เหตุใดหวงไท่โฮ่วจะไม่รู้ว่าเขากำลังประวิงเวลา? นางเพียงกลัวว่าหากคนกลุ่มนั้นบุกเข้ามาจริง ๆ อาจไม่สามารถต้านรับไหวหมอหลวงเดินเข้า ๆ ออก ๆ ขาเข้าเดินเข้าไปพร้อมกับหม้อน้ำร้อน จากนั้นก็นำหม้อเดิมออกมาเปลี่ยนถ่าย ประหนึ่งมีใครกำลังคลอดบุตรมู่หรงเจี๋ยเข้าไปดู พบว่าปรสิตกาฝากถูกตัดทิ้งออกไปหมดแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าผู้คนด้านในคงใช้น้ำร้อนเพื่อล้างแผล ไม่คาดคิดว่าบนพื้นหยกขาวจะยังสะอาดไร้รอยเลือดมุมปากของเขากระตุก เสร็จพี่จักรพรรดิรักความสะอาดเกินไปแล้ว ตนเองกำลังรับการผ่าตัดอยู่แท้ ๆ ยังมัวห่วงว่าพื้นจะสกปรกหรือไม่“เป็นอย่างไรบ้าง? ยังทนได้อยู่หรือไม่?” มู่หรงเจี๋ยเดินเข้ามาพลางเอ่ยถามแม้ว่าร่างกายขององค์จักรพรรดิจะถูกผนึกไว้ครึ่งหนึ่ง แต่เขายังคงมีสติตื่นรู้อยู่ เขาพยักหน้า “ข้ายังพอทนได้”มู่หรงเจี๋ยตอบกลับอย่างเฉยเมย “ข้าไม่ได้ถามท่าน ข้าถามภรรยาของข้าต่างหาก นางเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันแล้ว”“ออกไปให้พ้น!” จักรพรรดิตวาดกร้าวด้วยความโกรธ ก็แค่สุนัขอีกตัวหนึ่งที่แต่งภรรยาแล้วลืมพี่ชายตนเอง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกดีเล็กน้อย โชคดีที่เขาไม่ได้สั่งประหารเซี่ยจื่ออันตั้งแต่แรกมู่หรงเจี
เหลียงไท่ฟู่สงบลง ผุดคำถามหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้วก็รู้สึกแปลกใจมาก “มีสิ่งหนึ่งที่พ่อไม่เข้าใจ ในเมื่อฝ่าบาทมีแผลหน้าผีจริง ทำไมเขายังยอมปล่อยให้เจ้าเข้าไปดู? นอกจากนี้ มู่หรงเจี๋ยเองก็อยู่ที่นั่นด้วยในเวลานั้น ต่อให้ฝ่าบาทไม่ได้ออกคำสั่งให้หยุด เขาย่อมต้องป้องกันไม่ให้เจ้าเข้าไป”ฮองเฮาตกตะลึงเช่นเดียวกัน “ท่านพ่อกำลังสงสัยว่าเขากำลังวางแผนลับหลังอย่างนั้นหรือ? แต่เฉียวเอ๋อและข้าต่างก็เห็นกับตาของตนเองจริง ๆ และข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นเพียงของปลอม”เหลียงไท่ฟู่กล่าวว่า “พ่อก็ไม่รู้ เพียงอดคิดไม่ได้ว่าพวกเราอาจจะหุนหันพลันแล่นจนเกินไป บางทีเราควรรอดูกันต่อไปจริง ๆ”“แต่นี่เป็นเรื่องจริงนะเจ้าคะ หากฝ่าบาทสวรรคตแล้วมู่หรงเจี๋ยปลอมแปลงพระราชพินัยกรรม สถาปนาตัวเองขึ้นครองบัลลังก์โดยตรง พวกเราได้พ่ายแพ้กันหมดแน่” ฮองเฮากล่าวอย่างใจร้อน“จะอย่างไรก็แล้วแต่ เรื่องนี้เริ่มไม่ง่ายอย่างที่คาดการณ์ไว้จริง พวกเราประมาทเกินไป” เหลียงไท่ฝูมองย้อนกลับไปที่จุดต่อสู้ตรงหน้า ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรมีแผนตลบหลัง หากมีอะไรเช่นนั้นจริง เฉินไท่จวินคงไม่มาขวางด้วยตนเอง จุด
ภายในวังซีเหวยมู่หรงเจี๋ยกำลังอธิบายกับหวงไท่โฮ่วถึงเหตุผลที่ตนไม่สั่งเคลื่อนทัพ“ศึกครั้งนี้ย่อมหลีกเลี่ยงการสู้รบไม่ได้แน่แล้ว ทหารของเราจะทำสงครามในเมืองหลวงไม่ได้ เว้นแต่มีความจำเป็น การที่ข้าไม่ลงมือทำอะไรเลย ก็เพื่อให้พวกเขาเกิดภาพลวงตาว่าฝ่ายเรามีการซ้อนแผน หากเป็นกรณีนี้จริง พวกเขาไม่มีทางกล้าเคลื่อนไหวง่าย ๆ ข้าคาดเดาว่าไท่ฟู่คงรอไม่ได้อีกต่อไป ส่วนอ๋องหนานหวายอาจไม่กล้าเคลื่อนไหว เนื่องจากเขายังมีความกลัวอยู่บ้าง อำนาจทั้งหมดของเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หากข้าคาดเดาไม่ผิดพลาด เขาอาจอยู่เฉยและรอดูท่าทีอยู่ข้างสนามก่อน จนกระทั่งเหลือราชครูเหลียงอยู่เพียงลำพัง เท่านี้พวกเหล่าไท่จวินและคนของตระกูลเซียวก็เพียงพอแล้วที่จะปิดกั้นประตูวังหลวงเอาไว้ได้ จนกระทั่งผิวปลอมของฝ่าบาทเสร็จสิ้น และเขาออกสู่ท้องพระโรงได้อีกครั้ง ราชครูเหลียงก็จะถึงจุดจบ”“เจ้าไม่คิดว่าการทำเช่นนี้มันเสี่ยงเกินไปหรือ? หากเจ้าคาดคะเนผิดพลาด แล้วพวกเขาโจมตีล่วงหน้า ต่อให้รอยแผลที่แขนของฝ่าบาทจะหายไปแล้ว แต่บนใบหน้าของเขาก็ยังมีจุดแดงเต็มไปหมด อย่าลืมเสียว่าเขาไม่ได้ประชวรเป็นแผลหน้าผีเพียงอย่างเดียวนะ” หวงไท่โ
“ซ้อนแผนงั้นหรือ? จะซ้อนแผนได้อย่างไรกัน? เสด็จพ่อเป็นแผลหน้าผีจริง ๆ” องค์รัชทายาทตบหน้าอกพร้อมกล่าวยืนยันว่า “ข้าเห็นด้วยตาของข้าเอง”หวู่อันโหวก้าวไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “ราชครู ตอนนี้เราไม่สามารถล่าถอยได้แล้ว พวกเราทำได้เพียงจู่โจมเท่านั้น หากทุกคนเห็นว่าฝ่าบาทกำลังทนทุกข์ทรมานจากแผลหน้าผีจริง ประเดี๋ยวพวกเขาก็เป็นฝ่ายล่าถอยให้เราเอง”เหลียงไท่ฟู่ถอนหายใจเบา ๆ มองไปยังหวู่อันโหว “ท่านโหว ครั้งนี้ท่านและข้าต่างก็เอาชีวิตของตนเองเข้าเดิมพัน หากเรื่องนี้สำเร็จ ท่านและข้าจะรุ่งเรืองถึงขีดสุดตลอดไป ทว่าหากล้มเหลว ทั้งข้าและท่านอาจไม่สามารถเอาตัวรอดไปได้”หวู่อันโหวเย้ยหยัน “ต่อให้ทั้งตระกูลของข้าจะถูกประหารจนสิ้น กระนั้นก็ยังดีกว่าตอนนี้เสียอีก ทั้งฝ่าบาทและมู่หรงเจี๋ยต่างไม่ชอบหน้าข้า ซ้ำพวกเขายังหาทางปราบปรามข้าหลายต่อหลายครั้ง ในเมื่อพวกเขาเกลียดชังข้า เช่นนั้นตระกูลข้าก็ไร้ซึ่งความหวัง”หวู่อันโหวแสดงตนเป็นกลางต่อโลกภายนอกเสมอมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาได้สร้างพันธมิตรกับไท่ฟู่อย่างลับ ๆ เมื่อนานมาแล้วเขาไม่ต้องการอะไรนอกเหนือไปจากการที่เขาสามารถกำจัดตระกูลเฉินและตระกูลเซียวไ
เมื่อเห็นขุนนางทั้งหมดคุกเข่า ลู่กงกงก็เริ่มประกาศพระราชโองการ “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่า นับตั้งแต่เราล้มป่วย ผู้คนต่างคิดมาก ทุกฝ่ายต่างคาดเดา เสียงลือเสียงเล่าอ้างยังคงดำเนินต่อไป เมื่อไม่นานมานี้ข่าวลือหนาหูยิ่งขึ้น ถึงขั้นลือกันว่าเราไม่ปฏิบัติราชกิจ ทั้ง ๆ ที่ยังดำรงตำแหน่งจักรพรรดิ บ้างก็ว่าเป็นแผลหน้าผี ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ ผู้ที่ปล่อยข่าวลือนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนักเราได้ยินว่าทุกท่านต่างเป็นห่วงข้านักหนาหลังจากที่ได้ยินข่าว เรารู้สึกโล่งใจยิ่ง จึงได้ออกคำสั่งเป็นกรณีพิเศษ ให้ขุนนางหลายร้อยท่านเข้าวังซีเหวยเพื่อพบเรา!”นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างแท้จริง ราชครูเหลียงต้องการโจมตี เพราะเขาแน่ใจว่าองค์จักรพรรดิต้องทนทุกข์ทรมานจากแผลหน้าผีอย่างยิ่ง จนเขาสามารถบีบบังคับให้อีกฝ่ายสละราชสมบัติได้ ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายได้ออกคำสั่งเรียกเขาเข้าเฝ้า ไม่สามารถดำเนินแผนโจมตีได้อีกต่อไปพวกเขาอาจสามารถเข้าวังได้ ทว่าทหารและม้าเหล่านั้นจะเข้าวังได้อย่างไร? หากเข้าไปแล้วย่อมหลีกไม่พ้นข้อหากบฏทว่าหากพระราชโองการนี้ จักรพรรดิไม่ได้เป็นผู้ประทานลงมาเอง แต่เป็นกับดักที่มู่หรงเจี๋ยวางไว้เล่า หลังจาก
“ข้าเพียงเติมเชื้อไฟลงในเปลวเพลิง แท้จริงแล้วผู้ที่เปิดเผยความลับไม่ใช่ข้า” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างไร้เดียงสา“ท่านมีส่วนทำให้เปลวไฟโหมกระหน่ำงั้นหรือ?” จื่ออันผงะไปชั่วครู่ “อย่างไรกัน?”มู่หรงเจี๋ยตอบกลับ “ตอนแรกที่เรื่องนี้กระจายออกไป ข้าก็ได้รับข่าวเช่นกัน ในเมื่อเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะปกปิด เช่นนั้นก็สุมกองไฟให้ระเบิดปะทุขึ้น บอกกล่าวให้ทุกคนรู้ไปเสียเลย”จื่ออันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้าง “เทพเซียนช่วยด้วย เช่นนั้นการที่วังหลวงถูกเหล่าขุนนางกดดันในครั้งนี้ ก็เป็นไปอย่างที่ท่านคาดหวังไว้สินะ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงจงใจปล่อยให้องค์รัชทายาทและสนมเหลียงเข้ามา เพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นรอยแผลของฝ่าบาท”เนื่องจากก่อนหน้านี้นางมัวแต่คิดเกี่ยวกับพระอาการของจักรพรรดิ นางจึงไม่มีเวลาทบทวนรายละเอียดเหล่านี้ ตอนนี้เมื่อนางว่างเว้นจากงาน และคิดเกี่ยวกับมัน จึงคิดว่ามีแนวโน้มเป็นไปได้อย่างยิ่งมู่หรงเจี๋ยดูผิดหวังเล็กน้อย “เดิมทีข้าเพียงต้องการหลอกล่อเจ้าแปด แต่ไม่คาดคิดว่าเหลียงไท่ฟู่จะมีความอดทนต่ำกว่าเช่นนี้ ถึงขั้นพยายามจะบุกรุกเข้ามาให้ได้ เขาไม่อยู่ในแผนการของข้า”“ท
สนมเหลียงยังไม่ยอมแพ้ “เช่นนั้นให้พวกเราเข้าไปรอในโถงใหญ่เถิด ที่นี่มีผู้ใหญ่จำนวนมาก ไม่ควรปล่อยให้ยืนอยู่ในลานนี้ อีกทั้งสภาพอากาศก็หนาวมาก”ลู่กงกงยิ้มก่อนจะกล่าว “สนมเหลียง อดทนรอต่อไปอีกหน่อยมิได้เชียวหรือ? หากท่านรู้สึกเมื่อยล้า ข้าจะสั่งให้คนไปยกเก้าอี้ออกมาวางที่นี่”เหลียงไท่ฟู่หันไปกล่าวกับสนมเหลียงว่า “รอสักครู่เถิด พ่อพอคุ้นเคยกับการสรงน้ำของฝ่าบาทดี อย่างนานที่สุดไม่ควรเกินครึ่งชั่วยาม เวลาครึ่งชั่วยามนี้ไม่เกินความอดทนหรอก”พวกเขาเฝ้ารออยู่นอกวังมาหลายชั่วยามแล้ว เพียงครึ่งชั่วยามจะรอต่อไปไม่ได้เชียวหรือ?ลู่กงกงจึงเดินกลับเข้าไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นบ่าวรับใช้ในวังก็ออกมาพร้อมเก้าอี้ และยกชาร้อนออกมาให้ท่านทั้งหลายลมหนาวพัดโชยมาเป็นระยะ แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ใช่ฤดูหนาวที่รุนแรง ทว่าก็ยังหนาวเย็นมากยิ่งกว่านั้น เมื่อสองสามวันก่อนมีฝนตกหนัก อุณหภูมิจึงลดลงเล็กน้อย เมื่อครู่นี้ทุกคนต่างกำลังตื่นตระหนกเอะอะกันอยู่นอกพระราชวัง ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกหนาว กระทั่งตอนนี้เมื่อพวกเขานั่งอยู่เฉย ๆ ความหนาวเย็นจึงท่วมท้นองค์รัชทายาทดูกระวนกระวายมากยิ่งกว่าใคร เอาแต่เดินวกวนไปม
หลังจากรอต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม อีกหนึ่งชั่วยามก็ผ่านไปตั้งแต่เข้ามาในวังเหลียงไท่ฟู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ใช้นิ้วเคาะพนักเท้าแขนบนเก้าอี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาฉายแววเย็นชาก่อนหน้านี้เขาบอกแม่ทัพเฉียนว่า หากไม่มีการเคลื่อนไหวจากภายในวังเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ให้พวกเขาบุกเข้าโจมตีทันทีเขาคำนวณว่าคนข้างนอกน่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม ในการจัดการกับทหารของเฉินไท่จวินและท่านเซียวโหวทว่าหลังจากรอต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม เขากลับไม่ได้ยินเสียงดาบ เสียงธนู หรือการกระทบกันของของ้าวแต่อย่างใดเหลียงไท่ฟู่เริ่มรู้สึกตึงเครียด เป็นไปได้หรือไม่ที่ทหารนับพันไม่สามารถจัดการกับทหารเพียงร้อยกว่าคนได้?แน่นอนว่าเขาไม่รู้เหตุการณ์ภายนอก ว่าตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเข้าไปในพระราชวัง ท่านเซียวโหวได้สั่งจับกุมแม่ทัพเฉียนและกองกำลังของพวกเขาเอาไว้ได้ทั้งหมดเหลียงไท่ฟู่นับเฉพาะความแข็งแกร่งของกองทหาร ทว่าไม่ได้นับทักษะวิทยายุทธ์อันโดดเด่นของท่านเซียวโหวและคนอื่น ๆ ว่าพวกเขาสามารถจัดการกับแม่ทัพอ่อนด้อยคนหนึ่งได้ง่ายเพียงใดเมื่อเห็นว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยามครึ่งแล้วยังไม่มีใครเข้ามาเสียที ไท่ฟู่ถึงได้รู้ว่ามีบา
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว