๋อง คนที่ตายก็คือเซี่ยฉวน พ่อบ้านของจวนมหาเสนาบดี พ่ะย่ะค่ะ"มู่หรงเจี๋ยกล่าวด้วยความหดหู่ใจเล็กน้อย "น่าสงสารเสียจริง เขาทำงานอย่างหนักเพื่อจวนมหาเสนาบดีมาทั้งชีวิต กลับลงท้ายด้วยการถูกไฟแผดเผาร่างจนไม่เหลือซาก อุบัติเหตุไฟไหม้ในครั้งนี้ ทำให้คนรู้สึกเศร้าใจจริง ๆ"พอฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินว่าเป็นเซี่ยฉวน ตัวนางก็สั่นเล็กน้อย ใบหน้าแลดูโศกเศร้าและขุ่นเคืองมากยิ่งขึ้น เซี่ยฉวนคือมือขวาของนาง ไม่รู้ว่ามีกี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้วที่เซี่ยฉวนแอบไปดำเนินการแทนนาง ถ้าไม่มีเซี่ยฉวนก็เท่ากับแขนขวาได้ขาดไปแล้วป้าชุ่ยยู่ที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง กัดฟัดพูด "ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวคอยสังเกตการณ์อยู่บริเวณด้านนอกตลอด คุณหนูใหญ่กับเหลียงซื่อไม่ได้ออกมาจากเรือนด้านข้างเลย อีกทั้งก่อนที่คบไฟมังกรจะหล่นลงมา บ่าวเข้าไปปิดประตู ก็ยังเห็นคุณหนูใหญ่กับเหลียงซื่ออยู่ในนั้น บ่าวไม่รู้จริง ๆ ว่าพวกนางออกมาตอนไหน ไฟโหมแรงถึงเพียงนั้น แต่พวกนางกลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด นี่ช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์เสียจริง"ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าแลดูดุร้าย "ตั้งแต่ครั้งที่นา
ดวงตาของจื่ออันก็เปล่งประกายราวกับดวงดาวเช่นกัน นางมองเขาอย่างหนักแน่น แล้วถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “ขอบพระทัยเพคะ!”ขอบคุณที่ท่านเข้ามาตามหาข้า ขอบคุณที่ไม่เพิกเฉยต่อความปลอดภัยของข้า และขอบคุณที่ดูแลข้าเสมือนเป็นสหายของท่านมู่หรงเจี๋ยมีท่าทางที่แลดูผิดปกติไปจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะทำสีหน้าให้น่ากลัว เกรงว่าครั้งนี้บนใบหน้าเขาคงจะปรากฎสีแดงระเรื่อขึ้นมาแทน"บอกข้ามา ว่าเจ้าหนีออกมาได้อย่างไร?" มู่หรงเจี๋ยกล่าวถามอย่างจริงจัง ย่าของนางก็อยากรู้มากเช่นกัน ทั้งที่เรือนด้านข้างนั่นก็ถูกปิดไว้อยู่ ประตูและหน้าต่างก็ปิดอย่างสนิท แล้วนางจะหนีรอดออกมาได้อย่างไร เมื่อจื่ออันกำลังจะเล่า ก็ได้เห็นซูชิง เซียวท่า และจ้วงจ้วงชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังของต้นไม้ รอฟังนางเล่าอย่างเงียบ ๆจื่ออันยิ้มแล้วยิ้มอีก “เอาล่ะ ไฟในเรือนหอก็ยังไม่ดับดี และในสนามหญ้าก็รกไปเสียหมด ไม่ทราบว่าทุกคนสนใจจะไปนั่งที่เรือนเซี่ยจื่อหย่วนเพื่อดื่ม… สุราสักจอกกันหรือไม่?"นางเหลือบมองไปที่มู่หรงเจี๋ย วันนี้เขาสามารถดื่มสุราจอกนึงได้มู่หรงเจี๋ยพูดไม่ออกในทันที เมื่อได้ยินที่นางชวนให้ไปนั่งดื่มอะไรสักอย่างที่เรือนเซี่
หลังจากได้ยินคำพูดของผู้สำเร็จราชการแล้ว เหลียงซื่อก็รู้สึกละอายใจและต้องการจะอธิบายสักสองสามคำ แต่พอนึกถึงสิ่งที่นางทำกับเซี่ยจื่ออัน และที่นึกถึงวันนี้ตอนที่เซี่ยจื่ออันช่วยนางออกมาทั้งที่ตัวนางเองก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว นางก็ไม่มีหน้าแก้ต่างให้ตนเอง ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เป็นเวลานาน สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป "พอเถิด อย่านอกประเด็น" ซูชิงอยากรู้จริง ๆ ว่าจื่ออันหนีออกมาได้อย่างไร "ท่านรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเถิด ข้ากับท่านอ๋องได้เข้าไปช่วยคนด้วยกัน แต่ว่าที่ประตูมีคานขวางอยู่ หน้าต่างก็ปิดไว้อย่างแน่นหนา ต่อมาก็เดินวนดูรอบ ๆ แต่หน้าต่างที่อยู่ด้านหลังก็ถูกปิดไว้เช่นกัน หรือว่าจริง ๆ แล้วพวกท่านไม่ได้อยู่ในนั้นตั้งแต่แรก? แต่ว่ามันก็ยังไม่ถูกต้อง ท่านกับฮูหยินรองต่างมีรอยไหม้ นั่นก็แสดงว่าตอนที่เกิดเพลิงไหม้พวกท่านก็ต้องอยู่ในเรือนอย่างแน่นอน"มู่หรงจ้วงจ้วงที่ได้ยินซูชิงพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกอยากรู้เป็นอย่างมาก จึงกล่าวเร่ง "ใช่ เจ้ารีบเล่ามา"จื่ออันยิ้มพลางและเชิญทุกคนให้นั่งลง จากนั้นก็สั่งให้เสี่ยวซุนยกชามา จนกระทั่งอ๋องผู้นั้นที่ขณะนี้ใบหน้าดำจนแทบจะเหมือนก้นหม้อแล้ว นางจึงได้กล่
คำพูดสุดท้ายของเหลียงซื่อทำให้จื่ออันตกใจ ที่นางทำไปก็เพื่อปกป้องคนในครอบครัว แต่ซีเหมินเสี่ยวเยว่กลับตอบแทนนางด้วยความอำมหิตเลือดเย็นหากนางตายด้วยเงื้อมมือของคนอื่น จื่ออันคงจะไม่ใจอ่อน แต่ว่าพอได้ยินประโยคนี้ นางก็นึกถึงเจ้าของร่างเดิมของเซี่ยจื่ออันขึ้นมาอย่างไร้คำอธิบายในใจของเจ้าของร่างคนเดิมยังคงมีความเคียดแค้นหลงเหลืออยู่ ความแค้นและความเจ็บปวดนี้เกิดจากการที่ถูกคนที่นางรักอย่างผู้เป็นพ่อทำร้าย นางรอคอยจากก้นบึ้งของหัวใจมาโดยตลอด รอให้เขาหันกลับมามองดูนางสักครั้ง แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่นางรอคอยกลับกลายเป็นภัยพิบัติร้ายแรงถูกคนที่รักทำร้าย มันร้ายแรงมากที่สุดดังนั้นจื่ออันจึงคลานลงจากผ้าไปอีกครั้ง มัดนางด้วยผ้าแพร เพื่อปกปิดความตั้งใจที่จะช่วยนาง จึงได้พาไก่สองตัวขึ้นไปด้วยการดำเนินการช่วยเหลือเหลียงซื่อเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะว่าในเวลานั้นไฟโหมแรงมาก อีกนิดเดียวก็จะไหม้ผ้าแพรจนขาดแล้ว ช่วงเวลาสุดท้าย จื่ออันก็ได้ดึงตัวนางขึ้นมา เพื่อไม่ให้นางตกลงไปในทะเลเพลิงแต่ว่าช่วงเวลาสุดท้ายนี้มันก็อันตรายเป็นอย่างมาก จื่ออันแทบจะยืนบนหลังคาไม่อยู่เพราะไม้สั่นคลอนมาก หากนางตก
จื่ออันมองไปที่เขา "ตรงนี้เลยเหรอ?""ใช่!" มูหรงเจี๋ยกล่าวอย่างเดือดดาล ความโกรธยังคงติดแน่นอยู่บนใบหน้าของเขาจื่ออันถอยหลังมาหนึ่งก้าว ค่อย ๆ ปลดเสื้อนอกออก พลางพูดด้วยความรู้สึกผิด "เมื่อครู่ตอนที่ปีนขึ้นบนคานหลังคา ไฟมันเผาตรงอกของหม่อมฉัน ท่านดูสิ..."ก่อนที่เสื้อผ้าของนางจะถูกปลดเปลื้องออก มู่หรงเจี๋ยก็ดึงนางออกไปราวกับพายุหมุน จากนั้นก็เข้าไปในห้องถัดไป ซึ่งเป็นห้องส่วนตัวของสตรีปรากฏความโกรธขึ้นในดวงตาของเขาในทันที เขาใช้แรงดึงเสื้อที่หน้าอกของนางให้แน่น และกล่าวเสียงเข้ม “มีอยู่ก็นิดเดียว ยังอยากจะเผยต่อหน้าคนมากมายอีกรึ? ไม่กลัวว่าคนอื่นจะติเตียนว่าน่าเกลียดหรืออย่างไร"จื่ออันทำตาปริบ ๆ "แม้ว่าจะมีไม่เยอะ อย่างไรเสียก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งนะเพคะ""ไปให้พ้น!" มู่หรงเจี๋ยจ้องมองนาง แรงกระตุ้นเมื่อครู่นี้ที่อยากจะบีบคอนางให้ตายจากเหตุเพลิงไหม้ได้เพิ่มขึ้นมาอีกครั้งจื่ออันดึงตัวเขาให้นั่งลง จากนั้นก็พูดอย่างจริงจัง "หม่อมฉันขอโทษนะเพคะ!"มู่หรงเจี๋ยพูดอย่างเย็นชา "ไม่รับ!""ท่านควรจะพูดว่าไม่เป็นไร" จื่ออันแก้ไขให้"เซี่ยจื่ออัน เจ้านี่มันขาดความเป็นระเบียบเสียจริง!"
มู่หรงเจี๋ยพอได้ยินที่นางพูด ก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน "ข้าไม่รู้ว่าที่สอนเจ้าไปแบบนี้คือสิ่งที่ถูกหรือผิด การต่อสู้กันในจวนไม่เหมือนกับในราชวงศ์ แต่ข้าคิดว่ามันน่าจะเหมือน ๆ กัน ความประมาทเพียงเล็กน้อยถือเป็นภัยพิบัติอันร้ายแรง หากเจ้าผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ชีวิตของเจ้าก็จะไม่เหลือ แต่หากข้าผิดพลาดเพียงน้อยนิด ก็จะสูญเสียแผ่นดินต้าโจว ดังนั้นข้าจึงต้องระมัดระวังทุกอย่างก้าว วางแผนอย่างรัดกุม ตอนนี้ที่ข้าบอกกับเจ้าก็เพราะ ยามนี้สถานการณ์ในราชสำนักตึงเครียดมาก ทุกวังวนและการสมคบคิดหรือแม้กระทั่งการลอบสังหาร ต่างพุ่งเป้ามาที่ข้าทั้งสิ้น ดังนั้นหากเจ้าไม่สามารถปกป้องดูแลตนเองได้หรือใจอ่อนเกินไป ข้าก็ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังด้วยเรื่องของเจ้าอีก"นี่เป็นครั้งแรกที่จื่ออันได้ยินเขาพูดอย่างเป็นทางการและจริงจังกับนาง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้เลยนางกล่าวเสียงค่อย"หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ"เมื่อเห็นใบหน้าของเขาคลายความตึงเครียดแล้ว ก็เลยกล่าวถามเขาอย่างสงสัย "ฝ่าบาททรงประชวรเป็นโรคอะไรกันแน่? ตอนนี้พระอาการเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?"มู่หรงเจี๋ยส่ายหัว "ขนาดข้ายังไม่รู้เลย ต
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว